Baby Image

ที่แอป Baby Billy คุณสามารถดูเนื้อหาเพิ่มเติมได้!

📖 บทความที่ถูกอ่านมากที่สุด

Content Image

พาลูกตากแสงแดดยามเช้าดีไหม?

คุณพ่อคุณแม่หลายๆคน ไม่กล้าพาลูกไปตากแดดข้างนอกเพราะกลัวว่าแสงแดดจะเป็นตัวทำร้ายผิวของลูก เพราะทารกยังมีผิวที่บอบบาง แต่ความจริงแล้วหากเลือกช่วงเวลาการพาลูกน้อยออกไปตากแดดได้อย่างเหมาะสม แสงแดดก็สามารถเป็นประโยชน์ให้กับลูกน้อยได้นะคะ ข้อดีของการตากแดดยามเช้าช่วงไหนที่ควรพาลูกตากแดด?แม้ว่าผู้ปกครองหลายๆท่านอาจจะกังวลอยู่ว่าจะพาลูกน้อยตากแดด⛅ได้จริงหรอ แต่ผิวของลูกบอบบางนะ แต่จริงๆแล้ว หากเลือกที่จะตากแดดในยามเช้าซึ่งมีแสงแดดอ่อนๆ ก็จะมีประโยชน์ต่อทารกได้นะคะ แสงแดดดีอย่างไร?🌞วิตามินดีหากพาลูกน้อยตากแดดในยามเช้าลูกก็จะได้รับวิตามินดีค่ะ ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายของทารกจะต้องการโดนรังสียูวีอย่างน้อย 15 นาทีแต่ไม่ควรเกิน 30 นาทีในแต่ละวัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสีโทนผิวของทารกโดยในทารกที่มีผิวคล้ำก็จะต้องการเวลาในการตากแดด⛅มากกว่าค่ะ ข้อดีเมื่อลูกน้อยได้รับวิตามินดีคือ มันจะช่วยในการดูดซึมแคลเซียมที่เป็นตัวช่วยในการเสริมสร้างกระดูก🦴และฟัน รวมถึงเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย🌞ลดอาการตัวเหลืองในทารกแสงแดดจะสามารถช่วยลดอาการตัวเหลืองในทารก👶ที่เกิดจากการเจริญเติบโตของบิลิรูบินเมื่อแรกเกิด หากผู้ปกครองพาลูกไปรับแสงแดดประมาณ 15-20 ต่อวันในช่วงเช้า จะสามารถลดอาการตัวเหลืองของลูกได้🌞ช่วยควบคุมระดับอินซูลินแม้ว่าแสงแดดจะไม่ได้เป็นตัวช่วยให้ระดับของอินซูลินดีโดยตรง แต่วิตามินดีที่ได้รับมาจากแสงแดดสู่ร่างกายนั้นจะเป็นตัวช่วยควบคุมระดับของอินซูลิน📉 ฉะนั้นหากลูกได้รับแสงแดดตั้งแต่เมื่ออายุยังน้อยจะสามารถช่วยป้องกันภาวะโรคเบาหวานได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็ต้องออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็จะช่วยในการป้องกันโรคเบาหวานได้ค่ะ🌞ฮอร์โมนเซโรโทนินนอกจากนั้นแสงแดดยังช่วยในเรื่องของการผลิตเซโรโทนินให้ดีขึ้น ซึ่งฮอร์โมนเซโรโทนินเป็นที่รู้จักกันในนามของฮอร์โมนแห่งความสุขนั่นเอง ซึ่งจะช่วยควบคุมการย่อยอาหาร และการนอนหลับในทารก💤อีกด้วยค่ะ 🌞เพิ่มระดับพลังงานแสงแดดธรรมชาติจะเป็นตัวควบคุมการผลิตเมลาโทนินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับและตื่นนอน เมื่อทารกได้รับแสงแดด⛅ระหว่างวันก็จะทำให้ระดับของเมลาโทนินลดลงและเพิ่มระดับพลังงานในที่สุดค่ะพาทารก 0-6 เดือนตากแดดอย่างไรดีช่วงเวลาที่เหมาะสมช่วงเวลาที่เหมาะสมในการพาลูกน้อยแรกเกิดถึง 6 เดือนการเดินเล่นคือช่วงเวลาก่อน 10 โมงเช้า🕐 หรือช่วงเวลาหลังบ่าย 4 โมง แต่ไม่ควรให้ลูกโดนแสงโดยตรง ให้ใช้รถเข็นเด็กที่มีผ้าคลุมกันแดด และไม่ควรทาครีมกันแดดให้ลูก เพราะผิวของทารกจะไม่สามารถขับเคมีในครีมกันแดดได้ วิธีเตรียมตัวเมื่อพาลูกไปเดินตากแดดควรสวมใส่ชุดมีความเบาบางเพื่อให้หายใจได้สะดวก โดยควรจะใส่หมวกเพื่อป้องกันแสงแดดโดนใบหน้า หู คอ และศรีษะของลูกน้อย👶โดยตรง รวมถึงใส่เสื้อผ้าที่มีความยาวคลุมแขนและขาของทารกรวมถึงควรซื้อแว่นกันแดดที่สามารถป้องกันยูวีเอและยูวีบีได้ เพื่อลดการสัมผัสของแสงยูวี⛅กับดวงตาของลูกน้อย การป้องกันตั้งแต่ยังเล็กจะลดโอกาสจอประสาทตาถูกทำลาย ต้อกระจกและปัญหาอื่นๆเกี่ยวกับดวงตาเมื่อออกไปข้างนอกให้กางร่ม☂️ให้ลูก หรือเปิดร่มในรถเข็นเด็ก รวมถึงเมื่อให้ลูกนั่งรถยนต์ส่วนตัวก็ควรจะมีที่บังแสงแดดแบบตาข่าย รวมถึงควรใช้ฟิมล์หน้าต่างที่สามารถกรองยูวีได้มากที่สุดหากเป็นไปได้พาทารก 6-12 เดือนตากแดดอย่างไรดีช่วงเวลาที่เหมาะสมผู้เชี่ยวชาญแนะนำช่วงเวลาในการพาทารกออกแสงแดดไว้คือช่วงเวลา 7 ถึง 10 โมงเช้า โดยควรตากแดดเวลาประมาณ 10-15 นาที🕐 ซึ่งช่วงเวลาที่ทารกจะได้รับประโยชน์สูงที่สุดคือช่วงหลังพระอาทิตย์ขึ้นหนึ่งชั่วโมงและช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกหนึ่งชั่วโมง โดยไม่ควรให้ลูกตากนานเกิน 30 นาที เพราะหากเกินกว่านั้นอาจทำให้ลูกเกิดอาการแสบร้อน ระคายเคือง เกิดรอยแดงได้ค่ะ วิธีเตรียมตัวเมื่อพาลูกไปเดินตากแดด⛅ ควรจะยังใส่เสื้อผ้า หมวก ร่มตามข้างต้นเพื่อป้องกันลูกน้อย👶อยู่แต่ให้เพิ่มครีมกันแดดให้ลูกด้วย โดยตอนนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถทาครีมกันแดดให้ลูกน้อยได้แล้ว ซึ่งควรเลือกครีมกันแดดสำหรับทารกโดยเฉพาะ และควรมีค่า SPF อย่างน้อย 30 และสามารถป้องกันรังสียูวีเอและยูวีบีได้ค่ะ

Content Image

สารให้ความหวานในน้ำอัดลมก่อให้เกิดมะเร็ง?

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ยืนยันการจำแนกสารให้ความหวานเทียม แอสปาร์แตมเป็นสารที่ 'มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' หรือ 'Possibly carcinogenics to humans' ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้  📢 ในขณะที่ข้อโต้แย้งด้านความปลอดภัยยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็กล่าวได้ว่าแอสปาร์แตมสามารถพบได้ในอาหารและเครื่องดื่มหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มลดน้ำหนัก เจลาติน หมากฝรั่ง ไอศกรีม ยาสีฟัน ยาอมแก้ไอ ผลิตภัณฑ์จากนม แล้วแบบนี้เราจะมีโอกาสเป็นมะเร็งหรือไม่ สารนี้จะหายไปจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเลยหรือไม่ คุณแม่หลายๆท่านกำลังสับสนกับเรื่องนี้🤰🏻 บิลลี่ จึงขออาสามาเช็กข้อเท็จจริงค่ะ!😉ทำความรู้จักกับแอสปาร์แตม🍹แอสปาร์แตม.....มีรสหวานกว่าน้ำตาล 200 เท่า แทบไม่มีแคลอรีเลย🙅🏻‍♀️ หลายๆท่านอาจจะยังไม่คุ้นกับชื่อของแอสปาร์แตม ซึ่งความจริงแล้วเราสามารถพบเจ้าแอสปาร์แตมนี้ในชีวิตประจำวันของเราได้ โดยสารนี้ใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากได้รับการอนุมัติในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2524 จึงเป็นสารปรุงแต่งอาหารที่ถูกนำมาใช้เพื่อให้อาหารมีรสหวาน 👅 ในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกโดยปัจจุบันยังคงมีการใช้ในอาหารและเครื่องดื่มแคลอรี่ต่ำ อย่าง Coke Zero, Diet Coke หมากฝรั่ง ลูกอม โยเกิร์ต ไอศรีม ซอส และขนมอีกหลากหลายชนิด แต่ไม่นานมานี้องค์กรอนามัยโลกหรือ WHO ประกาศให้เจ้าสารที่ถูกใช้ในเชิงเพื่อสุขภาพ กลายเป็นสารก่อมะเร็งแทน ข่าวนี้ทำให้ผู้อ่านหลายๆท่านหนักใจ เพราะเราต่างต้องเคยบริโภคสารนี้กันทั้งนั้น รู้จักประเภทของสารก่อมะเร็งองค์การระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง (IARC) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ WHO ได้ประกาศให้แอสปาร์แตมเป็นสารที่ 'มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' หรือ 'Possibly carcinogenics to humans'💥 ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้  โดย IARC ได้ระบุให้แอสปาร์แตมเป็นสารก่อมะเร็งในระดับ 2B ซึ่งการนิยามสารก่อมะเร็งของ IARC สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระดับใหญ่ๆดังนี้ระดับที่ 1 เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานบ่งชี้มากพอในเชิงสถิติ ว่าก่อให้เกิดโรคมะเร็งในมนุษย์ สารกลุ่มนี้ตามกฎหมายและข้อกำหนดขององค์กรอาหารและยาในแต่ละประเทศ จะต้องไม่ถูกเติมหรือมีการปนเปื้อนในอาหารอยู่แล้ว มักเป็นสารที่ถูกใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและวัสดุอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า ตัวอย่างสารในกลุ่มนี้ได้แก่ สารหนูหรืออาร์เซนิค หรือสารในกลุ่มเบนซีนค่ะระดับที่ 2A เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานงานวิจัยออกมายืนยันเช่นกันว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ยังถือว่ามีจำนวนงานวิจัยที่น้อย จึงได้แต่ใช้คำว่า 'มีแนวโน้มที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' แทน ยังไม่สามารถยืนยันได้เพราะยังมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือไม่เพียงพอค่ะ อย่างไรก็ตามสารในกลุ่มนี้ก็ยังมีหลักฐานบ่งชี้เพียงพอว่าก่อมะเร็งได้ในสัตว์ทดลองค่ะ ยกตัวอย่างเช่นซิลิกาที่ใช้ทำซองดูดความชื้นนั่นเองค่ะระดับที่ 2Bเป็นสารที่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ส่วนหนึ่งบ่งชี้ว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะยืนยัน ในกรณีของการก่อมะเร็งในสัตว์ก็มีแต่ยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าสามารถก่อมะเร็งได้เช่นเดียวกันค่ะ ซึ่งเจ้าแอสปาร์แตมเองก็อยู่ในกลุ่มนี้ นั่นทำให้เราสามารถตีความได้ว่า ทางองค์กรอนามัยโลกให้ข้อมูลว่าแอสปาร์แตมอาจจะก่อมะเร็งทั้งในสัตว์และในคน แต่ยังเป็นหลักฐานที่มีจำนวนน่าเชื่อถือไม่เพียงพอ เมื่อคำนวณความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติค่ะระดับที่ 3 เป็นสารที่ยังไม่มีข้อมูลว่าสามารถก่อมะเร็งได้ทั้งในร่างกายมนุษย์เองและร่างกายของสัตว์ค่ะสรุปแล้วแอสปาร์แตมอันตรายแค่ไหนแอสปาร์แตมก่อมะเร็งจริงหรือไม่?โดยความจริงแล้วสารระดับ 2B นั้นสามารถพบได้ในส่วนผสมในของที่เรารับประทานหรือใช้กันในชีวิตประจำวัน🍽️ อย่าง กรดคาเฟอิกในกาแฟ ว่างหางจระเข้ น้ำมันมะพร้าว รวมถึงกิมจิและผักดองอื่นๆด้วย ซึ่งคนไม่ได้ให้ความสำคัญเท่ากับสารทดแทนความหวาน หลักฐานจึงยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าแอสปาร์แตมจะทำให้เราเป็นมะเร็งจริงๆ แม้กระทั่งหลักฐานในสัตว์ทดลองเองก็ยังไม่ได้มีจำนวนมากพอที่จะยืนยันได้ จึงสามารถสรุปได้ว่า ไม่ได้ห้ามบริโภคเป็นอาหาร และไม่ได้หมายความว่าการรับประทานแอสปาร์แตมจะทำให้เกิดมะเร็ง แต่มีความจำเป็นที่จะต้องจำกัดปริมาณในการรับประทานสารให้ความหวานเทียมค่ะ🙌🏻  ยังสามารถรับประทานน้ำอัดลม 0% ได้หรือไม่?ยังสามารถรับประทานได้ค่ะ โดยค่าที่ปลอดภัยในการรับประทานแอสปาร์แตมจะอยู่ที่ไม่เกิน 40 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม👀 หากจะพูดให้เห็นภาพ หากคุณผู้อ่านมีน้ำหนักตัวประมาณ 50 กิโลกรัมนั่นหมายความว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานแอสปาร์แตมได้ในปริมาณที่ปลอดภัยไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ในน้ำอัดลมที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลหนึ่งกระป๋อง มักใส่แอสปาร์แตมไม่เกิน 300 มิลลิกรัม นั่นแปลว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานน้ำอัดลมชนิดนั้นได้ประมาณ 6-7 กระป๋องโดยประมาณเลย ซึ่งนับเป็นปริมาณที่ค่อนข้างเยอะมากต่อวัน หากไม่ได้ติดน้ำอัดลมกลุ่มนี้ เรามักจะกินไม่ถึงปริมาณที่มีความเสี่ยงว่าจะก่อมะเร็งอยู่แล้วค่ะ🫡 ข้อควรระวังสำหรับผู้ปกครอง🍹สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์จากการศึกษาที่ประกาศโดย American Society for Reproductive Medicine ในปี 2559 📑 สารให้ความหวานเทียมในเครื่องดื่ม 0% จะลดความสามารถของผู้หญิงในการปฏิสนธิและส่งผลต่อสุขภาพของเซลล์ไข่ โดยหากบริโภคในระหว่างตั้งครรภ์ ว่ากันว่าอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์และทำให้เด็กเสี่ยงเป็นโรคอ้วนได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มอัดลมที่มีระดับน้ำตาลสูงหากเป็นไปได้นะคะ!🙅🏻‍♀️🍹 แล้วคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังเลี้ยงลูกอยู่ล่ะ?หากคุณมีโรคทางพันธุกรรมที่เรียกว่าฟีนิลคีโตนูเรีย (PKU) ซึ่งไม่สามารถเผาผลาญแอสปาร์แตมได้ ก็ควรจะหลีกเลี่ยงการรับประทานสิ่งที่มีแอสปาร์แตม 🚫 โดยไม่ใช่เพียงคุณแม่และลูกน้อยเท่านั้นที่ควรเลี่ยง แต่ยังรวมถึงแม่ที่วางแผนหรือกำลังตั้งครรภ์ด้วย ในกรณีของทารกแรกเกิด ทารกจะได้รับการทดสอบที่โรงพยาบาลหลังคลอด ดังนั้นหากมีความผิดปกติก็สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนั้นไม่ต้องกังวลจนมากเกินไปนะคะ!แม้ว่ากระทรวงความปลอดภัยด้านอาหารและยาจะได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยของสารให้ความหวาน แต่คุณพ่อคุณแม่บางคนก็ยังคงกังวล ท่ามกลางความขัดแย้งเรื่องแอสปาร์แตม หัวหน้าสำนักโภชนาการและความปลอดภัยด้านอาหารของ WHO แนะนำว่าควรพิจารณา 'การดื่มน้ำแทนเครื่องดื่มที่มีรสหวาน🥛' แทนที่จะมองหาของหวานอื่นทดแทน ลองเลิกนิสัยชอบความหวานและพึ่งพาอาหารแปรรูป แล้วหันมาใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพกันดูนะคะ 💖

Content Image

เคล็ดลับฝึกให้ลูกพูดสองภาษาตั้งแต่เด็ก

ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวไกลทำให้เรามีโอกาสได้พูดคุยจากคนต่างชาติได้ง่ายขึ้น รวมถึงเมื่อทำงานก็มีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร ดังนั้นการสอนให้ลูกพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษาก็จะทำให้ลูกได้เปรียบ ซึ่งเราจะมีวิธีสอนลูกอย่างไรให้ลูกสามารถพูดสองภาษาได้อย่างเป็นธรรมชาติและเรียนรู้อย่างรวดเร็ว เราไปดูกันเลยค่ะ กลยุทธ์การสอนภาษาที่สองให้ลูกควรจะสอนลูกพูดภาษาที่สองตั้งแต่เมื่อไหร่ดี?คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนให้ลูกพูดภาษาที่สอง🔤ได้ตั้งแต่ลูกยังอยู่ในครรภ์ได้เลยค่ะ โดยอาจอ่านนิทาน หรือ เปิดเพลงให้ฟังโดยใช้ภาษาที่สองก็จะทำให้ลูกทำความคุ้นเคยและเริ่มรับรู้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เพราะหากคุณแม่พูดกับลูกในครรภ์🤰บ่อยๆ ลูกก็จะเกิดการเรียนรู้และมีความคุ้นเคยกับมันค่ะ หลังคลอด คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถสอนต่อได้เลยจนลูกอายุ 7 ขวบ เพราะหลังจากนั้นลูกจะมีความคิดเป็นของตนเองและอาจต่อต้าน หรือ อาจรู้สึกสับสน รวมถึงยังเป็นวัยที่เข้าเรียนและได้รับการเรียนจากโรงเรียน🏫แล้วด้วยค่ะ คุณพ่อคุณแม่คือกุญแจสำคัญเทคนิคที่ดีที่สุดในการสอนลูกพูดสองภาษาคือตัวคุณพ่อ👨และคุณแม่👩เองค่ะ เพราะหากคุณพ่อคุณแม่พูดภาษาที่สองกับลูกในชีวิตประจำวันทุกๆวันๆ ทำให้เป็นเรื่องปกติลูกก็จะสามารถพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นอีกหนึ่งภาษา🔤ที่ใช้ในทุกๆวัน โดยเวลาคุยกับลูกก็ไม่ควรแปลให้ลูก ให้เริ่มพูดคำง่ายๆก่อนเช่น Dog, Go, Yes, No แล้วค่อยพูดยาวๆเป็นประโยคก็จะทำให้ลูกค่อยๆเข้าใจเองค่ะ วิธีทำให้ลูกจดจำได้ง่ายขึ้นเปิดการ์ตูนให้ลูกดู📺คุณพ่อคุณแม่สามารถเปิดการ์ตูนที่เป็นภาษาที่สองให้ลูกฟัง เพื่อให้ลูกซึมซึบสำเนียงและการออกเสียงที่ถูกต้อง อาจเปิดเพลงที่เป็นภาษาที่สอง หรือ อ่านนิทานภาษาที่สองให้ลูกฟัง เมื่อลูกได้ฟังบ่อยๆก็จะทำให้ลูกจดจำคำศัพท์ต่างๆได้ดีขึ้นค่ะ โปสเตอร์ภาษา หนัง หนังสืออ่าน📖ก็เป็นอีกตัวช่วยที่เป็นประโยชน์เมื่อสอนภาษาที่สองให้เจ้าตัวเล็ก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถสอดแทรกภาษาที่สองผ่านกิจกรรมต่างๆได้ โดยไม่ควรทำให้เป็นเรื่องที่จริงจังเพราะลูกจะเกิดการต่อต้านและจะไม่อยากเรียนรู้ค่ะ ทำกิจกรรมอื่นพร้อมกับสอนภาษาไปด้วยเมื่อทำกิจกรรมพร้อมๆกับการเรียนรู้ภาษา🔤จะทำให้เด็กเรียนรู้และจดจำได้มากกว่า ดังนั้น เมื่อคุณพ่อคุณแม่พาลูกน้อยออกไปข้างนอกลองชวนลูกพูดคุยและลองบอกคำศัพท์ต่างๆ เมื่อพบสิ่งของหรือสิ่งมีชีวิตต่างๆระหว่างทาง หรืออาจเปิดเพลง🎶ภาษาที่สองให้ลูกเต้นตามจังหวะเพลงไปด้วย หรือจะชวนลูกดูหนังที่เป็นภาษาอังกฤษโดยไม่มีซับ เพื่อให้ลูกได้ดูและฟังการกระทำของตัวละคร และจับความหมายของคำพูดนั้นๆอยากให้พูดเก่งต้องให้ลูกคิดเป็นภาษาอังกฤษวิธีทำให้ลูกคิดเป็นภาษาที่สองเทคนิคสำคัญที่ทำให้ลูกเก่งพูดสองภาษาคือการฝึกให้ลูกคิดเป็นภาษาอังกฤษ🔤แล้วสื่อสารออกมาได้ทันทีโดยไม่ต้องแปลกลับจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ โดยพยายามสื่อสารกับลูกด้วยภาษาอังกฤษแบบไม่ต้องแปลความหมายให้ฟัง แม้ว่าในช่วงแรกของการพูดลูกอาจจะไม่เข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่พูดถึงอะไร คุณพ่อ👨คุณแม่👩สามารถบอกใบ้โดยการชี้หรือทำท่าทางประกอบเพื่อให้ลูกเข้าใจ แทนการแปลหรือบอกให้ลูกฟังแล้วลูกจะเข้าใจได้เองค่ะ ใช้ความอดทนการจะฝึกให้ลูกพูดภาษาที่สองนั้น คุณพ่อคุณแม่จะต้องใช้ความอดทน และรอให้ลูกเรียนรู้ คอยพูดคุยกับลูกเป็นภาษาที่สอง และชมเชยเมื่อลูกทำสำเร็จลูกก็จะมีกำลังใจในการพูดและเรียนรู้เองค่ะ 

Content Image

การพัฒนาสมองของลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์เป็นยังไงนะ?

     ทารกในครรภ์มีการก่อตัวของของระบบประสาทและสมอง🧠ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ในครรภ์ และเริ่มมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามช่วงอายุครรภ์ โดยคุณพ่อคุณแม่👫สามารถช่วยกระตุ้นการพัฒนาของลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ไปจนถึงหลังการคลอดของลูกได้เลยค่ะ นับตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์คุณพ่อคุณแม่อาจจะตื่นเต้นและรอวันที่ได้เจอหน้าลูกน้อย ดังนั้นทางเราจึงได้รวบรวมเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการกระตุ้นการพัฒนาสมองของทารกเพื่อให้ทารกมีพัฒนาการที่ดีสมวัยมาให้ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ทราบค่ะการกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ควรเริ่มเมื่อไหร่ดี?นับตั้งแต่กระบวนการปฏิสนธิสมบูรณ์ ไข่กับสเปิร์มจะสร้างเป็นตัวอ่อน ซึ่งตัวอ่อนในท้องของคุณแม่🤰ก็จะเริ่มพัฒนาไปเรื่อยๆ พร้อมกับสร้างอวัยวะรวมทั้งเซลล์สมองที่มีการเพิ่มจำนวนและขนาดอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นเนื้อสมองและเส้นใยประสาทที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายเส้นใยประสาทเพื่อทำหน้าที่ต่างๆ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่👫ควรเริ่มกระตุ้นการพัฒนาการสมองของลูกน้อยตั้งแต่อายุครรภ์ 8 สัปดาห์ ไปจนถึงอายุ 2 ขวบ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่คุณพ่อคุณแม่จะใส่ใจเรื่องการส่งเสริมการพัฒนาของลูกปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นให้ลูกมีพัฒนาการสมองที่ดีการที่ลูกจะมีพัฒนาการที่ดีนั้นมักเกี่ยวข้องกับหลายๆ ปัจจัย โดยปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อการพัฒนาของลูกน้อยในครรภ์ การพัฒนาการของวัยทารก รวมไปถึงการพัฒนาของระดับสติปัญญา🧠✨และการเรียนรู้ตั้งแต่ในครรภ์ไปจนถึงหลังคลอดมีดังนี้พันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาจากคุณพ่อคุณแม่พันธุกรรมของลูกน้อยนอกจากหน้าตา👶 สีผิว และสีผมที่ได้รับการถ่ายทอดมาแล้ว ยีน🧬ทั้งหมดในร่างกายยังมีความเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองและระบบประสาทด้วยการรับประทานอาหารและสารอาหารที่คุณแม่ได้รับในขณะตั้งครรภ์ช่วงตั้งครรภ์คุณแม่ต้องใส่ใจกับสุขภาพมากที่สุด ดังนั้นการใส่ใจเรื่องการรับประทานอาหารในช่วงนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะสารอาหารต่างๆ🥗 ที่คุณแม่รับประทานเข้าไปจะส่งผลกับทารกในครรภ์ ระบบการทำงานของร่างกายคุณแม่เสียงการทำงานของหัวใจ🫀 เสียงการบีบตัวของลำไส้ หรือเสียงการเคลื่อนไหวของกระแสโลหิตล้วนมีความสำคัญ เพราะลูกน้อยในท้องของคุณแม่สามารถได้ยิน👂เสียงพวกนี้ ซึ่งจะกระตุ้นเรื่องการพัฒนาการได้ยินของลูกน้อยอารมณ์ของคุณแม่ช่วงตั้งครรภ์หากคุณแม่มีความเครียดมาก😡ในระหว่างตั้งครรภ์จะส่งผลกระทบกับการพัฒนาสมองของลูกน้อยในครรภ์ด้วยวิธีการช่วยกระตุ้นให้ลูกฉลาดตั้งแต่อยู่ในครรภ์ลูบหน้าท้องกระตุ้นความรู้สึกการที่คุณแม่ลูบหน้าท้องเบาๆ🤰จะทำให้ลูกน้อยรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นระบบประสาทและสมองส่วนความรู้สึกได้ชวนลูกคุยบ่อยๆ หรือเปิดเสียงดนตรีให้ลูกฟังลูกน้อยในครรภ์ของคุณแม่สามารถได้ยินเสียงผ่านผนังหน้าท้อง🎧🤰 ซึ่งทารกในครรภ์จะได้ยินเสียงได้ดีตั้งแต่อายุครรภ์ 5 เดือนขึ้นไป การที่คุณพ่อคุณแม่มีการพูดคุยกับลูกส่งผลให้ทารกมีความคุ้นเคยจากเสียง และคุณแม่สามารถหยิบหนังสือ📖🗣️มาอ่านออกเสียงให้ลูกน้อยฟัง โดยเสียงจากคุณแม่จะกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อสมองที่มีความซับซ้อนของการได้ยิน ตีความเสียง และส่วนความทรงจำ นอกจากนี้การเปิดเพลง🎶ให้ลูกฟังทำให้ทารกในครรภ์มีพัฒนาการที่ดีทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ดีด้วย😄ส่องไฟฉายบริเวณผิวท้องของคุณแม่เพื่อกระตุ้นการมองเห็นคุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการส่วนการมองเห็น👁️ ด้วยการดึงดูดความสนใจของทารกในครรภ์ โดยการส่องไฟฉาย🔦 เลื่อนไป-มา หรือ เปิด-ปิดไฟฉาย พร้อมกับพูดคุยและเล่นกับลูกน้อยไปด้วย แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ทำในที่มืด🌌จะช่วยเรื่องการมองเห็นได้ดีกว่าที่สว่าง และควรเริ่มทำตั้งแต่ทารกเริ่มดิ้นไปจนถึงวันที่คลอด การนั่งโยกเก้าอี้ หรือการออกกำลังกายจะช่วยพัฒนาการเคลื่อนไหวของลูกคุณแม่สามารถนั่งโยกเก้าอี้🪑หน้า-หลัง พร้อมเอามือลูบหน้าท้องไปพรางๆ และเปิดเพลงฟัง🎵 หรือออกกำลังกายเบาๆ จะช่วยกระตุ้นเรื่องการพัฒนาด้านเซลล์ประสาทการทรงตัวและพัฒนาเรื่องระบบประสาทการสัมผัสของทารก     คุณแม่ควรใส่ใจเรื่องการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์🍲 หมั่นดูแลร่างกายให้พร้อมจนถึงวันคลอด และนอกจากการบำรุงร่างกายที่ดีแล้ว คุณแม่ควรออกกำลังกาย🚶‍♀️แต่พอเหมาะ ไม่ควรหักโหมจนเกินไป เพราะอาจจะเกิดอันตรายต่อตัวคุณแม่และทารกในครรภ์ได้ รวมไปถึงการให้ความสำคัญต่อการเสริมพัฒนาการของทารกในครรภ์ เพื่อเป็นการช่วยให้ลูกมีพัฒนาการการเรียนรู้ที่ดี โดยเน้นให้ความสำคัญเกี่ยวกับการกระตุ้นสมอง🧠และระบบประสาทตั้งแต่ลูกน้อยอยู่ในครรภ์ไปจนถึงหลังการคลอด🤱

Content Image

ระวัง! แบบนี้ไม่ควรทำกับทารก!

เมื่อมีทารกเกิดใหม่แน่นอนว่าทุกคนในบ้านต่างก็ดีใจ และก็อยากชื่นชมความน่ารักของน้องใหม่ พร้อมทั้งต้อนรับเป็นอย่างดี ซึ่งในบางครั้งเรา คนในครอบครัว หรือ เพื่อนที่มาเยี่ยมนั้น ก็อาจเผลอทำอะไรที่ไม่ควรทำกับทารกไปโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งวันนี้เราจึงได้นำข้อห้ามต่างๆ ที่ไม่ควรทำกับทารกมาฝากกันแล้วค่ะ จะมีอะไรบ้างนั้นเราไปดูกันเลยค่ะ ทำแบบนี้อันตราย!ไม่ควรจับทารกเหวี่ยงคุณพ่อบางท่านอาจจะชอบจับลูกน้อยเหวี่ยงไปมา เพราะลูก👶ก็ดูสนุกสนานหัวเราะใหญ่ ซึ่งที่จริงแล้วการจับทารกเหวี่ยงนั้นมีความอันตรายอย่างมาก โดยเฉพาะหากไปจับในบริเวณแขนหรือขาแล้วจับเหวี่ยง จะทำให้ลูกเสี่ยงกระดูก หรือ ข้อต่อหักได้🦴 ดังนั้นอย่าจับลูกเหวี่ยงจะดีที่สุดนะคะไม่ควรเขย่าตัวทารกบางคนเมื่อลูกร้องไห้มากๆ และไม่รู้ว่าจะให้ลูกหยุดร้องไห้ด้วยวิธีไหนดี จึงเขย่าตัวทารก ซึ่งการเขย่าตัวทารกนั้นมีความอันตรายกว่าที่คิด เพราะมีผลให้เส้นเลือดในดวงตา👀หรือสมอง🧠ฉีกขาดได้ รวมถึงอาจทำให้ประสาทตาของทารกหลุดลอก ยิ่งกว่านั้นแผลที่เกิดขึ้นในสมองของทารกอาจทำให้ทารกเสียชีวิตได้ ดังนั้นเราไม่ควรจะไปเขย่าตัวทารกนะคะ ข้อห้ามที่ไม่ควรทำกับทารกไม่ควรให้ทานอาหารเสริมก่อนอายุ 6 เดือนเนื่องจากว่าระบบกระเพาะอาหารของทารกนั้นยังเจริญไม่เต็มที่ดังนั้นเมื่อทานอาหารเสริม🍲ก็จะทำให้เกิดอาหารย่อยไม่ได้ และอาจทำให้ลำไส้อุดตัน และลำไส้เน่าตามมาได้นั่นเองค่ะไม่ควรจุ๊บปากหรือหอมแก้มทารกเหตุผลนั้นเป็นเพราะ เราอาจเป็นตัวนำพาเชื้อโรค🦠ที่ไม่แสดงอาการในผู้ใหญ่ที่มีภูมิคุ้มกันดีกว่า ไปให้กับทารกที่มีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าได้นั่นเองค่ะ ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัด มือเท้าปาก เริม หัด อีสุกสีใสและอื่นๆ อีกโดยควรรอให้ทารกอายุครบ 3 เดือนจะดีกว่านะคะ  ไม่ควรดัดขาทารกอาจมีความเชื่อที่บอกว่าจะต้องดัดขา🦵ทารกเพื่อป้องกันขาโก่ง หรือไม่ควรให้ใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูป เพราะเชื่อว่าจะทำให้ขาโก่ง ซึ่งความจริงแล้วการดัดขาทารกอาจทำให้ทารกเจ็บ และการดัดขาเองก็ไม่สามารถสร้างแรงกดกับกระดูกขาได้ แถมการใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปก็ไม่ได้ทำให้ขาโก่งด้วยระวังสิ่งเหล่านี้ไม่ล้างมือก่อนจับทารกการจับทารกทั้งๆที่มือ✋ยังไม่สะอาด อาจทำให้เชื้อโรคต่างๆแพร่สู่ทารกได้ ดังนั้นก่อนสัมผัสก็ควรจะล้างมือ รวมถึงคอยล้างอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆของทารกอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันสิ่งสกปรกและแบคทีเรียต่างๆค่ะ ไม่ควรพาออกนอกบ้านก่อนอายุ 3 เดือนเนื่องจากระบบต่างๆของทารกยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ รวมถึงภูมิคุ้มยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรพาน้องออกจากบ้านเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ🦠 ต่างๆ (ยกเว้นไปโรงพยาบาลตามนัดของคุณหมอ)ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ผลิตขึ้นเพื่อทารกโดยเฉพาะเพราะว่าผิวของทารกมีความบอบบางมากดังนั้นการใช้สบู่ แชมพู🧴 หรือของต่างๆของผู้ใหญ่ อาจทำให้มีสารตกค้างและเกิดอาการแพ้ได้ค่ะ เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับข้อระวังต่างๆ ทราบอย่างนี้แล้วก็อย่าลืมบอกคนรอบข้างเพื่อให้ลูกน้อยมีสุขภาพที่แข็งแรงปลอดภัยกันนะคะ 

👉 List บทความ10-12 เดือน

Content Image

สารให้ความหวานในน้ำอัดลมก่อให้เกิดมะเร็ง?

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ยืนยันการจำแนกสารให้ความหวานเทียม แอสปาร์แตมเป็นสารที่ 'มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' หรือ 'Possibly carcinogenics to humans' ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้  📢 ในขณะที่ข้อโต้แย้งด้านความปลอดภัยยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็กล่าวได้ว่าแอสปาร์แตมสามารถพบได้ในอาหารและเครื่องดื่มหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มลดน้ำหนัก เจลาติน หมากฝรั่ง ไอศกรีม ยาสีฟัน ยาอมแก้ไอ ผลิตภัณฑ์จากนม แล้วแบบนี้เราจะมีโอกาสเป็นมะเร็งหรือไม่ สารนี้จะหายไปจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเลยหรือไม่ คุณแม่หลายๆท่านกำลังสับสนกับเรื่องนี้🤰🏻 บิลลี่ จึงขออาสามาเช็กข้อเท็จจริงค่ะ!😉ทำความรู้จักกับแอสปาร์แตม🍹แอสปาร์แตม.....มีรสหวานกว่าน้ำตาล 200 เท่า แทบไม่มีแคลอรีเลย🙅🏻‍♀️ หลายๆท่านอาจจะยังไม่คุ้นกับชื่อของแอสปาร์แตม ซึ่งความจริงแล้วเราสามารถพบเจ้าแอสปาร์แตมนี้ในชีวิตประจำวันของเราได้ โดยสารนี้ใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากได้รับการอนุมัติในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2524 จึงเป็นสารปรุงแต่งอาหารที่ถูกนำมาใช้เพื่อให้อาหารมีรสหวาน 👅 ในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกโดยปัจจุบันยังคงมีการใช้ในอาหารและเครื่องดื่มแคลอรี่ต่ำ อย่าง Coke Zero, Diet Coke หมากฝรั่ง ลูกอม โยเกิร์ต ไอศรีม ซอส และขนมอีกหลากหลายชนิด แต่ไม่นานมานี้องค์กรอนามัยโลกหรือ WHO ประกาศให้เจ้าสารที่ถูกใช้ในเชิงเพื่อสุขภาพ กลายเป็นสารก่อมะเร็งแทน ข่าวนี้ทำให้ผู้อ่านหลายๆท่านหนักใจ เพราะเราต่างต้องเคยบริโภคสารนี้กันทั้งนั้น รู้จักประเภทของสารก่อมะเร็งองค์การระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง (IARC) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ WHO ได้ประกาศให้แอสปาร์แตมเป็นสารที่ 'มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' หรือ 'Possibly carcinogenics to humans'💥 ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้  โดย IARC ได้ระบุให้แอสปาร์แตมเป็นสารก่อมะเร็งในระดับ 2B ซึ่งการนิยามสารก่อมะเร็งของ IARC สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระดับใหญ่ๆดังนี้ระดับที่ 1 เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานบ่งชี้มากพอในเชิงสถิติ ว่าก่อให้เกิดโรคมะเร็งในมนุษย์ สารกลุ่มนี้ตามกฎหมายและข้อกำหนดขององค์กรอาหารและยาในแต่ละประเทศ จะต้องไม่ถูกเติมหรือมีการปนเปื้อนในอาหารอยู่แล้ว มักเป็นสารที่ถูกใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและวัสดุอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า ตัวอย่างสารในกลุ่มนี้ได้แก่ สารหนูหรืออาร์เซนิค หรือสารในกลุ่มเบนซีนค่ะระดับที่ 2A เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานงานวิจัยออกมายืนยันเช่นกันว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ยังถือว่ามีจำนวนงานวิจัยที่น้อย จึงได้แต่ใช้คำว่า 'มีแนวโน้มที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' แทน ยังไม่สามารถยืนยันได้เพราะยังมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือไม่เพียงพอค่ะ อย่างไรก็ตามสารในกลุ่มนี้ก็ยังมีหลักฐานบ่งชี้เพียงพอว่าก่อมะเร็งได้ในสัตว์ทดลองค่ะ ยกตัวอย่างเช่นซิลิกาที่ใช้ทำซองดูดความชื้นนั่นเองค่ะระดับที่ 2Bเป็นสารที่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ส่วนหนึ่งบ่งชี้ว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะยืนยัน ในกรณีของการก่อมะเร็งในสัตว์ก็มีแต่ยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าสามารถก่อมะเร็งได้เช่นเดียวกันค่ะ ซึ่งเจ้าแอสปาร์แตมเองก็อยู่ในกลุ่มนี้ นั่นทำให้เราสามารถตีความได้ว่า ทางองค์กรอนามัยโลกให้ข้อมูลว่าแอสปาร์แตมอาจจะก่อมะเร็งทั้งในสัตว์และในคน แต่ยังเป็นหลักฐานที่มีจำนวนน่าเชื่อถือไม่เพียงพอ เมื่อคำนวณความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติค่ะระดับที่ 3 เป็นสารที่ยังไม่มีข้อมูลว่าสามารถก่อมะเร็งได้ทั้งในร่างกายมนุษย์เองและร่างกายของสัตว์ค่ะสรุปแล้วแอสปาร์แตมอันตรายแค่ไหนแอสปาร์แตมก่อมะเร็งจริงหรือไม่?โดยความจริงแล้วสารระดับ 2B นั้นสามารถพบได้ในส่วนผสมในของที่เรารับประทานหรือใช้กันในชีวิตประจำวัน🍽️ อย่าง กรดคาเฟอิกในกาแฟ ว่างหางจระเข้ น้ำมันมะพร้าว รวมถึงกิมจิและผักดองอื่นๆด้วย ซึ่งคนไม่ได้ให้ความสำคัญเท่ากับสารทดแทนความหวาน หลักฐานจึงยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าแอสปาร์แตมจะทำให้เราเป็นมะเร็งจริงๆ แม้กระทั่งหลักฐานในสัตว์ทดลองเองก็ยังไม่ได้มีจำนวนมากพอที่จะยืนยันได้ จึงสามารถสรุปได้ว่า ไม่ได้ห้ามบริโภคเป็นอาหาร และไม่ได้หมายความว่าการรับประทานแอสปาร์แตมจะทำให้เกิดมะเร็ง แต่มีความจำเป็นที่จะต้องจำกัดปริมาณในการรับประทานสารให้ความหวานเทียมค่ะ🙌🏻  ยังสามารถรับประทานน้ำอัดลม 0% ได้หรือไม่?ยังสามารถรับประทานได้ค่ะ โดยค่าที่ปลอดภัยในการรับประทานแอสปาร์แตมจะอยู่ที่ไม่เกิน 40 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม👀 หากจะพูดให้เห็นภาพ หากคุณผู้อ่านมีน้ำหนักตัวประมาณ 50 กิโลกรัมนั่นหมายความว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานแอสปาร์แตมได้ในปริมาณที่ปลอดภัยไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ในน้ำอัดลมที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลหนึ่งกระป๋อง มักใส่แอสปาร์แตมไม่เกิน 300 มิลลิกรัม นั่นแปลว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานน้ำอัดลมชนิดนั้นได้ประมาณ 6-7 กระป๋องโดยประมาณเลย ซึ่งนับเป็นปริมาณที่ค่อนข้างเยอะมากต่อวัน หากไม่ได้ติดน้ำอัดลมกลุ่มนี้ เรามักจะกินไม่ถึงปริมาณที่มีความเสี่ยงว่าจะก่อมะเร็งอยู่แล้วค่ะ🫡 ข้อควรระวังสำหรับผู้ปกครอง🍹สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์จากการศึกษาที่ประกาศโดย American Society for Reproductive Medicine ในปี 2559 📑 สารให้ความหวานเทียมในเครื่องดื่ม 0% จะลดความสามารถของผู้หญิงในการปฏิสนธิและส่งผลต่อสุขภาพของเซลล์ไข่ โดยหากบริโภคในระหว่างตั้งครรภ์ ว่ากันว่าอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์และทำให้เด็กเสี่ยงเป็นโรคอ้วนได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มอัดลมที่มีระดับน้ำตาลสูงหากเป็นไปได้นะคะ!🙅🏻‍♀️🍹 แล้วคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังเลี้ยงลูกอยู่ล่ะ?หากคุณมีโรคทางพันธุกรรมที่เรียกว่าฟีนิลคีโตนูเรีย (PKU) ซึ่งไม่สามารถเผาผลาญแอสปาร์แตมได้ ก็ควรจะหลีกเลี่ยงการรับประทานสิ่งที่มีแอสปาร์แตม 🚫 โดยไม่ใช่เพียงคุณแม่และลูกน้อยเท่านั้นที่ควรเลี่ยง แต่ยังรวมถึงแม่ที่วางแผนหรือกำลังตั้งครรภ์ด้วย ในกรณีของทารกแรกเกิด ทารกจะได้รับการทดสอบที่โรงพยาบาลหลังคลอด ดังนั้นหากมีความผิดปกติก็สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนั้นไม่ต้องกังวลจนมากเกินไปนะคะ!แม้ว่ากระทรวงความปลอดภัยด้านอาหารและยาจะได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยของสารให้ความหวาน แต่คุณพ่อคุณแม่บางคนก็ยังคงกังวล ท่ามกลางความขัดแย้งเรื่องแอสปาร์แตม หัวหน้าสำนักโภชนาการและความปลอดภัยด้านอาหารของ WHO แนะนำว่าควรพิจารณา 'การดื่มน้ำแทนเครื่องดื่มที่มีรสหวาน🥛' แทนที่จะมองหาของหวานอื่นทดแทน ลองเลิกนิสัยชอบความหวานและพึ่งพาอาหารแปรรูป แล้วหันมาใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพกันดูนะคะ 💖

Content Image

วิธีตวงยาน้ำเด็กให้ได้ปริมาณยาที่ถูกต้อง

     คุณแม่หลาย ๆ ท่านคงเคยประสบกับปัญหาเมื่อลูกไม่สบาย🤒 แล้วคุณแม่จะต้องตวงตวงยาน้ำให้ลูกน้อย เพราะมีหน่วยวัดทั้งช้อนโต๊ะ ช้อนชา ทั้งมิลลิลิตรและซีซี ชวนปวดหัวอย่างมาก บทความนี้ได้รวบรวมวิธีง่ายๆในการตวงยาน้ำเด็กง่ายๆมาให้คุณแม่ทราบแล้วค่ะ💁‍♀️ทำความรู้จักช้อนโต๊ะ ช้อนชา และอุปกรณ์ตวงยาน้ำเด็กแต่ละแบบคุณพ่อคุณแม่จะต้องใส่ใจกับปริมาณของยาอย่างเคร่งครัดเวลาเด็กจะทานยาน้ำ เพราะถ้าให้ยามากไปก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของลูก👶 แต่ถ้าให้น้อยเกินไป ก็อาจทำให้อาการทางสุขภาพของลูกที่เป็นอยู่ไม่ดีขึ้น หรือใช้เวลารักษาตัวนานกว่าเดิม  โดยเฉพาะกับยาน้ำ ซึ่งกะปริมาณเองยากสุด ๆ คุณพ่อคุณแม่จำเป็นจะต้องใช้อุปกรณ์การวัดตวงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นช้อนโต๊ะ ช้อนชา เพื่อให้ลูกได้กินยาในปริมาณที่เหมาะสมตามที่ฉลากบรรจุภัณฑ์หรือตามที่แพทย์แนะนำเอาไว้ 🥄 ช้อนโต๊ะ (Table Spoon)ช้อนโต๊ะ หรือช้อนกินช้าว เป็นช้อนที่ใหญ่สุดสำหรับชุดอาหารโดยทั่วไป แต่ในที่นี้ช้อนโต๊ะไม่ใช่สำหรับรับประทานอาหารนะคะ ช้อนโต๊ะทางการแพทย์ จะเท่ากับ 15 มิลลิลิตร หรือซีซี นั่นเอง และสามารถใช้สำหรับการตวง วัด สิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น แป้ง น้ำตาล เกลือ🧂 ผงปรุงรสต่าง ๆ รวมถึงยาน้ำชนิดต่าง ๆ ด้วย 🫖 ช้อนชา (Tea Spoon)ช้อนชา เป็นช้อนที่มีขนาดเล็กสุด เล็กกว่าช้อนโต๊ะมาก แต่ช้อนชาก็ยังถูกใช้เป็นมาตรวัดตวงสำหรับสิ่งต่าง ๆ เช่นเดียวกันกับช้อนโต๊ะ เพียงแต่สิ่งของที่ใช้ช้อนชาเป็นมาตรวัดนั้น ก็มักจะเป็นสิ่งที่ไม่ได้ต้องการใช้ในปริมาณมากนัก หลายคนอาจจะสงสัยว่า 1 ช้อน ชา เท่ากับ กี่ ml คำตอบคือ ปริมาตร 1 ช้อนชา เท่ากับ 5 มิลิลิตร หรือซีซี นั่นเอง🍵 ถ้วยตวงยา (Medicine Cup)ถ้วยตวงยา เป็นอุปกรณ์สำหรับตวงวัดที่ค่อนข้างจะได้มาตรฐานกว่าช้อนโต๊ะและช้อนชา มีลักษณะเป็นถ้วยใสคล้ายแก้วน้ำ🚰 และจะมีตัวเลขหน่วยวัดเป็นมิลลิลิตรหรือซีซีระบุไว้ที่ข้างถ้วยด้วย เมื่อเติมยาน้ำ หรืออาหารเสริมชนิดน้ำสำหรับเด็กลงไป ก็จะสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าปริมาณยาที่เทลงไปนั้นอยู่ในปริมาณเท่าไหร่ และตรงตามที่แพทย์กำหนดหรือไม่ และรวมไปถึงอุปกรณ์การวัดตวงดังต่อไปนี้💉หลอดฉีดยา (Syringe)หลอดฉีดยา โดยมากจะคุ้นว่าใช้สำหรับการฉีดยา แต่จริง ๆ แล้ว หลอดฉีดยาก็สามารถใช้เพื่อป้อนยาให้กับเด็กได้เหมือนกันนะคะ โดยใช้หลอดฉีดยาดูดเอายาชนิดน้ำที่ต้องการ แล้วค่อย ๆ ฉีดอัดเบา ๆ เข้าไปที่ปากของเด็ก👄 ซึ่งหลอดฉีดยานั้นก็จะมีหลายขนาดค่ะ เล็กใหญ่ไม่เท่ากัน ที่ข้างหลอดก็จะมีตัวเลขหน่วยวัดเป็นมิลลิลิตรกำกับเอาไว้ด้วย 🧪หลอดหยด (Dropper)หลอดหยด หรือดร็อปเปอร์ เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์การวัดตวงยาที่มีความแม่นยำสูง💯 โดยใช้สำหรับวัดยาน้ำหรือของเหลวต่าง ๆ โดยที่ข้างดร็อปเปอร์ก็จะมีตัวเลขหน่วยวัดกำกับเอาไว้ด้วย โดยหน่วยนั้นอาจจะเป็นซีซี หรือมิลลิลิตรก็ได้ เวลาใช้ก็เพียงดรอปเอายาน้ำหรือของเหลวนั้นให้ได้ในปริมาณที่กำหนด แล้วจึงป้อนเข้าปากลูก      สรุปได้ว่าการตวงด้วยช้อนโต๊ะกับยาน้ำนั้นแทบจะเป็นของคู่กัน เพราะเป็นอุปกรณ์วัดตวงยาน้ำที่ง่ายที่สุด✅ ทุกครัวเรือนก็จะต้องมีช้อนโต๊ะกินข้าวติดบ้านกันอยู่แล้ว เนื่องจากช้อนกินข้าวมีหลายขนาด จึงอาจทำให้คุณพ่อคุณแม่สับสน ดังนั้นการตวงที่ดีควรเป็น มิลลิลิตร หรือ ซีซีนะคะ

Content Image

ฝีในทารกเกิดขึ้นได้อย่างไร?

เพราะผิวของทารกยังบอบบางและยังอยู่ในช่วงของการพัฒนา ดังนั้นทารกจะยังมีระบบภูมิคุ้มกันที่ยังไม่ดีเท่ากับผู้ใหญ่จึงมีโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อได้ง่าย ซึ่งรวมถึงฝีที่สามารถเกิดขึ้นในทารกได้ค่ะ ซึ่งในบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจถึงอาการและวิธีการดูแลรักษาฝีในทารกกันค่ะ ฝีคืออะไร? สาเหตุของการเกิดฝีฝี คือ?การติดเชื้อในรูขุมขนหรือต่อมชั้นใต้ผิวหนัง👶 ทำให้เกิดก้อนเนื้อลักษณะนุ่ม ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดจากแบคทีเรียในกลุ่ม staphylococcus aureus ซึ่งโดยปกติแบคทีเรียนี้จะไม่เข้าสู่ร่างกายง่ายๆ เพราะมีผิวหนังช่วยป้องกันอยู่ แต่หากมีการกัดหรือขูดกลายเป็นแผล เชื้อเหล่านี้ก็จะสามารถเข้าสู่ร่างกายและสามารถพัฒนาเป็นฝีได้ ซึ่งในช่วงแรกจะผิวจะกลายเป็นสีแดง🔴และมีก้อนเนื้อเกิดขึ้น หลังจากนั้นก้อนเนื้อจะกลายเป็นสีขาวและจะเกิดการสะสมของหนอง ฝึสามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัส หรือ ผ่านการใช้สิ่งของเครื่องใช้ได้อีกด้วยสาเหตุของการฝีในทารก✨ระบบภูมิคุ้มกันต่ำ✨ขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย✨ขาดสุขอนามัยที่ดี✨สัมผัสสารเคมี เช่น สบู่ ครีม ผงซักฟอก✨สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย อาการและการรักษาฝีในทารกอาการของฝีในทารก ผิวหนังแดงและบวมบริเวณที่ถูกกระทบกระเทือน ในทารกบางคนอาจมีไข้🌡️ร่วมด้วย หรืออาจมีการบวมของต่อมน้ำเหลืองรอบๆแผลการรักษาฝีในทารก ให้ทำความสะอาดโดยใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกันการกระจายของการติดเชื้อ และป้องกันเสียดสีกับสิ่งอื่น ให้ปิดด้วยผ้ากอซ แต่หากยังพบว่าแผลมีการขยายใหญ่หรือโตขึ้นควรจะพบแพทย์👨‍⚕️ต่อ แพทย์อาจสั่งยาปฏิชีวนะ และใบบางกรณีอาจผ่าตัดแผลเพื่อล้างหนองออกค่ะ  การป้องกันการเกิดฝีในทารกเราสามารถป้องกันการเกิดฝีให้โดยการหลีกเลี่ยงสาเหตุที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อและกลายเป็นฝีได้ เช่น✨ก่อนจับทารกทุกครั้งให้ล้างมือให้สะอาด✨ทำการเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและผ้าเช็ดตัวของทารกบ่อยๆ ✨รักษาสุขลักษณะอย่างเหมาะสมให้ทารก✨สร้างภูมิคุ้มกันที่ดีต่อร่างกายโดยการ รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ✨หากเกิดฝีควรทำความสะอาดให้ดี เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆของร่างกายค่ะ

Content Image

อาหารต้องห้ามเด็กแรกเกิด - 3 ขวบ

ลูกน้อยวัยแรกเกิด-3 ขวบนั้นเป็นวัยที่ควรได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และควรให้อาหารที่หลากหลายเพื่อที่ลูกจะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน แต่ก็มีอาหารบางอย่างที่ไม่ควรให้ลูกทาน จะมีอะไรบ้างนั้นเราไปดูกันเลยค่ะ!อาหารที่ควรเลี่ยงไม่ให้ลูกทาน✨ขนมปังไส้กรอกขนมปังไส้กรอกหรือฮ๊อตดอกที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ ร้านข้างทาง หรือในห้าง แม้ว่าจะเป็นอาหารที่สามารถหาซื้อได้ง่ายและสะดวก แต่ก็ไม่ควรให้ลูกทาน เพราะในไส้กรอกนั้นมีสารกันอาหารเน่าเสียอยู่ ซึ่งยังไม่เหมาะที่จะให้ลูกทานค่ะ✨ผักดิบแม้ว่าผัก🥬จะมีประโยชน์ต่อร่างกาย ก็ไม่ควรให้ผักดิบกับลูกในตอนนี้ ควรจะต้มสุกทุกครั้ง นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยงผักที่มีลักษณะแข็ง เพราะลูกจะยังไม่สามารถเคี้ยวได้ดีเหมือนผู้ใหญ่ค่ะ✨เนื้อสัตว์ไม่สุก หรือ ติดมันการให้ลูกทานเนื้อสัตว์ติดมัน🥩นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรนะคะ เพราะลูกน้อยจะได้รับคอเลสเตอรอลตั้งแต่เด็ก และไม่ได้มีผลดีต่อร่างกาย ดังนั้นให้หลีกเลี่ยงมัน และควรปรุงให้สุกจนเปื่อย เพื่อให้ลูกน้อยทานได้สะดวกค่ะเลี่ยงอาหารเหล่านี้✨ป๊อบคอนเป็นอาหาร🍿ที่ไม่เหมาะกับเด็กเล็กมากๆ เพราะนอกจากจะเหนียว แข็ง แล้ว ก็จะทำให้ลูกคันคอ และ ไอได้ค่ะ  ✨เนยถั่วลิสงยังไม่ควรให้ลูกทานเนยถั่วลิสง นอกจากลูกน้อยอาจจะแพ้ถั่วได้แล้ว รสหวานของถั่วที่ปรุงมาเหล่านี้ก็ไม่ดีต่อร่างกายของลูกนะคะ✨ขนมหวานต่าง ๆขนมที่มีรสหวานต่างๆ เช่น มีส่วนผสมของช็อกโกแลต คาราเมล ลูกหวาดต่างๆ เหล่านี้ไม่ดีต่อร่างกายของลูก และยังทำให้ฟันฝุได้ด้วยนะคะ  อาหารเหล่านี้ No No!✨น้ำอัดลมน้ำอัดลม🥤 มีส่วนผสมของน้ำตาลในปริมาณสูง และยังทำให้เกิดลมในท้องได้อีกด้วย น้ำอัดลมนั้นไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกายของลูกน้อยเลย ดังนั้นก็ไม่ควรให้ลูกดื่มนะคะ✨ขนมกรุปกรอบที่ใส่ผงชูรสขนมกรุปกรอบใส่ผงชูรสเหล่านี้🌰 มีไขมันไม่ดีสูงจึงไม่ดีต่อร่างกายของลูกอย่างมาก และอาจทำให้ลูกติดขนมจนไม่ยอมทานข้าวก็ได้ค่ะ✨ผลไม้ขนาดเล็กผลไม้ที่มีขนาดเล็กเกินไปเช่น ลูกองุ่น🍇 อาจติดคอลูกได้ระหว่างที่ทาน หากอยากให้ทานควรบดให้บี้ และคอยดูระหว่างที่ลูกทานอย่างระมัดระวังค่ะ

Content Image

กินนมกล่องมากไป ใช่ว่าจะดี!

     เราทุกคนต่างเคยได้รับการปลูกฝังมาว่า น้ำนมนั้นถือเป็นสิ่งที่มีประโยชน์แก่ร่างกาย เมื่อเราเกิดมา อาหารชนิดแรกของเราก็คือน้ำนม🍼 และเมื่อเราโตขึ้น นมกล่องก็ยังถือเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มประเภทที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า อาหารหรือเครื่องดื่มทุกอย่าง แม้จะถูกจัดว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากรับประทานมากเกินไปนั้นก็ล้วนแต่ส่งผลเสียบางอย่างแทนทั้งสิ้นรวมถึงเครื่องดื่มอย่างนมกล่องด้วย วันนี้บทความของเราพาคุณผู้อ่านมาดูถึงข้อควรระวังในการเลือกรับประทานนมกล่อง ว่าเท่าใดคือปริมาณที่เหมาะสม และหากรับประทานในปริมาณที่ไม่เหมาะสม จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อร่างกายได้บ้าง เราไปดูพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️ปริมาณสารอาหารในน้ำนม    เป็นที่ทราบกันดีว่า พอพูดถึงเครื่องดื่มประเภทนม เราจะนึกถึงประโยชน์ในแง่ของการบำรุงกระดูกและฟัน🦷 เนื่องจากเป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุจำพวกแคลเซียม ดังนั้นการที่เราดื่มนมก็แปลว่าเราคาดหวังว่าจะได้รับแร่ธาตุแคลเซียมแน่นอน แต่บางท่านอาจจะยังไม่ทราบหรือไม่สามารถกะประมาณปริมาณแคลเซียมที่เราจะได้รับได้ อันที่จริงแล้วคุณผู้อ่านสามารถกะประมาณได้ง่ายๆ โดยให้จินตนาการว่าเราจะได้รับแคลเซียม 1 มิลลิกรัม หากเราดื่มนมปริมาตร 1 ซีซี หรือ 1 มิลลิลิตร จากนั้นจึงไปคำนึงถึงปริมาณแคลเซียมที่เจ้าตัวน้อย👶ของเราควรได้รับในช่วงอายุที่ต่างกัน ซึ่งจะกล่าวถึงรายละเอียดในหัวข้อถัดไปค่ะปริมาณแคลเซียมที่เด็กในแต่ละวัยควรได้รับสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ปี จะยังไม่แนะนำให้รับประทานนมกล่อง เพราะสามารถรับประทานน้ำนมของคุณแม่🤱 ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารที่หลากหลายกว่านมกล่องหลายเท่าอยู่แล้วค่ะสำหรับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 1-3 ปี ต้องการแร่ธาตุแคลเซียมประมาณ 500 มิลลิกรัมต่อวัน ดังนั้นก็ควรดื่มน้ำนมประมาณ 500 มิลลิลิตร เทียบเป็นกล่องก็คือการดื่มนมประมาณ 2 กล่องนั่นเองสำหรับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 4-8 ปี จะต้องการแคลเซียมเพิ่มมากขึ้น อยู่ที่ประมาณ 800 มิลลิกรัมต่อวัน ดังนั้นก็ควรดื่มนมให้ได้ประมาณ 800 มิลลิลิตรต่อวันหรือประมาณ 3 - 4 กล่องเป็นอย่างต่ำนั่นเองสำหรับเด็กที่มีอายุมากกว่า 8 ปี ซึ่งถือว่าเป็นช่วงวัยเด็กโต👦 จนไปถึงช่วงที่กำลังจะเข้าวัยรุ่น นับเป็นช่วงที่แคลเซียมจะมีบทบาทมากในการเจริญเติบโต เพราะเป็นช่วงที่เด็กจะสูงเร็วที่สุดค่ะ เด็กในช่วงนี้ควรได้รับแคลเซียมสูงถึงประมาณ 1,000 - 1,300 มิลลิกรัม นั่นหมายถึงเจ้าตัวน้อยของเราควรรับประทานนมกล่องมากถึงประมาณ 1 ลิตรต่อวันเลยทีเดียวค่ะข้อควรระวังในการรับประทานนมกล่องมากเกินไป    จากหัวข้อก่อนหน้า คุณผู้อ่านก็จะได้ทราบไปแล้วนะคะว่าปริมาณที่เหมาะสมกับการดื่มนมของเจ้าตัวน้อยแต่ละวัยนั้นอยู่ที่ระดับใด หากว่ารับประทานเกินปริมาณที่ควรได้รับ ก็อาจส่งผลเสียต่อไปนี้ได้ค่ะเด็กมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ มาจากการที่แก๊สในกระเพาะมีปริมาณที่มากเกินไป💨มีโอกาสทำให้เด็กรู้สึกอึดอัด🤢 ไม่สบายท้อง อยากอาเจียนเมื่อเกิดความรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว จะทำให้เด็กร้องไห้งอแง😭 นอนหลับยากขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อการดูดซึมของธาตุเหล็ก ซึ่งมีสาเหตุมาจากการได้รับแคลเซียมในระดับที่มากเกินไปมีอาการท้องอืดควบคู่ไปด้วยในเด็กบางคนที่คุณพ่อคุณแม่ให้รับประทานน้ำนมแทนน้ำจนติดนิสัย เสี่ยงทำให้ลูกเป็นโรคอ้วนหรือมีภาวะน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐานของวัยได้ เพราะน้ำเปล่าไม่ให้พลังงาน แต่การดื่มนม🥛นั้นให้พลังงานค่ะรู้จักกับประเภทของนม เลือกดื่มและเก็บรักษาอย่างถูกวิธีนมยูเอชที เป็นนมสดที่ผ่านการฆ่าเชื่อด้วยอุณหภูมิอย่างน้อย 133 องศาเซลเซียส🌡️ ซึ่งเป็นระดับอุณหภูมิที่สูงมากพอที่จะฆ่าเชื้อก่อโรคในนมได้ ดังนั้นหากยังไม่เปิดกล่องก็จะสามารถเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้องได้นานถึงประมาณครึ่งปีเลยทีเดียวนมพาสเจอไรซ์ เป็นนมสดที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อ🦠ด้วยความร้อนที่อุณหภูมิต่ำลงมา คือ 63 องศาเซลเซียสเป็นระยะเวลาขั้นต่ำ 30 นาที อายุขัยของนมจึงต่ำกว่านมยูเอชที ควรเก็บรักษาไว้ในตู้เย็น และสามารถเก็บรักษาได้ในระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์เท่านั้น หากเก็บมานานกว่านั้น แม้กล่องหรือขวดจะยังไม่ถูกเปิดออกก็ไม่ควรดื่มค่ะนมสเตอรีไลซ์ เป็นนมสดที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนเช่นกัน ที่อุณหภูมิขั้นต่ำ 100 องศาเซลเซียส นมชนิดนี้จะมีคุณสมบัติคล้ายนมยูเอชทีเนื่องจากผ่านอุณหภูมิที่สูงมากพอที่จะฆ่าเชื้อก่อโรคในนม ทำให้สามารถเก็บรักษาโดยที่ยังไม่เปิดกล่องได้ถึงประมาณ 1 ปีค่ะ⏰     อ่านมาถึงตรงนี้ คุณผู้อ่านก็จะได้ทราบถึงชนิดและปริมาณสารอาหารที่เจ้าตัวน้อยจะได้รับจากการดื่มนม รวมไปถึงปริมาณที่เหมาะสมในการดื่มนมสำหรับเจ้าตัวน้อยในวัยที่ต่างกัน และประเภทของนมเพื่อการตัดสินใจเก็บรักษาอย่างถูกวิธีไปเรียบร้อยแล้วนะคะ อย่างไรก็ตาม หากสังเกตว่าลูกของเราดื่มนมในปริมาณที่เหมาะสม ภาชนะที่บรรจุนมไม่เสียหาย นมยังไม่หมดอายุ🗓️ แต่มีอาการแปลกๆเกิดขึ้นกับร่างกายหรือรู้สึกไม่สบายตัวไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ควรเข้ารับการตรวจร่างกายเพื่อขอคำปรึกษาจากแพทย์👩‍⚕️ เพราะในบางท่านอาจมีภาวะแพ้น้ำนมได้ค่ะ

Content Image

แยกห้องนอนลูกตอนไหนดีนะ?

คุณพ่อคุณแม่หลายๆท่านอาจจะกำลังตัดสินใจว่าจะแยกห้องนอนลูกดีไหม แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถให้ลูกนอนแยกห้องได้ตอนอายุเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม หรือไม่ทราบวิธีการฝึกให้ลูกนอนคนเดียว วันนี้เราได้เอาคำตอบมาฝากกันแล้วค่ะ เริ่มให้ลูกแยกห้องนอนตอนไหนดี?✨ให้ลูกนอนแยกห้องเมื่อไหร่ดีนะ?จริงๆ แล้วเราสามารถให้ลูกนอนแยกห้องได้ตั้งแต่ลูกอายุ 6 เดือนขึ้นไป แต่หากยังไม่พร้อมจะให้ลูกนอนแยก🛏️ ห้องสามารถรอให้อายุประมาณ 3 ขวบแล้วค่อยลองถามลูกว่าอยากแยกห้องหรือไม่✨ แยกเตียงล่ะ ดีไหม?สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ยังไม่พร้อมปล่อยให้ลูก🚼นอนแยกห้องก็อาจให้ลูกนอนแยกเตียงไปก่อนก็ได้ค่ะ การให้ลูกนอนแยกเตียงนั้นก็จะทำให้คุณพ่อคุณแม่สบายใจได้ว่าจะไปเผลอกลิ้งไปนอนทับลูกอย่างแน่นอนวิธีแยกลูกให้นอนคนเดียว✨เริ่มจากการ...หากยังเป็นกังวลอยู่ให้เลือกห้องนอนที่ติดกับห้องนอน🛏️ ของคุณพ่อคุณแม่ และหากลูกโตขึ้นมาหน่อยและเริ่มรู้เรื่อง ก็จะต้องให้เวลาลูกทำใจสักหน่อย อาจพาลูกสำรวจดูห้องนอนใหม่ว่ามีอะไรบ้าง ในช่วงแรกๆให้นอนเป็นเพื่อนลูกจนกว่าลูกจะหลับ อาจหาตุ๊กตา🧸มาวางใกล้ๆลูกเพื่อให้ลูกรู้สึกปลอดภัยเมื่อได้ลูกร้องกลางดึก ก็ควรเข้าไปเช็คดูให้ลูกรู้สึกอุ่นใจว่ายังมีพ่อแม่อยู่ใกล้ๆ แต่หากร้องถี่และเข้าไปหาทุกๆครั้งอาจติดเป็นนิสัยของลูก ดังนั้นก็ไม่ควรตามใจบ่อยเกินไปค่ะถ้าลูกกลัวอาจหาไฟ night light 💡(ไฟสำหรับกลางคืน) ที่มีแสงไม่จ้ามาก หรืออาจเปิดประตูแง้มเพื่อให้มีไฟส่องก็ได้ค่ะ✨จัดห้องนอนเลือกของใช้ที่ปลอดภัยสำหรับลูก หากลูกยังเล็กก็ควรเอาที่กั้นขอบกันตกเตียง🛏️ มาติดตั้ง และควรนำของอันตรายต่างๆ ที่อาจเสี่ยงต่อการแตก และของมีคมออกจากห้องของลูก หากเป็นเด็กโตอาจพาลูกไปเลือกซื้อของใช้ต่างๆในห้อง เพื่อให้ลูกรู้สึกตื่นเต้นและพอใจกับห้องใหม่ของตนเอง ถึงเวลาแยกห้อง✨ค่อยๆปรับเปลี่ยนหากเป็นเด็กที่โตมาหน่อย ให้อธิบายว่าเพื่อนๆอายุเท่าหนูเขานอนในห้องของตัวเองกันทั้งนั้น โดยคืนแรกๆ อาจจะต้องพาลูกเข้านอนให้ไวกว่าปกติ เพราะอาจต้องใช้เวลากว่าลูกจะคลายกังวลและหลับไป💤 โดยไม่ควรให้ลูกดูทีวีเมื่อใกล้เวลาจะเข้านอน และควรพาลูกเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยด้วยนะคะ ✨ชื่นชมลูกหากเป็นเด็กโต เมื่อลูกสามารถนอนคนเดียวในห้อง🛏️ ได้สำเร็จ ให้กล้าวคำชื่นชมลูก เช่น นอนคนเดียวได้ด้วยเก่งจังเลย! สุดยอดไปเลย! การปล่อยให้ลูกนอนคนเดียวจะเป็นการส่งเสริมให้ลูกกล้ามากขึ้น และภูมิใจที่ตนเองทำได้ด้วยค่ะ เมื่อลูกน้อยนอนแยกห้องได้ คุณพ่อคุณแม่ก็จะมีเวลาส่วนตัวมากขึ้น อย่าลืมเติมความหวานกันนะคะ💗

Content Image

เห็นสีผิวทารกชัดเจนตอนไหน

     สีผิวของทารกเปลี่ยนไปเนื่องจากปัจจัยทางพันธุกรรม🧬และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมผสมกัน เมื่อทารกเกิดมา สีผิวของพวกเขาถูกกำหนดโดยปริมาณเม็ดสีเมลานินในผิวหนัง ซึ่งกำหนดโดยยีนที่พวกเขาได้รับมาจากพ่อแม่👫 และเมื่อเวลาผ่านไป สีผิวของทารกอาจได้รับอิทธิพลจากปัจจัยแวดล้อมหลายอย่าง เช่น แสงแดด อุณหภูมิ และผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เมื่อทารกโตขึ้น ผิวของทารกอาจเข้มขึ้นหรือจางลงขึ้นอยู่กับปัจจัยเหล่านี้ นอกจากนี้ เงื่อนไขทางการแพทย์และยาบางอย่างอาจส่งผลต่อการสร้างเม็ดสีผิวด้วย สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าสีผิวของทารก👶ไม่ได้กำหนดเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ของพวกเขา และทุกสีผิวมีความสวยงามเสมอค่ะสีผิวของลูกเห็นได้ชัดเจนเมื่อไรหนึ่งในคำถามที่คุณพ่อคุณแม่ถามบ่อยๆ คือ จะเห็นสีผิวของลูกได้ชัดเจนเมื่อไหร่ อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นนะคะ สีผิวของเด็กทารกถูกกำหนดโดยปริมาณเมลานินในเซลล์ผิวของพวกเขา เมลานินเป็นเม็ดสีที่ให้สีผิว เมื่อทารกเกิดมา ผิวของทารกอาจเป็นสีแดง สีม่วง หรือแม้แต่สีน้ำเงินเนื่องจากการไหลเวียนของเลือด🩸ในร่างกาย สีนี้จะค่อยๆ จางหายไป และผิวของทารกจะสว่างขึ้นหรือเข้มขึ้นขึ้นอยู่กับยีน🧬ของทารก✨สีผิวของทารกอาจเปลี่ยนแปลงได้สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าสีผิวของทารก👶อาจเปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป ตัวอย่างเช่น ทารกที่เกิดมามีผิวสีอ่อนอาจมีสีคล้ำขึ้นเนื่องจากแสงแดด☀️หรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ในทางกลับกัน ทารกที่เกิดมามีผิวคล้ำอาจมีสีอ่อนลงเมื่อโตขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นเรื่องปกติและไม่ก่อให้เกิดความกังวล วิธีดูแลสุขภาพผิวพรรณของเด็กทารกอีกคำถามหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่สงสัยคือ การดูแลผิวของทารกเป็นสิ่งสำคัญหรือไม่ และต้องดูแลยังไงให้ผิวของทารกชุ่มชื้น มีสุขภาพผิวดีและสวยงาม  เนื่องจากผิวของทารกแรกเกิดมีความบอบบางและแพ้ง่าย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูแลผิวเป็นพิเศษนะคะ คุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลผิวของลูกน้อยได้โดยการรักษาความสะอาดนะคะ ให้ผิวของลูกน้อยมีความชุ่มชื้น และปกป้องผิวจากแสงแดด☀️ เพื่อให้ผิวของทารกสะอาดควรใช้น้ำอุ่น🚿และสบู่อ่อนๆ🧼 หลีกเลี่ยงการใช้สบู่หรือผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กที่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือสารเคมีที่มีฤทธิ์ระคายเคืองผิว หลังจากล้างแล้ว ควรซับผิวของทารกเบาๆ ให้แห้งด้วยผ้าขนหนูเนื้อนุ่ม💦ทำยังไงผิวถึงจะมีความชุ่มชื้น อิ่มน้ำ                                                                                                                                     การให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวของทารกก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกันนะคะเพื่อให้ผิวนุ่มและชุ่มชื้น สามารถใช้มอยเจอร์ไรเซอร์🧴ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้และปราศจากน้ำหอมเพื่อป้องกันความแห้งกร้านและลอกเป็นขุยของผิว สิ่งสำคัญคือต้องเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่ออกแบบมาสำหรับทารกโดยเฉพาะ เนื่องจากผิวของทารกบอบบางกว่าผู้ใหญ่นอกจากนี้การปกป้องผิวของทารกจากแสงแดดก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกันค่ะ รังสีที่เป็นอันตรายของดวงอาทิตย์🌞สามารถทำลายผิวหนังได้แม้ในปริมาณเล็กน้อย ผิวของทารกนั้นบางและบอบบางมาก ทำให้ผิวไหม้และเสียหายได้ง่ายกว่า แนะนำให้เก็บทารกให้พ้นจากแสงแดดโดยตรงและสวมชุดป้องกัน เช่น เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวน้ำหนักเบา และหมวกปีกกว้าง🧢 หากจำเป็นต้องอยู่กลางแจ้ง ให้ใช้ครีมกันแดดที่ปลอดภัยสำหรับทารกที่มีค่า SPF อย่างน้อย 30 กับผิวที่สัมผัสได้ มีอีกหลายวิธีในการดูแลสุขภาพผิวของเด็กทารก แม้แต่สิ่งเล็กๆน้อยๆ เช่นการเลือกผ้าอ้อมเด็ก การเลือกผ้าอ้อมที่มีความอ่อนโยน🍃 ระบายอากาศได้ดี ไม่อับชื้นก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจเลยใช่ไหมคะ เพราะว่าเป็นการป้องกัน การเสียดสีจากผ้าอ้อม สามารถลดอาการแพ้หรือการระคายเคืองผิวได้ค่ะ  สรุปได้ว่า สีผิวของทารก👶สามารถเปลี่ยนแปลงได้เมื่อเวลาผ่านไป และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทาเพิ่มเติม ดูแลผิวให้สะอาด ชุ่มชื้น และปกป้องผิวจากแสงแดด☀️ ทำตามขั้นตอนง่ายๆ เหล่านี้ คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยดูแลให้ผิวของลูกน้อยแข็งแรง💪และสวยงามได้ค่ะ

Content Image

ยามหาหิงค์ใช้ทาให้ทารกได้ไหม?

     คุณแม่หลายๆท่านคงอาจจะคุ้นเคยกับชื่อ “มหาหิงค์” กันอยู่บ้างใช่ไหมคะ เพราะยามหาหิงค์อาจจะเรียกได้ว่าเป็นยาสามัญประจำบ้านสำหรับอาการท้องอืด อาการปวดท้อง แยาต่มหาหิงค์เหมาะสำหรับใช้รักษาอาการปวดท้อง ท้องอืดในเด็กไหม วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับยามหาหิงค์ไปพร้อมๆกันค่ะ💁‍♀️ยามหาหิงค์ คืออะไร?✨ยามหาหิงค์ (Ferula assafoetida L.) คือ ยางหรือชันน้ำมันที่ได้จากรากและลำต้นที่อยู่ใต้ดินของต้นพืชชนิดหนึ่งที่มีชื่อวิทยาศาสตร์เรียกว่า Ferula assafoetida L. พืชในตระกูลเดียวกันผักชีลาวเป็นพืชในบ้านเรา โดยยางและชันน้ำมันที่ได้จะค่อย ๆ แข็งตัว และจับตัวกันกลายเป็นก้อนแข็ง มีสีน้ำตาลอมเหลือง🟤 และมีกลิ่นฉุน จัดเป็นยาสำหรับใช้ภายนอก มีทั้งแบบก้อน แบบเจล แบบลูกกลิ้ง แบบน้ำ เป็นต้น และมักจะถูกนำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดท้อง ท้องอืดในเด็ก เพียงแค่นำมหาหิงค์ทาท้อง ก็จะช่วยบรรเทาอาการเหล่านั้นให้ดีขึ้นได้ ✨สรรพคุณของยามหาหิงค์ มีอะไรบ้าง?ยามหาหิงค์นั้นมีสรรพคุณมากมายเลยค่ะ โดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้เพื่อรักษาอาการดังต่อไปนี้- บรรเทาอาการปวดท้อง - บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ - บรรเทาอาการแมลง สัตว์ กัด ต่อย🐝 - บรรเทาอาการไอ😮‍💨 - ใช้ดมเพื่อบรรเทาอาการหวัด- รักษากลาก ยามหาหิงค์ใช้กับทารกได้ไหม?👉ยามหาหิงค์สามารถใช้ในทารกได้ค่ะ แต่ควรเป็นยาภายนอกเท่านั้น ไม่ควรนำมาผสมน้ำหรือผสมอะไรก็ตามเพื่อให้ทารกกิน🙅‍♀️ เพราะมหาหิงค์ในปัจจุบันนี้มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อยู่ด้วย ซึ่งแอลกอฮอล์นั้นเป็นอันตรายสำหรับทารกค่ะ 👉วิธีการทายามหาหิงค์- เทมหาหิงค์ใส่ลงในสำลี หรือผ้าสะอาด จากนั้นทามหาหิงค์ที่บริเวณหน้าท้อง รอบสะดือ ต้นขา เท้า และฝ่าเท้าของทารก👶 เนื่องจากมหาหิงค์มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ควรทาในที่อากาศโปร่ง ถ่ายเทสะดวก เพื่อให้แอลกอฮอล์ ระเหยออกไป โดยที่เด็กไม่สูดดม🙊- เสร็จแล้วให้พลิกตัวทารก เพื่อทามหาหิงค์ที่บริเวณหลัง จากนั้นทาตามจุดชีพจรต่าง ๆ - เมื่อทามหาหิงค์ที่ท้องเรียบร้อยแล้ว ให้ใช้ผ้าอ้อม หรือผ้าสะอาด ห่อที่ท้องของทารกไว้ เพื่อเสริมให้ท้องของทารกอุ่น♨️ ช่วยเสริมฤทธิ์ของยาได้ดีขึ้น และเสริมให้มหาหิงค์ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น โดยคุณแม่ควรทามหาหิงค์ให้ลูกหลังอาบน้ำ หรือวันละ 2-3 ครั้งหลังอาบน้ำ🛀 หรือทุกครั้งเมื่อลูกมีอาการปวดท้อง ท้องอืด แน่นท้อง ระมัดระวังไม่ให้ยาเข้าตา หรือโดนบริเวณที่มีแผล หรือรอยถลอก     สรุปได้ว่ายามหาหิงค์นั้นสามารถใช้ได้ตั้งแต่ทารกแรกเกิดขึ้นไปเลยค่ะ สามารถใช้ได้ทุกครั้งที่ลูกมีอาการปวดท้อง หรือท้องอืด นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องดูวันหมดอายุของยา เนื่องจากการเก็บยาไว้นาน ๆ จะทกให้ตัวยาออกฤทธิ์ช้าและไม่ได้ผลในการใช้ยา และถ้าใช้ยาแล้วอาการเหล่านั้นของลูกไม่ดีขึ้นเลย ควรพาลูกไปพบแพทย์👩‍⚕️จะดีที่สุดค่ะ 

Content Image

อันตราย! ใช้นมข้นชงแทนนมผงเด็ก

     เราในวัยผู้ใหญ่ต่างก็ทราบกันดีว่า นมข้นหวานเป็นส่วนประกอบหนึ่ง ที่ไม่ว่าจะถูกใช้ในการชงน้ำหวาน หรือทำขนม ก็มักจะทำให้อาหารเหล่านั้นรสชาติดีขึ้น หวานมันขึ้นเสมอ แม้จะมีนมเป็นส่วนประกอบ แต่คุณผู้อ่านทราบไหมคะว่าเด็กๆไม่สามารถดื่มนมข้นหวานแทนนมแม่หรือนมผงสำหรับเด็กได้ ไม่ได้แม้แต่จะนำไปเป็นส่วนประกอบในการชงนมผงให้เด็ก วันนี้บทความของเราจะพาคุณผู้อ่านมาดูถึงเหตุผลที่ไม่ควรให้เด็กๆรับประทานนมข้นหวานกันค่ะ แต่ก่อนอื่น เราไปทำความรู้จักกับนมข้นหวานให้มากขึ้นกันดีกว่าค่ะ💁‍♀️ผ่านอะไรมาบ้างจึงจะเป็นนมข้นหวาน✨นมข้นหวานนั้นคือน้ำนมจริงๆที่เป็นนมสด นำมาผ่านการระเหยน้ำออกไปบางส่วน จึงทำให้เนื้อหรือพื้นผิว (Texture) ของนมเข้มข้นกว่านมสดปกติ เมื่อเรารับประทานเข้าไปจึงพอที่จะสัมผัสได้ว่า นมข้นนั้นเข้มข้นกว่านมสดปกตินั่นเอง แต่นี่ไม่ใช่กระบวนการเดียวค่ะที่ทำใ้ห้นมข้นเข้มข้นขึ้น✨หลังนำไประเหยน้ำให้ได้อัตราส่วนที่เหมาะสมแล้ว นมข้นที่หนืดขึ้นเหล่านี้จะถูกเติมน้ำตาลไปประมาณ 40-50% ของนมข้นที่มีอยู่ ซึ่งถือว่าเป็นการเติมน้ำตาลไปในปริมาณที่สูงมาก เหตผุลที่ต้องเติมน้ำตาลไปในปริมาณที่มากขนาดนั้น ในตอนแรกของการคิดค้นนมข้นหวาน จะเป็นเรื่องของการช่วยถนอมอาหาร เพราะน้ำตาลที่มีความเข้มข้นที่สูงพอ จะป้องกันไม่ให้แบคทีเรีย🦠เจริญหรือขยายพันธุ์ในอาหารที่เติมน้ำตาลได้ ป้องกันการเน่าเสียของนมนั่นเองค่ะ✨เมื่อผ่านกระบวนการผลิตเบื้องต้นไปแล้ว จะทำให้ภายในนมข้นหวาน ประกอบด้วยส่วนประกอบ 3 กลุ่มใหญ่ๆด้วยกันค่ะ อย่างแรกคือนม  จะอยู่ที่ประมาณ 22-28% และน้ำที่มีประมาณ 24-27% ตามด้วยไขมันซึ่งอยู่ในนมอยู่แล้ว ไม่ได้ถูกเติมแต่งอะไรเข้าไปประมาณ 9% และใช่ค่ะ นอกนั้นจะเป็นน้ำตาลที่ถูกเติมเข้าไปซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่เยอะมากเลยทีเดียวค่ะ✨อ่านมาถึงตรงนี้ คุณผู้อ่านก็จะได้รับรู้ถึงส่วนประกอบ 3 กลุ่มหลักๆที่เราจะได้จากาการรับประทานนมข้นหวานกันไปแล้ว นั่นก็คือ นมสด🥛 น้ำเปล่า และน้ำตาล ทีนี้เราไปดูกันต่อดีกว่าค่ะ ว่าส่วนประกอบ 3 กลุ่มหลักๆนี้มีสารอาหารอะไรบ้างที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของเราสารอาหารจากนมข้นหวาน👉สำหรับส่วนประกอบหลักก็คือน้ำตาล หากรับประทานนมข้นหวาน สารอาหารที่จะได้แน่ๆก็คือคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่สูงมากค่ะ👉สำหรับส่วนประกอบที่มีปริมาณรองลงมา ก็คือนมสดนั่นเอง แน่นอนว่าจะมีสารอาหารในกลุ่มโปรตีนและไขมัน แต่จะค่อนข้างโดดเด่นไปในทางโปรตีนมากกว่า หากลองจินตนาการว่าเทนมข้นหวานออกมา 1 ช้อนชา จะได้รับโปรตีนไปเพียง 1.2 กรัมเท่านั้น หรือน้อยกว่าการรรับประทานไข่ไก่ประมาณ 7 เท่าค่ะ นอกจากนี้ น้ำนมยังเป็นสิ่งที่มีสารอาหารประเภทวิตามินเป็นส่วนประกอบด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นวิตามินเอที่โดดเด่นในเรื่องบำรุงดวงตา วิตามินดีที่โดดเด่นเรื่องการบำรุงกระดูกและฟัน🦷 และวิตามินบีที่โดดเด่นในเรื่องของการเสริมสร้างระบบประสาทและกล้ามเนื้อ แต่ก็มีในปริมาณที่น้อยมากเท่านั้นเมื่อเทียบกับการรับประทานผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์🥩 จนไปถึงนมสดจริงๆที่ไม่ได้ผ่านระบวนการแปรรูปค่ะ👉สำหรับส่วนประกอบสุดท้ายที่มีอัตราส่วนพอๆกับนม นั่นก็คือน้ำเปล่านั่นเอง ซึ่งไม่ได้ให้พลังงานหรือสารอาหารใดๆค่ะคำแนะนำจากองค์การอนามัยโลก    องค์การอนามัยโลกได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับอาหารของเด็กเล็กดังต่อไปนี้ค่ะทารกแรกเกิดจนถึงช่วงอายุ 6 เดือนแรก ควรได้รับประทานนมแม่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องให้น้ำเปล่าหรืออาหารอื่นๆ หากแม่ไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับกับการให้นม🤱 และเด็กไม่ได้มีปัญหาหรือภาวะทางสุขภาพอะไรที่ขัดกับการดื่มนมแม่หลังจากนั้น เมื่อมีอายุเกิน 6 เดือนเป็นต้นไป คุณพ่อคุณแม่สามารถให้ลูกรับประทานนมแม่ควบคู่กับอาหารที่เหมาะสมแตกต่างกันออกไปในแต่ละช่วงวัย จนเด็กมีอายุประมาณ 2 ขวบปีหรือมากกว่านั้นได้เช่นเดียวกันค่ะสำหรับเด็กที่มีอายุมากกว่า 1 ปีจะสามารถรับประทานอาหารชนิดอื่นได้แล้ว จึงสามารถเลือกให้นมกล่อง UHT 🧃หรือ นมพาสเจอร์ไรซ์ซึ่งมีราคาค่อนข้างถูกได้ แต่นมแม่ก็ยังถือเป็นแหล่งอาหารที่มีสารอาหารสมบูรณ์และเหมาะสมที่สุดสำหรับเด็กในวัยเจริญเติบโตอยู่ดีค่ะความเสี่ยงเมื่อให้นมลูกด้วยนมข้นแทนนมแม่หรือนมผงเด็ก✨เด็กมีความเสี่ยงที่จะมีภาวะขาดโปรตีนและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายชนิดอื่นๆ (ยกเว้นคาร์โบไฮเดรต) เมื่อเด็กได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ก็จะชะลอพัฒนาการทางด้านร่างกายและการเรียนรู้ของเด็กค่ะ✨เด็กมีความเสี่ยงที่จะเติบโตมาพร้อมกับโรคอ้วน โรคเบาหวาน ซึ่งนำไปสู่โรคความดัน โรคหัวใจ🫀 และไขมันอุดตันเส้นเลือดได้ในอนาคต เพราะได้รับน้ำตาลที่จะสามารถถูกแปรรูปเป็นคาร์โบไฮเดรตและไขมันส่วนเกินได้ค่ะ     จะเห็นแล้วนะคะว่าการใช้นมข้นชงแทนนมผงให้เด็กรับประทานนั้นมีแต่ผลเสีย แม้จะเป็นทางเลือกที่ราคาค่อนข้างต่ำ แต่คุณภาพชีวิตและสุขภาพของเจ้าตัวน้อยในอนาคต ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรเสี่ยงใช่ไหมคะ ดังนั้นทางเลือกอย่างนมผงเด็กหรือนมแม่ จึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดที่จะชงให้เจ้าตัวน้อยของเราดื่มเพื่อสุขภาพที่ดีของพวกเขาในอนาคตนะคะ👶🏻

Content Image

ฝึกการนอนให้กับลูกน้อยได้อย่างไรบ้าง?

     บางทีเจ้าตัวน้อยนั้นยังอยากเล่น ไม่ยอมนอนหลับหากไม่มีคุณแม่นอนพร้อมกับเขา และมีอีกหลายเหตุผลที่ลูกน้อยของคุณแม่ไม่อยากไปนอนคนเดียวในห้องนอนที่เตรียมเอาไว้🛌 เพราะเคยชินกับการนอนกับคุณพ่อคุณแม่มาตลอด ดังนั้นการฝึกการนอนจะช่วยให้ลูกน้อยสามารถนอนหลับได้อย่างเป็นเวลา ซึ่งการฝึกให้ลูกนอนเองนั้นไม่ใช่เรื่องยาก มาดูกันดีกว่าว่าคุณแม่สามารถทำได้อย่างไรบ้าง💁‍♀️5 วิธีง่ายๆในการฝึกการนอนให้กับลูกน้อย1️⃣ ค่อยๆ ลดเวลาการอุ้มกล่อมให้ลูกเข้านอนคุณแม่สามารถค่อยๆ ลดเวลาการอุ้มกล่อม หรืออะไรก็ตามที่ปกติคุณพ่อคุณแม่ทำช่วยให้ลูกน้อยหลับได้ ค่อยๆ ทำน้อยลงเรื่อยๆ ทุกวัน เช่น จากกล่อม 10 นาที ก็ลดลงเหลือ 8 นาที⏰ สักอาทิตย์หนึ่ง ก่อนจะลดเวลาลงเรื่อยๆ ทุกอาทิตย์ จนไม่อุ้มกล่อมอีกเลย วิธีนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องใจเย็น มีความอดทน และชีวิตมีระเบียบแบบแผนที่ชัดเจน ไม่มีปัจจัยอื่นมากระทบกับการฝึก เพราะเมื่อหลุดจากแบบแผนการฝึกแล้ว ก็ต้องเริ่มใหม่ทั้งหมดทันที2️⃣ อย่าลืมอยู่ข้างๆ ระหว่างฝึกลูกนอนเสมอวิธีนี้เหมาะสำหรับใช้กับเด็กทารกเมื่อถึงเวลานอน โดยให้คุณแม่วางลูกน้อยของคุณลงในเปลหรือที่นอนที่เตรียมไว้ เมื่อลูกร้องก็อุ้มขึ้นมาปลอบให้หยุดร้องแล้ววางกลับลงไปอีกครั้ง ทำแบบนี้วนไปเรื่อยๆ จนกว่าลูกจะหลับ ข้อดีของวิธีนี้คือ ลูกจะรู้สึกว่าไม่ได้ถูกทอดทิ้ง🥰 และมีคุณพ่อคุณแม่อยู่ข้างๆ เสมอ ระยะเวลาที่ใช้ในการฝึก จะขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยของเด็กแต่ละคนค่ะและรวมไปถึงวิธีเหล่าอีกด้วย 3️⃣ เช็คดูเป็นระยะหลังจากส่งลูกเข้านอน วางลูกน้อยลงในเปลหรือที่นอนที่เตรียมไว้ แล้วเดินออกจากห้องทันทีโดยไม่ต้องกล่อม แต่เข้าไปดูลูกเป็นระยะๆ จนกว่าลูกจะหลับแทน อาจแบ่งช่วงเข้าไปหาลูกทุกๆ 15 นาที ไปปลอบลูก ลูบหัวลูก หรือบอกราตรีสวัสดิ์🌙แล้วกลับออกมาโดยไม่อุ้มลูกขึ้นมาอีก เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากได้ผลดีในเด็กหลายคน👶4️⃣ เฝ้าดูลูกอยู่ห่างๆ จนลูกหลับไปคล้ายกับวิธีที่ 2 แต่สามารถใช้ได้ในเด็กวัยอื่นด้วย โดยให้คุณพ่อหรือคุณแม่นั่งเฝ้าลูกอยู่ข้างๆ รอจนกว่าลูกจะหลับ😴 แล้วค่อยออกจากห้องไป โดยค่อยๆย้ายที่นั่งให้ออกห่างจากที่นอนของลูกมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละคืน5️⃣ ปล่อยให้ลูกร้องไห้แล้วหลับไปเองวิธีสุดท้ายนี้ดูจะค่อนหักดิบไปหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใช้ได้ผลดีเลยทีเดียวค่ะ เมื่อถึงเวลานอน คุณแม่วางลูกน้อยลงในเปลหรือที่นอนที่เตรียมไว้ แล้วออกจากห้องทันทีโดยไม่ต้องกล่อม หากลูกร้อง😭 ให้รอจนถึงเวลาที่กำหนดไว้แล้วค่อยเข้าไปดู ในคืนแรกให้รอนาน 5 นาทีและเพิ่มเวลารอให้นานขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าไปดูลูก ให้เข้าไปเพียงครู่เดียวแล้วกลับออกมาทันที แม้ว่าลูกจะยังร้องอยู่ก็ตาม โดยระหว่างที่เข้าไปอาจลูบหลังหรือปลอบโยนลูกบ้าง แต่ห้ามอุ้มลูกขึ้นมาอีกเด็ดขาด     สรุปได้ว่าสำหรับเด็กทารกนั้น การฝึกให้ลูกนอนเองถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และเป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับเขาไม่น้อยเลยทีเดียว คุณแม่ควรใช้ความอดทนเพื่อฝึกลูกนอนเองอย่างใจเย็น โดยอาจจะพาลูกทำกิจกรรมร่วมกันก่อนเข้านอน เช่น ให้ลูกอาบน้ำ แปรงฟัน และฟังนิทานก่อนเข้านอนทุกคืน📖 เมื่อเวลาผ่านไป ลูกจะรับรู้ได้ว่าเมื่อฟังนิทานเสร็จแล้วก็ได้เวลาเข้านอนนั่นเองค่ะ  

Village Baby Co., Ltd.

4F, 83 Uisadang-daero, Yeongdeungpo-gu, Seoul, Republic of Korea

Partnership inquiries babybilly.global@villagebaby.kr

|

|

Language

Copyright Baby Billy. All rights reserved.