📖 บทความที่ถูกอ่านมากที่สุด

ท้องแล้วฉีดน้ำหอมอยู่ระวัง! อันตรายกับลูกในครรภ์
น้ำหอมหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่หลายๆคนใช้ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจและเสน่ห์ให้กับเรา แต่เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์แล้วจะสามารถใช้น้ำหอมต่อไปได้หรือไม่ จะมีผลกระทบอะไรต่อทารกในครรภ์หรือเปล่า เราไปดูกันเลยค่ะท้องแล้วยังสามารถใช้น้ำหอมได้ไหม?หลีกเลี่ยงน้ำหอม?จากงานวิจัยพบว่าคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ควรหลีกเลี่ยงน้ำหอม เทียนหอม สเปร์หอม ไมโครเวฟ รวมถึงการใช้พลาสติก👃หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ผสมน้ำหอมไม่เพียงเท่านั้นคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงน้ำหอมที่ถูกผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น สบู่🧼 ผงซักฟอง น้ำยาซักผ้า ของใช้ในครัวเรือนและของใช้ต่างๆงานวิจัยบ่งบอกว่าอย่างไร?งานวิจัยจาก University Of Illinois พบว่าสารเคมีที่อยู่ในน้ำหอมนั้นมีผลต่อการพัฒนาสมอง🧠 โดยได้ทำการทดลองในหนูที่ตั้งครรภ์ และพบว่าหนูที่ใช้ชีวิตอยู่กับน้ำหอมและพลาสติกนั้น ลูกหนูที่เกิดมามีระดับปัญญาที่แย่กว่าโดยการทดลองยังสรุปได้ว่าแม้ว่าแม่หนู🐁จะไม่ได้รับผลกระทบแต่ลูกหนูนั้นได้รับผลกระทบโดยตรง ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงน้ำหอม สเปรย์ต่างๆ และพลาสติกนั่นเองค่ะหลังคลอดล่ะ ใช้น้ำหอมได้ไหม?หลังจากที่คุณแม่คลอดลูกแล้วก็ยังไม่ควรใช้น้ำหอมเพราะผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำหอม โคโลญจน์ สเปรย์ฉีดตัวหลายๆตัวมีส่วนผสมของสารเคมีที่สามารถเป็นอันตรายต่อสุขภาพของลูกน้อยได้ โดยหายลูกยังอ่อน👶อยู่ก็จะมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับสารเคมีที่เป็นอันตรายจากน้ำหอมเหล่านี้โดยการศึกษาของสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในปี 1991 พบว่าสารเคมี 95% ในน้ำหอมเป็นสารประกอบที่ทำมาจากปิโตเลียม รวมถึง Greenpeace ยังพบว่าแบรนด์น้ำหอมชื่อดังกว่า 36 แบรนด์ มีส่วนประกอบของสารเคมีที่สามารถก่อให้เกิดอันตรายได้ อย่างพาทาเลต และ มัสค์สังเคราะห์ ซึ่งสารเคมีสองตัวนี้สามารถมีผลกระทบต่อกระแสเลือด🩸ในสมอง🧠 รวมถึงยังทำให้เกิดอาการปวดไมเกรนได้สุดท้ายนี้สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมยังพบว่าสารเคมี Linalool ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในน้ำหอมสามารถกระทบต่อระบบหายใจและยังก่อให้เกิดอาการง่วงและซึมเศร้าได้อีกด้วย😴 (ขอบคุณข้อมูลจาก Anna O'rourke,her)ทราบอย่างนี้แล้วหากเป็นไปได้ก็ควรเลี่ยงการฉีดน้ำหอมกันไปก่อนเพื่อพัฒนาการและสุขภาพที่แข็งแรงของลูกน้อยนะคะ

คุณแม่สามารถใช้ครีมทาตัวเดิมที่เคยใช้ก่อนตั้งครรภ์ได้ไหม?
เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ร่างกายย่อมมีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ดังนั้นคุณแม่จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนการชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นลักษณะการใช้ชีวิต อาหาร หรือแม้แต่ในเรื่องของผิวพรรณ และเพื่อให้คุณแม่ได้มั่นใจว่าครีมบำรุงที่คุณแม่ใช้อยู่มีความปลอดภัยสำหรับช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ วันนี้เราจึงนำข้อมูลที่สำคัญมาฝากกันค่ะเหตุผลที่คุณแม่ควรใช้ครีมมอยส์เจอไรเซอร์สำหรับคนท้องโดยเฉพาะความปลอดภัยคืออับดับ 1อย่างแรกเลยที่จะต้องให้ความสนใจแน่นอนว่าจะต้องเป็นเรื่องของความปลอดภัยว่าครีมที่ใช้อยู่นั้นอ่อนโยนและปลอดภัยพอที่จะสามารถทาลงบนผิวหนังของคุณแม่ตั้งครรภ์🤰ได้หรือไม่การเปลี่ยนแปลงเนื่องจากเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ สภาพผิวของคุณแม่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมจากการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เมตาบอลิซึม ระบบต่อมไร้ท่อ และหลอดเลือด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้จะส่งผลให้คุณแม่เกิดอาการแพ้ได้ง่ายกว่าเมื่อก่อน และยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความมัน สิว แห้งกร้าน จุดด่างดำได้ด้วย รวมถึงเรื่องของเกราะป้องกันผิวก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ดังนั้นคุณแม่ควรให้ความสนใจกับสารประกอบที่อยู่ในครีม🧴ที่ใช้นั่นเองค่ะ วิธีการเลือกซื้อครีมสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์มองหาผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก คุณแม่สามารถมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากออร์แกนิก🍃 และ มีการรับรองว่าสามารถใช้กับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ได้ ก็จะสามารถทำให้มั่นใจได้ว่าไม่มีการผสมสารที่เป็นอันตรายต่อทั้งคุณแม่และทารก รวมถึงหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอม เพราะอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้หลีกเลี่ยงสารเรตินอยต์สารเรตินอยต์นั้นเป็นสารที่สามารถพบได้ในมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีประสิทธิภาพในการต่อต้านริ้วร้อย แต่ในช่วงเวลาตั้งครรภ์นั้น คุณแม่ควรจะหลีกเลี่ยงมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของเรตินอยต์ไปก่อนจะดีที่สุดค่ะ เพราะเรตินอยต์ มีอนุพันธ์ของวิตามินเอบางชนิด เช่น แอคคิวเทน หรือ เทรติโนอิน ที่อาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์🤰ได้นั่นเองวิธีการเลือกซื้อครีมสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์การเลือกซื้อครีมกันแดด🌞ในการเลือกซื้อครีมกันแดดคุณแม่สามารถมองหารุ้นที่มีผสมของซิงค์ออกไซด์และไททาเนียมไดออกไซด์ ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ทำงานโดยการผลักแสง UV ออกไป มีความปลอดภัยสำคัญคุณแม่ที่ตั้งครรภ์🤰 แต่มีข้อเสียตรงที่จะค่อนข้างซึมซับได้ดีไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และมีความขาววอกได้ แต่สามารถทำงานป้องกันรังสีจาก UVA และ UVB ได้โดยไม่ต้องรอนานหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่มีความรุนแรงส่วนผสมที่คุณแม่ควรเลี่ยงในช่วงที่ตั้งครรภ์ได้แก่✨กรดซาลิไซลิก ✨ไฮโดนควิโนน✨พาทาเลต✨ฟอร์มาลดีไฮด์✨ออกซีเบนโซน✨เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์และเรตินอยด์ตามที่กล่าวมาข้างต้น เนื่องจากสารเหล่านี้มีโอกาสอาจส่งผลเสียต่อคุณแม่และลูกน้อยได้มากกว่าสารประเภทอื่นๆนั่นเองค่ะ

สารให้ความหวานในน้ำอัดลมก่อให้เกิดมะเร็ง?
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ยืนยันการจำแนกสารให้ความหวานเทียม แอสปาร์แตมเป็นสารที่ 'มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' หรือ 'Possibly carcinogenics to humans' ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้ 📢 ในขณะที่ข้อโต้แย้งด้านความปลอดภัยยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็กล่าวได้ว่าแอสปาร์แตมสามารถพบได้ในอาหารและเครื่องดื่มหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มลดน้ำหนัก เจลาติน หมากฝรั่ง ไอศกรีม ยาสีฟัน ยาอมแก้ไอ ผลิตภัณฑ์จากนม แล้วแบบนี้เราจะมีโอกาสเป็นมะเร็งหรือไม่ สารนี้จะหายไปจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเลยหรือไม่ คุณแม่หลายๆท่านกำลังสับสนกับเรื่องนี้🤰🏻 บิลลี่ จึงขออาสามาเช็กข้อเท็จจริงค่ะ!😉ทำความรู้จักกับแอสปาร์แตม🍹แอสปาร์แตม.....มีรสหวานกว่าน้ำตาล 200 เท่า แทบไม่มีแคลอรีเลย🙅🏻♀️ หลายๆท่านอาจจะยังไม่คุ้นกับชื่อของแอสปาร์แตม ซึ่งความจริงแล้วเราสามารถพบเจ้าแอสปาร์แตมนี้ในชีวิตประจำวันของเราได้ โดยสารนี้ใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากได้รับการอนุมัติในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2524 จึงเป็นสารปรุงแต่งอาหารที่ถูกนำมาใช้เพื่อให้อาหารมีรสหวาน 👅 ในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกโดยปัจจุบันยังคงมีการใช้ในอาหารและเครื่องดื่มแคลอรี่ต่ำ อย่าง Coke Zero, Diet Coke หมากฝรั่ง ลูกอม โยเกิร์ต ไอศรีม ซอส และขนมอีกหลากหลายชนิด แต่ไม่นานมานี้องค์กรอนามัยโลกหรือ WHO ประกาศให้เจ้าสารที่ถูกใช้ในเชิงเพื่อสุขภาพ กลายเป็นสารก่อมะเร็งแทน ข่าวนี้ทำให้ผู้อ่านหลายๆท่านหนักใจ เพราะเราต่างต้องเคยบริโภคสารนี้กันทั้งนั้น รู้จักประเภทของสารก่อมะเร็งองค์การระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง (IARC) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ WHO ได้ประกาศให้แอสปาร์แตมเป็นสารที่ 'มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' หรือ 'Possibly carcinogenics to humans'💥 ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้ โดย IARC ได้ระบุให้แอสปาร์แตมเป็นสารก่อมะเร็งในระดับ 2B ซึ่งการนิยามสารก่อมะเร็งของ IARC สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระดับใหญ่ๆดังนี้ระดับที่ 1 เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานบ่งชี้มากพอในเชิงสถิติ ว่าก่อให้เกิดโรคมะเร็งในมนุษย์ สารกลุ่มนี้ตามกฎหมายและข้อกำหนดขององค์กรอาหารและยาในแต่ละประเทศ จะต้องไม่ถูกเติมหรือมีการปนเปื้อนในอาหารอยู่แล้ว มักเป็นสารที่ถูกใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและวัสดุอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า ตัวอย่างสารในกลุ่มนี้ได้แก่ สารหนูหรืออาร์เซนิค หรือสารในกลุ่มเบนซีนค่ะระดับที่ 2A เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานงานวิจัยออกมายืนยันเช่นกันว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ยังถือว่ามีจำนวนงานวิจัยที่น้อย จึงได้แต่ใช้คำว่า “มีแนวโน้มที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์” แทน ยังไม่สามารถยืนยันได้เพราะยังมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือไม่เพียงพอค่ะ อย่างไรก็ตามสารในกลุ่มนี้ก็ยังมีหลักฐานบ่งชี้เพียงพอว่าก่อมะเร็งได้ในสัตว์ทดลองค่ะ ยกตัวอย่างเช่นซิลิกาที่ใช้ทำซองดูดความชื้นนั่นเองค่ะระดับที่ 2Bเป็นสารที่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ส่วนหนึ่งบ่งชี้ว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะยืนยัน ในกรณีของการก่อมะเร็งในสัตว์ก็มีแต่ยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าสามารถก่อมะเร็งได้เช่นเดียวกันค่ะ ซึ่งเจ้าแอสปาร์แตมเองก็อยู่ในกลุ่มนี้ นั่นทำให้เราสามารถตีความได้ว่า ทางองค์กรอนามัยโลกให้ข้อมูลว่าแอสปาร์แตมอาจจะก่อมะเร็งทั้งในสัตว์และในคน แต่ยังเป็นหลักฐานที่มีจำนวนน่าเชื่อถือไม่เพียงพอ เมื่อคำนวณความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติค่ะระดับที่ 3 เป็นสารที่ยังไม่มีข้อมูลว่าสามารถก่อมะเร็งได้ทั้งในร่างกายมนุษย์เองและร่างกายของสัตว์ค่ะสรุปแล้วแอสปาร์แตมอันตรายแค่ไหนแอสปาร์แตมก่อมะเร็งจริงหรือไม่?โดยความจริงแล้วสารระดับ 2B นั้นสามารถพบได้ในส่วนผสมในของที่เรารับประทานหรือใช้กันในชีวิตประจำวัน🍽️ อย่าง กรดคาเฟอิกในกาแฟ ว่างหางจระเข้ น้ำมันมะพร้าว รวมถึงกิมจิและผักดองอื่นๆด้วย ซึ่งคนไม่ได้ให้ความสำคัญเท่ากับสารทดแทนความหวาน หลักฐานจึงยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าแอสปาร์แตมจะทำให้เราเป็นมะเร็งจริงๆ แม้กระทั่งหลักฐานในสัตว์ทดลองเองก็ยังไม่ได้มีจำนวนมากพอที่จะยืนยันได้ จึงสามารถสรุปได้ว่า ไม่ได้ห้ามบริโภคเป็นอาหาร และไม่ได้หมายความว่าการรับประทานแอสปาร์แตมจะทำให้เกิดมะเร็ง แต่มีความจำเป็นที่จะต้องจำกัดปริมาณในการรับประทานสารให้ความหวานเทียมค่ะ🙌🏻 ยังสามารถรับประทานน้ำอัดลม 0% ได้หรือไม่?ยังสามารถรับประทานได้ค่ะ โดยค่าที่ปลอดภัยในการรับประทานแอสปาร์แตมจะอยู่ที่ไม่เกิน 40 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม👀 หากจะพูดให้เห็นภาพ หากคุณผู้อ่านมีน้ำหนักตัวประมาณ 50 กิโลกรัมนั่นหมายความว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานแอสปาร์แตมได้ในปริมาณที่ปลอดภัยไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ในน้ำอัดลมที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลหนึ่งกระป๋อง มักใส่แอสปาร์แตมไม่เกิน 300 มิลลิกรัม นั่นแปลว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานน้ำอัดลมชนิดนั้นได้ประมาณ 6-7 กระป๋องโดยประมาณเลย ซึ่งนับเป็นปริมาณที่ค่อนข้างเยอะมากต่อวัน หากไม่ได้ติดน้ำอัดลมกลุ่มนี้ เรามักจะกินไม่ถึงปริมาณที่มีความเสี่ยงว่าจะก่อมะเร็งอยู่แล้วค่ะ🫡 ข้อควรระวังสำหรับผู้ปกครอง🍹สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์จากการศึกษาที่ประกาศโดย American Society for Reproductive Medicine ในปี 2559 📑 สารให้ความหวานเทียมในเครื่องดื่ม 0% จะลดความสามารถของผู้หญิงในการปฏิสนธิและส่งผลต่อสุขภาพของเซลล์ไข่ โดยหากบริโภคในระหว่างตั้งครรภ์ ว่ากันว่าอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์และทำให้เด็กเสี่ยงเป็นโรคอ้วนได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มอัดลมที่มีระดับน้ำตาลสูงหากเป็นไปได้นะคะ!🙅🏻♀️🍹 แล้วคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังเลี้ยงลูกอยู่ล่ะ?หากคุณมีโรคทางพันธุกรรมที่เรียกว่าฟีนิลคีโตนูเรีย (PKU) ซึ่งไม่สามารถเผาผลาญแอสปาร์แตมได้ ก็ควรจะหลีกเลี่ยงการรับประทานสิ่งที่มีแอสปาร์แตม 🚫 โดยไม่ใช่เพียงคุณแม่และลูกน้อยเท่านั้นที่ควรเลี่ยง แต่ยังรวมถึงแม่ที่วางแผนหรือกำลังตั้งครรภ์ด้วย ในกรณีของทารกแรกเกิด ทารกจะได้รับการทดสอบที่โรงพยาบาลหลังคลอด ดังนั้นหากมีความผิดปกติก็สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนั้นไม่ต้องกังวลจนมากเกินไปนะคะ!แม้ว่ากระทรวงความปลอดภัยด้านอาหารและยาจะได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยของสารให้ความหวาน แต่คุณพ่อคุณแม่บางคนก็ยังคงกังวล ท่ามกลางความขัดแย้งเรื่องแอสปาร์แตม หัวหน้าสำนักโภชนาการและความปลอดภัยด้านอาหารของ WHO แนะนำว่าควรพิจารณา 'การดื่มน้ำแทนเครื่องดื่มที่มีรสหวาน🥛' แทนที่จะมองหาของหวานอื่นทดแทน ลองเลิกนิสัยชอบความหวานและพึ่งพาอาหารแปรรูป แล้วหันมาใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพกันดูนะคะ 💖

อาการที่บ่งบอกถึงการตั้งครรภ์ระยะแรก
คุณแม่แต่ละคนอาจมีอาการแตกต่างกันออกไปบางคนอาจไม่มีอาการใด ๆเลย แต่ในบางคนก็มีอาการแพ้ท้องเกิดขึ้น ดังนั้น ในระยะแรกอาจไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดูออกว่าคุณแม่ตั้งครรภ์อยู่หรือไม่ แต่ในทางการแพทย์จะมีลักษะอาการบางอย่างที่เราพอจะสังเกตุได้ มาดูกันว่าคุณมีอาการเหล่านี้บ้างหรือไม่นะคะอาการของคนท้องระยะแรก 1-2 สัปดาห์ 🤰 อาการขาดประจำเดือนประจำเดือนของผู้หญิงจะมาห่างกันประมาณ 28 วัน แต่หากประจำเดือนของคุณไม่มาเกิน 10 วัน 🩸 ก็อาจเป็นสัญญาณบอกได้ว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ แต่การขาดประจำเดือนก็อาจมาจากสาเหตุอื่นได้ 📅 เช่น ร่างกายอ่อนเพลีย การใช้ยาคุม หรือ การมีโรคบางอย่างก็เป็นได้🤰 ตกขาวมามากผิดปกติฮอร์โมนในร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อตั้งครรภ์ และส่งผลให้มีอาการตกขาวมีปริมาณมากขึ้น หากตกขาวของคุณมีสีขาวขุ่นก็อย่าเพิ่งตกใจไป 🙂 เพราะร่างกายของคุณสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยให้ปากช่องคลอดมีการหล่อลื่นนั่นเอง แต่คุณแม่ควรดูแลรักษาความสะอาดอยู่เสมอเพื่อป้องกันการเกิดเชื้อรา และหากมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ต่างไปจากนี้ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูอาการนะคะ👩⚕️ 🤰 อาการเลือดซึมทางช่องคลอดเนื่องจากร่างกายของคุณแม่กำลังปรับตัวให้เข้ากับสภาวะใหม่ที่เกิดจากการปฎิสนธิภายในมดลูก หากคุณแม่พบว่ามีเลือดสีแดงจางๆ🩸ออกเล็กน้อยบริเวณช่องคลอด อาจเป็นสัญญาณของการตั้งครรภ์ก็เป็นได้ โดยเลือดจะหยุดไหลไปเองภายในหนึ่งถึงสองวัน และจะไม่มีอาการปวดเกร็งท้องร่วมด้วย หากเลือดไม่หยุดไหล และมีอาการปวดท้องเกร็ง👩⚕️ควรไปพาแพทย์ทันทีนะคะ🤰 พบการเปลี่ยนแปลงของเต้านมคุณอาจพบว่าหัวนมของคุณมีเข้มหรือคล้ำขึ้น รวมถึงเต้านมของคุณอาจขยายขึ้น และมีอาการเจ็บตึงเต้านมด้วย🧐 การเปลี่ยนแปลงนี้จะเห็นชัดในคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ครั้งแรก 🤰 ไวต่อกลิ่นคุณอาจพบว่าจมูกไวต่อกลิ่นมากเป็นพิเศษ โดยจะเรียกว่า Super Smell 👃 เช่น บางคนอาจเห็นกลิ่นยาสีฟันที่ใช้เป็นประจำ หรือบางคนอาจเหม็นกลิ่นตัวของสามี เป็นต้นสัญญาณอื่น ๆ ของการตั้งครรภ์🤰 เวียนหัว ปวดศีรษะคุณอาจพบอาการปวดหัวซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนภายในร่างกายขณะตั้งครรภ์นั่นเอง ซึ่งในสัปดาห์แรกคุณแม่บางคนอาจมีอาการปวดมากหรือน้อย 🥴☹️ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคนนะคะ🤰 การคัดเต้าและเจ็บหัวนมหากคุณรู้สึกคัดบริเวณเต้นนมและเจ็บหัวนม🥺 พร้อมกับเกิดอาการขาดประจำ🩸 ก็อาจเป็นอาการที่บ่งบอกได้ว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ในช่วง 1-2 สัปดาห์ โดยอาการคัดเต้าและเจ็บหัวนมนี้ก็มาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายนั่นเอง เมื่อมีอายุครรภ์มากขึ้น ขนาดของเต้านมจะขยายใหญ่มากขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมผลิตนมให้กับลูกน้อยต่อไป👶🤰 ปวดหลังอาการปวดหลังช่วงล่างอาจเป็นหนึ่งในสัญญาณที่บ่งบอกได้ว่ากำลังตั้งครรภ์ โดยอาจมีอาการร่วมกับการเป็นตะคริว☹️ สาเหตุเกิดจากการขยายของมดลูกส่งผลให้กล้ามเนื้อส่วนกลางมีการขยายด้วย อาการปวดหลังอาจเกิดขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ของคุณแม่🥺 ลองเลือกหมอนสำหรับรองหลังและหมอข้างสำหรับวางขาดูนะคะ🤰 ปัสสาวะบ่อยหากคุณพบว่าช่วงนี้ตัวเองเข้าห้องน้ำ🚻 ปัสสาวะบ่อย ๆ ก็อาจเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ โดยการตั้งครรภ์ในช่วงแรกนั้นร่างกายของคุณแม่จะสร้างของเหลวในร่างกายมากขึ้น อุ้งเชิงกรานของคุณแม่มีเลือดมาไหลเวียนมาขึ้น มดลูกคุณแม่ขยายตัว ส่งผลให้เบียดกระเพาะปัสสาวะอาหาร จึงทำให้คุณแม่เข้าห้องน้ำบ่อยขึ้นนั่นเองคะ 🚽🤰 อยากกินของเปรี้ยว หรือของอื่นๆ คุณอาจอยากกินอาหารที่ต่างออกไปจากเดิมที่เคยกิน.🥘 บางคนอยากกินรสเปรี้ยว หรือ อาหารแปลก ๆ บางคนอาจมีอาการเบื่ออาหาร และไม่อยากกินอะไรเลย โดยมีสาเกตุจากการรับรู้รสชาติของคุณแม่เปลี่ยนแปลงไปจากการที่ระดับฮอร์โมนเพิ่มขึ้นนั่นเอง

ทำไมโฟลิกจึงมีความจำเป็น? ต้องทานเท่าไหร่?
คุณแม่หลายๆท่านทั้งรวมทั้งคุณผู้อ่านคงเคยได้ยินมาว่า กรดโฟลิกเป็นหนึ่งในสารอาหารที่คุณแม่ที่กำลังจะมีเจ้าตัวน้อยควรรับประทาน แต่จริงๆแล้วกรดโฟลิกสามารถกินได้เพียงในขณะอุ้มท้องหรือไม่ มีปริมาณที่เหมาะสมหรือไม่ กินมากไปเป็นอันตรายหรือเปล่า บทความนี้มีคำตอบให้คุณผู้อ่านอย่างแน่นอน แต่ก่อนอื่นเราไปทำความรู้จักกับกรดโฟลิกกันก่อนค่ะทำไมคุณแม่ถึงต้องทานกรดโฟลิกกรดโฟลิกคืออะไรขึ้นชื่อว่ากรดแต่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด กรดโฟลิกเป็นสารอาหารประเภทหนึ่ง (วิตามินบี 9 ชนิดหนึ่ง) บางท่านอาจเคยได้ยินอีกชื่อ คือ โฟเลต ให้รับรู้ไว้ว่าล้วนเป็นสารอาหารตัวเดียวกัน โฟลิกเป็นสารอาหารที่สามารถพบได้ตามอาหารจากธรรมชาติที่หารับประทานได้ไม่ยากเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ไข่แดง🥚 ตับ ผักใบเขียว ผักสีส้ม และผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวเป็นส่วนใหญ่ค่ะประโยชน์ของโฟลิกกรดโฟลิกมีส่วนช่วยในเรื่องของการเจริญเติบโตของเจ้าตัวน้อยในท้องคุณแม่เป็นหลัก ช่วยตั้งแต่ในระยะแรกที่เกิดการแบ่งเซลล์ของตัวอ่อนในครรภ์ การพัฒนาระบบประสาท สมอง และไขสันหลัง ช่วยในเรื่องของการสร้างเม็ดเลือดแดง🩸ให้แข็งแรง และยังช่วยเสริมสร้างการสร้างเม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญในระบบภูมิคุ้มกันของเจ้าตัวน้อยอีกด้วย แต่ก็มีข้อควรระวังเช่นกันค่ะ หากคุณแม่รับประทานกรดโฟลิกมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาโลหิตจางทั้งกับตนเองและกับเจ้าตัวน้อยในครรภ์ได้ค่ะรับประทานแค่ไหนจึงจะพอดี?อันที่จริงแล้วกรดโฟลิกสามารถรับประทานได้ตั้งแต่ช่วงเตรียมตัวจะตั้งครรภ์ซึ่งก็คือก่อนตั้งครรภ์จะดีที่สุดค่ะ และควรรับประทานต่อไปในปริมาณที่เหมาะสมจนกว่าจะคลอดบุตรเลย สำหรับช่วงก่อนตั้งครรภ์แนะนำว่าควรได้รับโฟลิกไม่น้อยกว่า 0.5 มิลลิกรัมต่อวัน หากตั้งครรภ์แล้วให้เพิ่มปริมาณเป็น 0.8 มิลลิกรัมต่อวัน และไม่ควรรับประทานเกิน 1 มิลลิกรัมต่อวัน💊 จะเห็นว่าไม่ใช่ปริมาณที่เยอะเลยใช่ไหมคะ เพียงแค่คุณผู้อ่านกินอาหารที่อุดมไปด้วยกรดโฟลิกตามที่ยกตัวอย่างข้างต้น ก็มีแนวโน้มว่าจะได้รับกรดโฟลิกตามเกณฑ์อยู่แล้ว แต่หากไม่มั่นใจก็สามารถรับประทานโฟลิกในรูปแบบของอาหารเสริมได้ค่ะหากรับประทานโฟลิกไม่พอ จะเกิดอะไรขึ้น ?การขาดกรดโฟลิกจะส่งผลอย่างชัดเจนในคุณแม่ที่กำลังมีเจ้าตัวน้อยค่ะ👶 เด็กในท้องอาจมีปัญหาเกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการเจริญที่ไม่เต็มที่ของระบบประสาทและสมอง กะโหลกศีรษะไม่ปิดจนผิดปกติ มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ ไขมันสูง ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ความเสี่ยงจากการขาดกรดโฟลิกค่อนข้างน่ากลัวเลยใช่ไหมคะ ดังนั้นการควบคุมเรื่องสารอาหารที่คุณแม่หรือกระทั่งคุณผู้หญิงที่วางแผนจะมีเจ้าตัวน้อยจึงสำคัญมาก หากไม่มั่นใจว่าสามารถทำได้เอง แนะนำให้ขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านของการตั้งครรภ์ รวมไปถึงนักโภชนาการที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้ได้รับความรู้ในด้านการกินอาหาร และได้รับสารอาหารที่เพียงพอ เป็นประโยชน์กับทั้งลูกน้อยและตัวของคุณแม่เองค่ะ
👉 List บทความเตรียมตัวตั้งครรภ์