📖 บทความที่ถูกอ่านมากที่สุด
พาลูกตากแสงแดดยามเช้าดีไหม?
คุณพ่อคุณแม่หลายๆคน ไม่กล้าพาลูกไปตากแดดข้างนอกเพราะกลัวว่าแสงแดดจะเป็นตัวทำร้ายผิวของลูก เพราะทารกยังมีผิวที่บอบบาง แต่ความจริงแล้วหากเลือกช่วงเวลาการพาลูกน้อยออกไปตากแดดได้อย่างเหมาะสม แสงแดดก็สามารถเป็นประโยชน์ให้กับลูกน้อยได้นะคะ ข้อดีของการตากแดดยามเช้าช่วงไหนที่ควรพาลูกตากแดด?แม้ว่าผู้ปกครองหลายๆท่านอาจจะกังวลอยู่ว่าจะพาลูกน้อยตากแดด⛅ได้จริงหรอ แต่ผิวของลูกบอบบางนะ แต่จริงๆแล้ว หากเลือกที่จะตากแดดในยามเช้าซึ่งมีแสงแดดอ่อนๆ ก็จะมีประโยชน์ต่อทารกได้นะคะ แสงแดดดีอย่างไร?🌞วิตามินดีหากพาลูกน้อยตากแดดในยามเช้าลูกก็จะได้รับวิตามินดีค่ะ ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายของทารกจะต้องการโดนรังสียูวีอย่างน้อย 15 นาทีแต่ไม่ควรเกิน 30 นาทีในแต่ละวัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสีโทนผิวของทารกโดยในทารกที่มีผิวคล้ำก็จะต้องการเวลาในการตากแดด⛅มากกว่าค่ะ ข้อดีเมื่อลูกน้อยได้รับวิตามินดีคือ มันจะช่วยในการดูดซึมแคลเซียมที่เป็นตัวช่วยในการเสริมสร้างกระดูก🦴และฟัน รวมถึงเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย🌞ลดอาการตัวเหลืองในทารกแสงแดดจะสามารถช่วยลดอาการตัวเหลืองในทารก👶ที่เกิดจากการเจริญเติบโตของบิลิรูบินเมื่อแรกเกิด หากผู้ปกครองพาลูกไปรับแสงแดดประมาณ 15-20 ต่อวันในช่วงเช้า จะสามารถลดอาการตัวเหลืองของลูกได้🌞ช่วยควบคุมระดับอินซูลินแม้ว่าแสงแดดจะไม่ได้เป็นตัวช่วยให้ระดับของอินซูลินดีโดยตรง แต่วิตามินดีที่ได้รับมาจากแสงแดดสู่ร่างกายนั้นจะเป็นตัวช่วยควบคุมระดับของอินซูลิน📉 ฉะนั้นหากลูกได้รับแสงแดดตั้งแต่เมื่ออายุยังน้อยจะสามารถช่วยป้องกันภาวะโรคเบาหวานได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็ต้องออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็จะช่วยในการป้องกันโรคเบาหวานได้ค่ะ🌞ฮอร์โมนเซโรโทนินนอกจากนั้นแสงแดดยังช่วยในเรื่องของการผลิตเซโรโทนินให้ดีขึ้น ซึ่งฮอร์โมนเซโรโทนินเป็นที่รู้จักกันในนามของฮอร์โมนแห่งความสุขนั่นเอง ซึ่งจะช่วยควบคุมการย่อยอาหาร และการนอนหลับในทารก💤อีกด้วยค่ะ 🌞เพิ่มระดับพลังงานแสงแดดธรรมชาติจะเป็นตัวควบคุมการผลิตเมลาโทนินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับและตื่นนอน เมื่อทารกได้รับแสงแดด⛅ระหว่างวันก็จะทำให้ระดับของเมลาโทนินลดลงและเพิ่มระดับพลังงานในที่สุดค่ะพาทารก 0-6 เดือนตากแดดอย่างไรดีช่วงเวลาที่เหมาะสมช่วงเวลาที่เหมาะสมในการพาลูกน้อยแรกเกิดถึง 6 เดือนการเดินเล่นคือช่วงเวลาก่อน 10 โมงเช้า🕐 หรือช่วงเวลาหลังบ่าย 4 โมง แต่ไม่ควรให้ลูกโดนแสงโดยตรง ให้ใช้รถเข็นเด็กที่มีผ้าคลุมกันแดด และไม่ควรทาครีมกันแดดให้ลูก เพราะผิวของทารกจะไม่สามารถขับเคมีในครีมกันแดดได้ วิธีเตรียมตัวเมื่อพาลูกไปเดินตากแดดควรสวมใส่ชุดมีความเบาบางเพื่อให้หายใจได้สะดวก โดยควรจะใส่หมวกเพื่อป้องกันแสงแดดโดนใบหน้า หู คอ และศรีษะของลูกน้อย👶โดยตรง รวมถึงใส่เสื้อผ้าที่มีความยาวคลุมแขนและขาของทารกรวมถึงควรซื้อแว่นกันแดดที่สามารถป้องกันยูวีเอและยูวีบีได้ เพื่อลดการสัมผัสของแสงยูวี⛅กับดวงตาของลูกน้อย การป้องกันตั้งแต่ยังเล็กจะลดโอกาสจอประสาทตาถูกทำลาย ต้อกระจกและปัญหาอื่นๆเกี่ยวกับดวงตาเมื่อออกไปข้างนอกให้กางร่ม☂️ให้ลูก หรือเปิดร่มในรถเข็นเด็ก รวมถึงเมื่อให้ลูกนั่งรถยนต์ส่วนตัวก็ควรจะมีที่บังแสงแดดแบบตาข่าย รวมถึงควรใช้ฟิมล์หน้าต่างที่สามารถกรองยูวีได้มากที่สุดหากเป็นไปได้พาทารก 6-12 เดือนตากแดดอย่างไรดีช่วงเวลาที่เหมาะสมผู้เชี่ยวชาญแนะนำช่วงเวลาในการพาทารกออกแสงแดดไว้คือช่วงเวลา 7 ถึง 10 โมงเช้า โดยควรตากแดดเวลาประมาณ 10-15 นาที🕐 ซึ่งช่วงเวลาที่ทารกจะได้รับประโยชน์สูงที่สุดคือช่วงหลังพระอาทิตย์ขึ้นหนึ่งชั่วโมงและช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกหนึ่งชั่วโมง โดยไม่ควรให้ลูกตากนานเกิน 30 นาที เพราะหากเกินกว่านั้นอาจทำให้ลูกเกิดอาการแสบร้อน ระคายเคือง เกิดรอยแดงได้ค่ะ วิธีเตรียมตัวเมื่อพาลูกไปเดินตากแดด⛅ ควรจะยังใส่เสื้อผ้า หมวก ร่มตามข้างต้นเพื่อป้องกันลูกน้อย👶อยู่แต่ให้เพิ่มครีมกันแดดให้ลูกด้วย โดยตอนนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถทาครีมกันแดดให้ลูกน้อยได้แล้ว ซึ่งควรเลือกครีมกันแดดสำหรับทารกโดยเฉพาะ และควรมีค่า SPF อย่างน้อย 30 และสามารถป้องกันรังสียูวีเอและยูวีบีได้ค่ะ
สารให้ความหวานในน้ำอัดลมก่อให้เกิดมะเร็ง?
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ยืนยันการจำแนกสารให้ความหวานเทียม แอสปาร์แตมเป็นสารที่ 'มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' หรือ 'Possibly carcinogenics to humans' ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้ 📢 ในขณะที่ข้อโต้แย้งด้านความปลอดภัยยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็กล่าวได้ว่าแอสปาร์แตมสามารถพบได้ในอาหารและเครื่องดื่มหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มลดน้ำหนัก เจลาติน หมากฝรั่ง ไอศกรีม ยาสีฟัน ยาอมแก้ไอ ผลิตภัณฑ์จากนม แล้วแบบนี้เราจะมีโอกาสเป็นมะเร็งหรือไม่ สารนี้จะหายไปจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเลยหรือไม่ คุณแม่หลายๆท่านกำลังสับสนกับเรื่องนี้🤰🏻 บิลลี่ จึงขออาสามาเช็กข้อเท็จจริงค่ะ!😉ทำความรู้จักกับแอสปาร์แตม🍹แอสปาร์แตม.....มีรสหวานกว่าน้ำตาล 200 เท่า แทบไม่มีแคลอรีเลย🙅🏻♀️ หลายๆท่านอาจจะยังไม่คุ้นกับชื่อของแอสปาร์แตม ซึ่งความจริงแล้วเราสามารถพบเจ้าแอสปาร์แตมนี้ในชีวิตประจำวันของเราได้ โดยสารนี้ใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากได้รับการอนุมัติในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2524 จึงเป็นสารปรุงแต่งอาหารที่ถูกนำมาใช้เพื่อให้อาหารมีรสหวาน 👅 ในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกโดยปัจจุบันยังคงมีการใช้ในอาหารและเครื่องดื่มแคลอรี่ต่ำ อย่าง Coke Zero, Diet Coke หมากฝรั่ง ลูกอม โยเกิร์ต ไอศรีม ซอส และขนมอีกหลากหลายชนิด แต่ไม่นานมานี้องค์กรอนามัยโลกหรือ WHO ประกาศให้เจ้าสารที่ถูกใช้ในเชิงเพื่อสุขภาพ กลายเป็นสารก่อมะเร็งแทน ข่าวนี้ทำให้ผู้อ่านหลายๆท่านหนักใจ เพราะเราต่างต้องเคยบริโภคสารนี้กันทั้งนั้น รู้จักประเภทของสารก่อมะเร็งองค์การระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง (IARC) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ WHO ได้ประกาศให้แอสปาร์แตมเป็นสารที่ 'มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' หรือ 'Possibly carcinogenics to humans'💥 ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้ โดย IARC ได้ระบุให้แอสปาร์แตมเป็นสารก่อมะเร็งในระดับ 2B ซึ่งการนิยามสารก่อมะเร็งของ IARC สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระดับใหญ่ๆดังนี้ระดับที่ 1 เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานบ่งชี้มากพอในเชิงสถิติ ว่าก่อให้เกิดโรคมะเร็งในมนุษย์ สารกลุ่มนี้ตามกฎหมายและข้อกำหนดขององค์กรอาหารและยาในแต่ละประเทศ จะต้องไม่ถูกเติมหรือมีการปนเปื้อนในอาหารอยู่แล้ว มักเป็นสารที่ถูกใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและวัสดุอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า ตัวอย่างสารในกลุ่มนี้ได้แก่ สารหนูหรืออาร์เซนิค หรือสารในกลุ่มเบนซีนค่ะระดับที่ 2A เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานงานวิจัยออกมายืนยันเช่นกันว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ยังถือว่ามีจำนวนงานวิจัยที่น้อย จึงได้แต่ใช้คำว่า 'มีแนวโน้มที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' แทน ยังไม่สามารถยืนยันได้เพราะยังมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือไม่เพียงพอค่ะ อย่างไรก็ตามสารในกลุ่มนี้ก็ยังมีหลักฐานบ่งชี้เพียงพอว่าก่อมะเร็งได้ในสัตว์ทดลองค่ะ ยกตัวอย่างเช่นซิลิกาที่ใช้ทำซองดูดความชื้นนั่นเองค่ะระดับที่ 2Bเป็นสารที่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ส่วนหนึ่งบ่งชี้ว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะยืนยัน ในกรณีของการก่อมะเร็งในสัตว์ก็มีแต่ยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าสามารถก่อมะเร็งได้เช่นเดียวกันค่ะ ซึ่งเจ้าแอสปาร์แตมเองก็อยู่ในกลุ่มนี้ นั่นทำให้เราสามารถตีความได้ว่า ทางองค์กรอนามัยโลกให้ข้อมูลว่าแอสปาร์แตมอาจจะก่อมะเร็งทั้งในสัตว์และในคน แต่ยังเป็นหลักฐานที่มีจำนวนน่าเชื่อถือไม่เพียงพอ เมื่อคำนวณความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติค่ะระดับที่ 3 เป็นสารที่ยังไม่มีข้อมูลว่าสามารถก่อมะเร็งได้ทั้งในร่างกายมนุษย์เองและร่างกายของสัตว์ค่ะสรุปแล้วแอสปาร์แตมอันตรายแค่ไหนแอสปาร์แตมก่อมะเร็งจริงหรือไม่?โดยความจริงแล้วสารระดับ 2B นั้นสามารถพบได้ในส่วนผสมในของที่เรารับประทานหรือใช้กันในชีวิตประจำวัน🍽️ อย่าง กรดคาเฟอิกในกาแฟ ว่างหางจระเข้ น้ำมันมะพร้าว รวมถึงกิมจิและผักดองอื่นๆด้วย ซึ่งคนไม่ได้ให้ความสำคัญเท่ากับสารทดแทนความหวาน หลักฐานจึงยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าแอสปาร์แตมจะทำให้เราเป็นมะเร็งจริงๆ แม้กระทั่งหลักฐานในสัตว์ทดลองเองก็ยังไม่ได้มีจำนวนมากพอที่จะยืนยันได้ จึงสามารถสรุปได้ว่า ไม่ได้ห้ามบริโภคเป็นอาหาร และไม่ได้หมายความว่าการรับประทานแอสปาร์แตมจะทำให้เกิดมะเร็ง แต่มีความจำเป็นที่จะต้องจำกัดปริมาณในการรับประทานสารให้ความหวานเทียมค่ะ🙌🏻 ยังสามารถรับประทานน้ำอัดลม 0% ได้หรือไม่?ยังสามารถรับประทานได้ค่ะ โดยค่าที่ปลอดภัยในการรับประทานแอสปาร์แตมจะอยู่ที่ไม่เกิน 40 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม👀 หากจะพูดให้เห็นภาพ หากคุณผู้อ่านมีน้ำหนักตัวประมาณ 50 กิโลกรัมนั่นหมายความว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานแอสปาร์แตมได้ในปริมาณที่ปลอดภัยไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ในน้ำอัดลมที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลหนึ่งกระป๋อง มักใส่แอสปาร์แตมไม่เกิน 300 มิลลิกรัม นั่นแปลว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานน้ำอัดลมชนิดนั้นได้ประมาณ 6-7 กระป๋องโดยประมาณเลย ซึ่งนับเป็นปริมาณที่ค่อนข้างเยอะมากต่อวัน หากไม่ได้ติดน้ำอัดลมกลุ่มนี้ เรามักจะกินไม่ถึงปริมาณที่มีความเสี่ยงว่าจะก่อมะเร็งอยู่แล้วค่ะ🫡 ข้อควรระวังสำหรับผู้ปกครอง🍹สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์จากการศึกษาที่ประกาศโดย American Society for Reproductive Medicine ในปี 2559 📑 สารให้ความหวานเทียมในเครื่องดื่ม 0% จะลดความสามารถของผู้หญิงในการปฏิสนธิและส่งผลต่อสุขภาพของเซลล์ไข่ โดยหากบริโภคในระหว่างตั้งครรภ์ ว่ากันว่าอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์และทำให้เด็กเสี่ยงเป็นโรคอ้วนได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มอัดลมที่มีระดับน้ำตาลสูงหากเป็นไปได้นะคะ!🙅🏻♀️🍹 แล้วคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังเลี้ยงลูกอยู่ล่ะ?หากคุณมีโรคทางพันธุกรรมที่เรียกว่าฟีนิลคีโตนูเรีย (PKU) ซึ่งไม่สามารถเผาผลาญแอสปาร์แตมได้ ก็ควรจะหลีกเลี่ยงการรับประทานสิ่งที่มีแอสปาร์แตม 🚫 โดยไม่ใช่เพียงคุณแม่และลูกน้อยเท่านั้นที่ควรเลี่ยง แต่ยังรวมถึงแม่ที่วางแผนหรือกำลังตั้งครรภ์ด้วย ในกรณีของทารกแรกเกิด ทารกจะได้รับการทดสอบที่โรงพยาบาลหลังคลอด ดังนั้นหากมีความผิดปกติก็สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนั้นไม่ต้องกังวลจนมากเกินไปนะคะ!แม้ว่ากระทรวงความปลอดภัยด้านอาหารและยาจะได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยของสารให้ความหวาน แต่คุณพ่อคุณแม่บางคนก็ยังคงกังวล ท่ามกลางความขัดแย้งเรื่องแอสปาร์แตม หัวหน้าสำนักโภชนาการและความปลอดภัยด้านอาหารของ WHO แนะนำว่าควรพิจารณา 'การดื่มน้ำแทนเครื่องดื่มที่มีรสหวาน🥛' แทนที่จะมองหาของหวานอื่นทดแทน ลองเลิกนิสัยชอบความหวานและพึ่งพาอาหารแปรรูป แล้วหันมาใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพกันดูนะคะ 💖
เคล็ดลับฝึกให้ลูกพูดสองภาษาตั้งแต่เด็ก
ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวไกลทำให้เรามีโอกาสได้พูดคุยจากคนต่างชาติได้ง่ายขึ้น รวมถึงเมื่อทำงานก็มีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร ดังนั้นการสอนให้ลูกพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษาก็จะทำให้ลูกได้เปรียบ ซึ่งเราจะมีวิธีสอนลูกอย่างไรให้ลูกสามารถพูดสองภาษาได้อย่างเป็นธรรมชาติและเรียนรู้อย่างรวดเร็ว เราไปดูกันเลยค่ะ กลยุทธ์การสอนภาษาที่สองให้ลูกควรจะสอนลูกพูดภาษาที่สองตั้งแต่เมื่อไหร่ดี?คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนให้ลูกพูดภาษาที่สอง🔤ได้ตั้งแต่ลูกยังอยู่ในครรภ์ได้เลยค่ะ โดยอาจอ่านนิทาน หรือ เปิดเพลงให้ฟังโดยใช้ภาษาที่สองก็จะทำให้ลูกทำความคุ้นเคยและเริ่มรับรู้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เพราะหากคุณแม่พูดกับลูกในครรภ์🤰บ่อยๆ ลูกก็จะเกิดการเรียนรู้และมีความคุ้นเคยกับมันค่ะ หลังคลอด คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถสอนต่อได้เลยจนลูกอายุ 7 ขวบ เพราะหลังจากนั้นลูกจะมีความคิดเป็นของตนเองและอาจต่อต้าน หรือ อาจรู้สึกสับสน รวมถึงยังเป็นวัยที่เข้าเรียนและได้รับการเรียนจากโรงเรียน🏫แล้วด้วยค่ะ คุณพ่อคุณแม่คือกุญแจสำคัญเทคนิคที่ดีที่สุดในการสอนลูกพูดสองภาษาคือตัวคุณพ่อ👨และคุณแม่👩เองค่ะ เพราะหากคุณพ่อคุณแม่พูดภาษาที่สองกับลูกในชีวิตประจำวันทุกๆวันๆ ทำให้เป็นเรื่องปกติลูกก็จะสามารถพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นอีกหนึ่งภาษา🔤ที่ใช้ในทุกๆวัน โดยเวลาคุยกับลูกก็ไม่ควรแปลให้ลูก ให้เริ่มพูดคำง่ายๆก่อนเช่น Dog, Go, Yes, No แล้วค่อยพูดยาวๆเป็นประโยคก็จะทำให้ลูกค่อยๆเข้าใจเองค่ะ วิธีทำให้ลูกจดจำได้ง่ายขึ้นเปิดการ์ตูนให้ลูกดู📺คุณพ่อคุณแม่สามารถเปิดการ์ตูนที่เป็นภาษาที่สองให้ลูกฟัง เพื่อให้ลูกซึมซึบสำเนียงและการออกเสียงที่ถูกต้อง อาจเปิดเพลงที่เป็นภาษาที่สอง หรือ อ่านนิทานภาษาที่สองให้ลูกฟัง เมื่อลูกได้ฟังบ่อยๆก็จะทำให้ลูกจดจำคำศัพท์ต่างๆได้ดีขึ้นค่ะ โปสเตอร์ภาษา หนัง หนังสืออ่าน📖ก็เป็นอีกตัวช่วยที่เป็นประโยชน์เมื่อสอนภาษาที่สองให้เจ้าตัวเล็ก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถสอดแทรกภาษาที่สองผ่านกิจกรรมต่างๆได้ โดยไม่ควรทำให้เป็นเรื่องที่จริงจังเพราะลูกจะเกิดการต่อต้านและจะไม่อยากเรียนรู้ค่ะ ทำกิจกรรมอื่นพร้อมกับสอนภาษาไปด้วยเมื่อทำกิจกรรมพร้อมๆกับการเรียนรู้ภาษา🔤จะทำให้เด็กเรียนรู้และจดจำได้มากกว่า ดังนั้น เมื่อคุณพ่อคุณแม่พาลูกน้อยออกไปข้างนอกลองชวนลูกพูดคุยและลองบอกคำศัพท์ต่างๆ เมื่อพบสิ่งของหรือสิ่งมีชีวิตต่างๆระหว่างทาง หรืออาจเปิดเพลง🎶ภาษาที่สองให้ลูกเต้นตามจังหวะเพลงไปด้วย หรือจะชวนลูกดูหนังที่เป็นภาษาอังกฤษโดยไม่มีซับ เพื่อให้ลูกได้ดูและฟังการกระทำของตัวละคร และจับความหมายของคำพูดนั้นๆอยากให้พูดเก่งต้องให้ลูกคิดเป็นภาษาอังกฤษวิธีทำให้ลูกคิดเป็นภาษาที่สองเทคนิคสำคัญที่ทำให้ลูกเก่งพูดสองภาษาคือการฝึกให้ลูกคิดเป็นภาษาอังกฤษ🔤แล้วสื่อสารออกมาได้ทันทีโดยไม่ต้องแปลกลับจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ โดยพยายามสื่อสารกับลูกด้วยภาษาอังกฤษแบบไม่ต้องแปลความหมายให้ฟัง แม้ว่าในช่วงแรกของการพูดลูกอาจจะไม่เข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่พูดถึงอะไร คุณพ่อ👨คุณแม่👩สามารถบอกใบ้โดยการชี้หรือทำท่าทางประกอบเพื่อให้ลูกเข้าใจ แทนการแปลหรือบอกให้ลูกฟังแล้วลูกจะเข้าใจได้เองค่ะ ใช้ความอดทนการจะฝึกให้ลูกพูดภาษาที่สองนั้น คุณพ่อคุณแม่จะต้องใช้ความอดทน และรอให้ลูกเรียนรู้ คอยพูดคุยกับลูกเป็นภาษาที่สอง และชมเชยเมื่อลูกทำสำเร็จลูกก็จะมีกำลังใจในการพูดและเรียนรู้เองค่ะ
การพัฒนาสมองของลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์เป็นยังไงนะ?
ทารกในครรภ์มีการก่อตัวของของระบบประสาทและสมอง🧠ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ในครรภ์ และเริ่มมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามช่วงอายุครรภ์ โดยคุณพ่อคุณแม่👫สามารถช่วยกระตุ้นการพัฒนาของลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ไปจนถึงหลังการคลอดของลูกได้เลยค่ะ นับตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์คุณพ่อคุณแม่อาจจะตื่นเต้นและรอวันที่ได้เจอหน้าลูกน้อย ดังนั้นทางเราจึงได้รวบรวมเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการกระตุ้นการพัฒนาสมองของทารกเพื่อให้ทารกมีพัฒนาการที่ดีสมวัยมาให้ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ทราบค่ะการกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ควรเริ่มเมื่อไหร่ดี?นับตั้งแต่กระบวนการปฏิสนธิสมบูรณ์ ไข่กับสเปิร์มจะสร้างเป็นตัวอ่อน ซึ่งตัวอ่อนในท้องของคุณแม่🤰ก็จะเริ่มพัฒนาไปเรื่อยๆ พร้อมกับสร้างอวัยวะรวมทั้งเซลล์สมองที่มีการเพิ่มจำนวนและขนาดอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นเนื้อสมองและเส้นใยประสาทที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายเส้นใยประสาทเพื่อทำหน้าที่ต่างๆ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่👫ควรเริ่มกระตุ้นการพัฒนาการสมองของลูกน้อยตั้งแต่อายุครรภ์ 8 สัปดาห์ ไปจนถึงอายุ 2 ขวบ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่คุณพ่อคุณแม่จะใส่ใจเรื่องการส่งเสริมการพัฒนาของลูกปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นให้ลูกมีพัฒนาการสมองที่ดีการที่ลูกจะมีพัฒนาการที่ดีนั้นมักเกี่ยวข้องกับหลายๆ ปัจจัย โดยปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อการพัฒนาของลูกน้อยในครรภ์ การพัฒนาการของวัยทารก รวมไปถึงการพัฒนาของระดับสติปัญญา🧠✨และการเรียนรู้ตั้งแต่ในครรภ์ไปจนถึงหลังคลอดมีดังนี้พันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาจากคุณพ่อคุณแม่พันธุกรรมของลูกน้อยนอกจากหน้าตา👶 สีผิว และสีผมที่ได้รับการถ่ายทอดมาแล้ว ยีน🧬ทั้งหมดในร่างกายยังมีความเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองและระบบประสาทด้วยการรับประทานอาหารและสารอาหารที่คุณแม่ได้รับในขณะตั้งครรภ์ช่วงตั้งครรภ์คุณแม่ต้องใส่ใจกับสุขภาพมากที่สุด ดังนั้นการใส่ใจเรื่องการรับประทานอาหารในช่วงนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะสารอาหารต่างๆ🥗 ที่คุณแม่รับประทานเข้าไปจะส่งผลกับทารกในครรภ์ ระบบการทำงานของร่างกายคุณแม่เสียงการทำงานของหัวใจ🫀 เสียงการบีบตัวของลำไส้ หรือเสียงการเคลื่อนไหวของกระแสโลหิตล้วนมีความสำคัญ เพราะลูกน้อยในท้องของคุณแม่สามารถได้ยิน👂เสียงพวกนี้ ซึ่งจะกระตุ้นเรื่องการพัฒนาการได้ยินของลูกน้อยอารมณ์ของคุณแม่ช่วงตั้งครรภ์หากคุณแม่มีความเครียดมาก😡ในระหว่างตั้งครรภ์จะส่งผลกระทบกับการพัฒนาสมองของลูกน้อยในครรภ์ด้วยวิธีการช่วยกระตุ้นให้ลูกฉลาดตั้งแต่อยู่ในครรภ์ลูบหน้าท้องกระตุ้นความรู้สึกการที่คุณแม่ลูบหน้าท้องเบาๆ🤰จะทำให้ลูกน้อยรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นระบบประสาทและสมองส่วนความรู้สึกได้ชวนลูกคุยบ่อยๆ หรือเปิดเสียงดนตรีให้ลูกฟังลูกน้อยในครรภ์ของคุณแม่สามารถได้ยินเสียงผ่านผนังหน้าท้อง🎧🤰 ซึ่งทารกในครรภ์จะได้ยินเสียงได้ดีตั้งแต่อายุครรภ์ 5 เดือนขึ้นไป การที่คุณพ่อคุณแม่มีการพูดคุยกับลูกส่งผลให้ทารกมีความคุ้นเคยจากเสียง และคุณแม่สามารถหยิบหนังสือ📖🗣️มาอ่านออกเสียงให้ลูกน้อยฟัง โดยเสียงจากคุณแม่จะกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อสมองที่มีความซับซ้อนของการได้ยิน ตีความเสียง และส่วนความทรงจำ นอกจากนี้การเปิดเพลง🎶ให้ลูกฟังทำให้ทารกในครรภ์มีพัฒนาการที่ดีทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ดีด้วย😄ส่องไฟฉายบริเวณผิวท้องของคุณแม่เพื่อกระตุ้นการมองเห็นคุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการส่วนการมองเห็น👁️ ด้วยการดึงดูดความสนใจของทารกในครรภ์ โดยการส่องไฟฉาย🔦 เลื่อนไป-มา หรือ เปิด-ปิดไฟฉาย พร้อมกับพูดคุยและเล่นกับลูกน้อยไปด้วย แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ทำในที่มืด🌌จะช่วยเรื่องการมองเห็นได้ดีกว่าที่สว่าง และควรเริ่มทำตั้งแต่ทารกเริ่มดิ้นไปจนถึงวันที่คลอด การนั่งโยกเก้าอี้ หรือการออกกำลังกายจะช่วยพัฒนาการเคลื่อนไหวของลูกคุณแม่สามารถนั่งโยกเก้าอี้🪑หน้า-หลัง พร้อมเอามือลูบหน้าท้องไปพรางๆ และเปิดเพลงฟัง🎵 หรือออกกำลังกายเบาๆ จะช่วยกระตุ้นเรื่องการพัฒนาด้านเซลล์ประสาทการทรงตัวและพัฒนาเรื่องระบบประสาทการสัมผัสของทารก คุณแม่ควรใส่ใจเรื่องการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์🍲 หมั่นดูแลร่างกายให้พร้อมจนถึงวันคลอด และนอกจากการบำรุงร่างกายที่ดีแล้ว คุณแม่ควรออกกำลังกาย🚶♀️แต่พอเหมาะ ไม่ควรหักโหมจนเกินไป เพราะอาจจะเกิดอันตรายต่อตัวคุณแม่และทารกในครรภ์ได้ รวมไปถึงการให้ความสำคัญต่อการเสริมพัฒนาการของทารกในครรภ์ เพื่อเป็นการช่วยให้ลูกมีพัฒนาการการเรียนรู้ที่ดี โดยเน้นให้ความสำคัญเกี่ยวกับการกระตุ้นสมอง🧠และระบบประสาทตั้งแต่ลูกน้อยอยู่ในครรภ์ไปจนถึงหลังการคลอด🤱
ระวัง! แบบนี้ไม่ควรทำกับทารก!
เมื่อมีทารกเกิดใหม่แน่นอนว่าทุกคนในบ้านต่างก็ดีใจ และก็อยากชื่นชมความน่ารักของน้องใหม่ พร้อมทั้งต้อนรับเป็นอย่างดี ซึ่งในบางครั้งเรา คนในครอบครัว หรือ เพื่อนที่มาเยี่ยมนั้น ก็อาจเผลอทำอะไรที่ไม่ควรทำกับทารกไปโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งวันนี้เราจึงได้นำข้อห้ามต่างๆ ที่ไม่ควรทำกับทารกมาฝากกันแล้วค่ะ จะมีอะไรบ้างนั้นเราไปดูกันเลยค่ะ ทำแบบนี้อันตราย!ไม่ควรจับทารกเหวี่ยงคุณพ่อบางท่านอาจจะชอบจับลูกน้อยเหวี่ยงไปมา เพราะลูก👶ก็ดูสนุกสนานหัวเราะใหญ่ ซึ่งที่จริงแล้วการจับทารกเหวี่ยงนั้นมีความอันตรายอย่างมาก โดยเฉพาะหากไปจับในบริเวณแขนหรือขาแล้วจับเหวี่ยง จะทำให้ลูกเสี่ยงกระดูก หรือ ข้อต่อหักได้🦴 ดังนั้นอย่าจับลูกเหวี่ยงจะดีที่สุดนะคะไม่ควรเขย่าตัวทารกบางคนเมื่อลูกร้องไห้มากๆ และไม่รู้ว่าจะให้ลูกหยุดร้องไห้ด้วยวิธีไหนดี จึงเขย่าตัวทารก ซึ่งการเขย่าตัวทารกนั้นมีความอันตรายกว่าที่คิด เพราะมีผลให้เส้นเลือดในดวงตา👀หรือสมอง🧠ฉีกขาดได้ รวมถึงอาจทำให้ประสาทตาของทารกหลุดลอก ยิ่งกว่านั้นแผลที่เกิดขึ้นในสมองของทารกอาจทำให้ทารกเสียชีวิตได้ ดังนั้นเราไม่ควรจะไปเขย่าตัวทารกนะคะ ข้อห้ามที่ไม่ควรทำกับทารกไม่ควรให้ทานอาหารเสริมก่อนอายุ 6 เดือนเนื่องจากว่าระบบกระเพาะอาหารของทารกนั้นยังเจริญไม่เต็มที่ดังนั้นเมื่อทานอาหารเสริม🍲ก็จะทำให้เกิดอาหารย่อยไม่ได้ และอาจทำให้ลำไส้อุดตัน และลำไส้เน่าตามมาได้นั่นเองค่ะไม่ควรจุ๊บปากหรือหอมแก้มทารกเหตุผลนั้นเป็นเพราะ เราอาจเป็นตัวนำพาเชื้อโรค🦠ที่ไม่แสดงอาการในผู้ใหญ่ที่มีภูมิคุ้มกันดีกว่า ไปให้กับทารกที่มีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าได้นั่นเองค่ะ ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัด มือเท้าปาก เริม หัด อีสุกสีใสและอื่นๆ อีกโดยควรรอให้ทารกอายุครบ 3 เดือนจะดีกว่านะคะ ไม่ควรดัดขาทารกอาจมีความเชื่อที่บอกว่าจะต้องดัดขา🦵ทารกเพื่อป้องกันขาโก่ง หรือไม่ควรให้ใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูป เพราะเชื่อว่าจะทำให้ขาโก่ง ซึ่งความจริงแล้วการดัดขาทารกอาจทำให้ทารกเจ็บ และการดัดขาเองก็ไม่สามารถสร้างแรงกดกับกระดูกขาได้ แถมการใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปก็ไม่ได้ทำให้ขาโก่งด้วยระวังสิ่งเหล่านี้ไม่ล้างมือก่อนจับทารกการจับทารกทั้งๆที่มือ✋ยังไม่สะอาด อาจทำให้เชื้อโรคต่างๆแพร่สู่ทารกได้ ดังนั้นก่อนสัมผัสก็ควรจะล้างมือ รวมถึงคอยล้างอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆของทารกอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันสิ่งสกปรกและแบคทีเรียต่างๆค่ะ ไม่ควรพาออกนอกบ้านก่อนอายุ 3 เดือนเนื่องจากระบบต่างๆของทารกยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ รวมถึงภูมิคุ้มยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรพาน้องออกจากบ้านเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ🦠 ต่างๆ (ยกเว้นไปโรงพยาบาลตามนัดของคุณหมอ)ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ผลิตขึ้นเพื่อทารกโดยเฉพาะเพราะว่าผิวของทารกมีความบอบบางมากดังนั้นการใช้สบู่ แชมพู🧴 หรือของต่างๆของผู้ใหญ่ อาจทำให้มีสารตกค้างและเกิดอาการแพ้ได้ค่ะ เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับข้อระวังต่างๆ ทราบอย่างนี้แล้วก็อย่าลืมบอกคนรอบข้างเพื่อให้ลูกน้อยมีสุขภาพที่แข็งแรงปลอดภัยกันนะคะ
👉 List บทความ10-12 เดือน











