Baby Image

ที่แอป Baby Billy คุณสามารถดูเนื้อหาเพิ่มเติมได้!

📖 บทความที่ถูกอ่านมากที่สุด

Content Image

ท้องแล้วฉีดน้ำหอมอยู่ระวัง! อันตรายกับลูกในครรภ์

น้ำหอมหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่หลายๆคนใช้ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจและเสน่ห์ให้กับเรา แต่เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์แล้วจะสามารถใช้น้ำหอมต่อไปได้หรือไม่ จะมีผลกระทบอะไรต่อทารกในครรภ์หรือเปล่า เราไปดูกันเลยค่ะท้องแล้วยังสามารถใช้น้ำหอมได้ไหม?หลีกเลี่ยงน้ำหอม?จากงานวิจัยพบว่าคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ควรหลีกเลี่ยงน้ำหอม เทียนหอม สเปร์หอม ไมโครเวฟ รวมถึงการใช้พลาสติก👃หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ผสมน้ำหอมไม่เพียงเท่านั้นคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงน้ำหอมที่ถูกผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น สบู่🧼 ผงซักฟอง น้ำยาซักผ้า ของใช้ในครัวเรือนและของใช้ต่างๆงานวิจัยบ่งบอกว่าอย่างไร?งานวิจัยจาก University Of Illinois พบว่าสารเคมีที่อยู่ในน้ำหอมนั้นมีผลต่อการพัฒนาสมอง🧠 โดยได้ทำการทดลองในหนูที่ตั้งครรภ์ และพบว่าหนูที่ใช้ชีวิตอยู่กับน้ำหอมและพลาสติกนั้น ลูกหนูที่เกิดมามีระดับปัญญาที่แย่กว่าโดยการทดลองยังสรุปได้ว่าแม้ว่าแม่หนู🐁จะไม่ได้รับผลกระทบแต่ลูกหนูนั้นได้รับผลกระทบโดยตรง ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงน้ำหอม สเปรย์ต่างๆ และพลาสติกนั่นเองค่ะหลังคลอดล่ะ ใช้น้ำหอมได้ไหม?หลังจากที่คุณแม่คลอดลูกแล้วก็ยังไม่ควรใช้น้ำหอมเพราะผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำหอม โคโลญจน์ สเปรย์ฉีดตัวหลายๆตัวมีส่วนผสมของสารเคมีที่สามารถเป็นอันตรายต่อสุขภาพของลูกน้อยได้ โดยหายลูกยังอ่อน👶อยู่ก็จะมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับสารเคมีที่เป็นอันตรายจากน้ำหอมเหล่านี้โดยการศึกษาของสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในปี 1991 พบว่าสารเคมี 95% ในน้ำหอมเป็นสารประกอบที่ทำมาจากปิโตเลียม รวมถึง Greenpeace ยังพบว่าแบรนด์น้ำหอมชื่อดังกว่า 36 แบรนด์ มีส่วนประกอบของสารเคมีที่สามารถก่อให้เกิดอันตรายได้ อย่างพาทาเลต และ มัสค์สังเคราะห์ ซึ่งสารเคมีสองตัวนี้สามารถมีผลกระทบต่อกระแสเลือด🩸ในสมอง🧠  รวมถึงยังทำให้เกิดอาการปวดไมเกรนได้สุดท้ายนี้สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมยังพบว่าสารเคมี Linalool ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในน้ำหอมสามารถกระทบต่อระบบหายใจและยังก่อให้เกิดอาการง่วงและซึมเศร้าได้อีกด้วย😴 (ขอบคุณข้อมูลจาก Anna O'rourke,her)ทราบอย่างนี้แล้วหากเป็นไปได้ก็ควรเลี่ยงการฉีดน้ำหอมกันไปก่อนเพื่อพัฒนาการและสุขภาพที่แข็งแรงของลูกน้อยนะคะ

Content Image

คุณแม่สามารถใช้ครีมทาตัวเดิมที่เคยใช้ก่อนตั้งครรภ์ได้ไหม?

เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ร่างกายย่อมมีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ดังนั้นคุณแม่จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนการชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นลักษณะการใช้ชีวิต อาหาร หรือแม้แต่ในเรื่องของผิวพรรณ และเพื่อให้คุณแม่ได้มั่นใจว่าครีมบำรุงที่คุณแม่ใช้อยู่มีความปลอดภัยสำหรับช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ วันนี้เราจึงนำข้อมูลที่สำคัญมาฝากกันค่ะเหตุผลที่คุณแม่ควรใช้ครีมมอยส์เจอไรเซอร์สำหรับคนท้องโดยเฉพาะความปลอดภัยคืออับดับ 1อย่างแรกเลยที่จะต้องให้ความสนใจแน่นอนว่าจะต้องเป็นเรื่องของความปลอดภัยว่าครีมที่ใช้อยู่นั้นอ่อนโยนและปลอดภัยพอที่จะสามารถทาลงบนผิวหนังของคุณแม่ตั้งครรภ์🤰ได้หรือไม่การเปลี่ยนแปลงเนื่องจากเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ สภาพผิวของคุณแม่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมจากการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เมตาบอลิซึม ระบบต่อมไร้ท่อ และหลอดเลือด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้จะส่งผลให้คุณแม่เกิดอาการแพ้ได้ง่ายกว่าเมื่อก่อน และยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความมัน สิว แห้งกร้าน จุดด่างดำได้ด้วย รวมถึงเรื่องของเกราะป้องกันผิวก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ดังนั้นคุณแม่ควรให้ความสนใจกับสารประกอบที่อยู่ในครีม🧴ที่ใช้นั่นเองค่ะ วิธีการเลือกซื้อครีมสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์มองหาผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก คุณแม่สามารถมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากออร์แกนิก🍃 และ มีการรับรองว่าสามารถใช้กับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ได้ ก็จะสามารถทำให้มั่นใจได้ว่าไม่มีการผสมสารที่เป็นอันตรายต่อทั้งคุณแม่และทารก รวมถึงหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอม เพราะอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้หลีกเลี่ยงสารเรตินอยต์สารเรตินอยต์นั้นเป็นสารที่สามารถพบได้ในมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีประสิทธิภาพในการต่อต้านริ้วร้อย แต่ในช่วงเวลาตั้งครรภ์นั้น คุณแม่ควรจะหลีกเลี่ยงมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของเรตินอยต์ไปก่อนจะดีที่สุดค่ะ เพราะเรตินอยต์ มีอนุพันธ์ของวิตามินเอบางชนิด เช่น แอคคิวเทน หรือ เทรติโนอิน ที่อาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์🤰ได้นั่นเองวิธีการเลือกซื้อครีมสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์การเลือกซื้อครีมกันแดด🌞ในการเลือกซื้อครีมกันแดดคุณแม่สามารถมองหารุ้นที่มีผสมของซิงค์ออกไซด์และไททาเนียมไดออกไซด์ ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ทำงานโดยการผลักแสง UV ออกไป มีความปลอดภัยสำคัญคุณแม่ที่ตั้งครรภ์🤰 แต่มีข้อเสียตรงที่จะค่อนข้างซึมซับได้ดีไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และมีความขาววอกได้ แต่สามารถทำงานป้องกันรังสีจาก UVA และ UVB ได้โดยไม่ต้องรอนานหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่มีความรุนแรงส่วนผสมที่คุณแม่ควรเลี่ยงในช่วงที่ตั้งครรภ์ได้แก่✨กรดซาลิไซลิก ✨ไฮโดนควิโนน✨พาทาเลต✨ฟอร์มาลดีไฮด์✨ออกซีเบนโซน✨เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์และเรตินอยด์ตามที่กล่าวมาข้างต้น เนื่องจากสารเหล่านี้มีโอกาสอาจส่งผลเสียต่อคุณแม่และลูกน้อยได้มากกว่าสารประเภทอื่นๆนั่นเองค่ะ

Content Image

สารให้ความหวานในน้ำอัดลมก่อให้เกิดมะเร็ง?

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ยืนยันการจำแนกสารให้ความหวานเทียม แอสปาร์แตมเป็นสารที่ 'มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' หรือ 'Possibly carcinogenics to humans' ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้  📢 ในขณะที่ข้อโต้แย้งด้านความปลอดภัยยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็กล่าวได้ว่าแอสปาร์แตมสามารถพบได้ในอาหารและเครื่องดื่มหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มลดน้ำหนัก เจลาติน หมากฝรั่ง ไอศกรีม ยาสีฟัน ยาอมแก้ไอ ผลิตภัณฑ์จากนม แล้วแบบนี้เราจะมีโอกาสเป็นมะเร็งหรือไม่ สารนี้จะหายไปจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเลยหรือไม่ คุณแม่หลายๆท่านกำลังสับสนกับเรื่องนี้🤰🏻 บิลลี่ จึงขออาสามาเช็กข้อเท็จจริงค่ะ!😉ทำความรู้จักกับแอสปาร์แตม🍹แอสปาร์แตม.....มีรสหวานกว่าน้ำตาล 200 เท่า แทบไม่มีแคลอรีเลย🙅🏻‍♀️ หลายๆท่านอาจจะยังไม่คุ้นกับชื่อของแอสปาร์แตม ซึ่งความจริงแล้วเราสามารถพบเจ้าแอสปาร์แตมนี้ในชีวิตประจำวันของเราได้ โดยสารนี้ใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากได้รับการอนุมัติในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2524 จึงเป็นสารปรุงแต่งอาหารที่ถูกนำมาใช้เพื่อให้อาหารมีรสหวาน 👅 ในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกโดยปัจจุบันยังคงมีการใช้ในอาหารและเครื่องดื่มแคลอรี่ต่ำ อย่าง Coke Zero, Diet Coke หมากฝรั่ง ลูกอม โยเกิร์ต ไอศรีม ซอส และขนมอีกหลากหลายชนิด แต่ไม่นานมานี้องค์กรอนามัยโลกหรือ WHO ประกาศให้เจ้าสารที่ถูกใช้ในเชิงเพื่อสุขภาพ กลายเป็นสารก่อมะเร็งแทน ข่าวนี้ทำให้ผู้อ่านหลายๆท่านหนักใจ เพราะเราต่างต้องเคยบริโภคสารนี้กันทั้งนั้น รู้จักประเภทของสารก่อมะเร็งองค์การระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง (IARC) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ WHO ได้ประกาศให้แอสปาร์แตมเป็นสารที่ 'มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' หรือ 'Possibly carcinogenics to humans'💥 ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้  โดย IARC ได้ระบุให้แอสปาร์แตมเป็นสารก่อมะเร็งในระดับ 2B ซึ่งการนิยามสารก่อมะเร็งของ IARC สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระดับใหญ่ๆดังนี้ระดับที่ 1 เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานบ่งชี้มากพอในเชิงสถิติ ว่าก่อให้เกิดโรคมะเร็งในมนุษย์ สารกลุ่มนี้ตามกฎหมายและข้อกำหนดขององค์กรอาหารและยาในแต่ละประเทศ จะต้องไม่ถูกเติมหรือมีการปนเปื้อนในอาหารอยู่แล้ว มักเป็นสารที่ถูกใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและวัสดุอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า ตัวอย่างสารในกลุ่มนี้ได้แก่ สารหนูหรืออาร์เซนิค หรือสารในกลุ่มเบนซีนค่ะระดับที่ 2A เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานงานวิจัยออกมายืนยันเช่นกันว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ยังถือว่ามีจำนวนงานวิจัยที่น้อย จึงได้แต่ใช้คำว่า “มีแนวโน้มที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์” แทน ยังไม่สามารถยืนยันได้เพราะยังมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือไม่เพียงพอค่ะ อย่างไรก็ตามสารในกลุ่มนี้ก็ยังมีหลักฐานบ่งชี้เพียงพอว่าก่อมะเร็งได้ในสัตว์ทดลองค่ะ ยกตัวอย่างเช่นซิลิกาที่ใช้ทำซองดูดความชื้นนั่นเองค่ะระดับที่ 2Bเป็นสารที่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ส่วนหนึ่งบ่งชี้ว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะยืนยัน ในกรณีของการก่อมะเร็งในสัตว์ก็มีแต่ยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าสามารถก่อมะเร็งได้เช่นเดียวกันค่ะ ซึ่งเจ้าแอสปาร์แตมเองก็อยู่ในกลุ่มนี้ นั่นทำให้เราสามารถตีความได้ว่า ทางองค์กรอนามัยโลกให้ข้อมูลว่าแอสปาร์แตมอาจจะก่อมะเร็งทั้งในสัตว์และในคน แต่ยังเป็นหลักฐานที่มีจำนวนน่าเชื่อถือไม่เพียงพอ เมื่อคำนวณความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติค่ะระดับที่ 3 เป็นสารที่ยังไม่มีข้อมูลว่าสามารถก่อมะเร็งได้ทั้งในร่างกายมนุษย์เองและร่างกายของสัตว์ค่ะสรุปแล้วแอสปาร์แตมอันตรายแค่ไหนแอสปาร์แตมก่อมะเร็งจริงหรือไม่?โดยความจริงแล้วสารระดับ 2B นั้นสามารถพบได้ในส่วนผสมในของที่เรารับประทานหรือใช้กันในชีวิตประจำวัน🍽️ อย่าง กรดคาเฟอิกในกาแฟ ว่างหางจระเข้ น้ำมันมะพร้าว รวมถึงกิมจิและผักดองอื่นๆด้วย ซึ่งคนไม่ได้ให้ความสำคัญเท่ากับสารทดแทนความหวาน หลักฐานจึงยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าแอสปาร์แตมจะทำให้เราเป็นมะเร็งจริงๆ แม้กระทั่งหลักฐานในสัตว์ทดลองเองก็ยังไม่ได้มีจำนวนมากพอที่จะยืนยันได้ จึงสามารถสรุปได้ว่า ไม่ได้ห้ามบริโภคเป็นอาหาร และไม่ได้หมายความว่าการรับประทานแอสปาร์แตมจะทำให้เกิดมะเร็ง แต่มีความจำเป็นที่จะต้องจำกัดปริมาณในการรับประทานสารให้ความหวานเทียมค่ะ🙌🏻  ยังสามารถรับประทานน้ำอัดลม 0% ได้หรือไม่?ยังสามารถรับประทานได้ค่ะ โดยค่าที่ปลอดภัยในการรับประทานแอสปาร์แตมจะอยู่ที่ไม่เกิน 40 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม👀 หากจะพูดให้เห็นภาพ หากคุณผู้อ่านมีน้ำหนักตัวประมาณ 50 กิโลกรัมนั่นหมายความว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานแอสปาร์แตมได้ในปริมาณที่ปลอดภัยไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ในน้ำอัดลมที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลหนึ่งกระป๋อง มักใส่แอสปาร์แตมไม่เกิน 300 มิลลิกรัม นั่นแปลว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานน้ำอัดลมชนิดนั้นได้ประมาณ 6-7 กระป๋องโดยประมาณเลย ซึ่งนับเป็นปริมาณที่ค่อนข้างเยอะมากต่อวัน หากไม่ได้ติดน้ำอัดลมกลุ่มนี้ เรามักจะกินไม่ถึงปริมาณที่มีความเสี่ยงว่าจะก่อมะเร็งอยู่แล้วค่ะ🫡 ข้อควรระวังสำหรับผู้ปกครอง🍹สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์จากการศึกษาที่ประกาศโดย American Society for Reproductive Medicine ในปี 2559 📑 สารให้ความหวานเทียมในเครื่องดื่ม 0% จะลดความสามารถของผู้หญิงในการปฏิสนธิและส่งผลต่อสุขภาพของเซลล์ไข่ โดยหากบริโภคในระหว่างตั้งครรภ์ ว่ากันว่าอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์และทำให้เด็กเสี่ยงเป็นโรคอ้วนได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มอัดลมที่มีระดับน้ำตาลสูงหากเป็นไปได้นะคะ!🙅🏻‍♀️🍹 แล้วคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังเลี้ยงลูกอยู่ล่ะ?หากคุณมีโรคทางพันธุกรรมที่เรียกว่าฟีนิลคีโตนูเรีย (PKU) ซึ่งไม่สามารถเผาผลาญแอสปาร์แตมได้ ก็ควรจะหลีกเลี่ยงการรับประทานสิ่งที่มีแอสปาร์แตม 🚫 โดยไม่ใช่เพียงคุณแม่และลูกน้อยเท่านั้นที่ควรเลี่ยง แต่ยังรวมถึงแม่ที่วางแผนหรือกำลังตั้งครรภ์ด้วย ในกรณีของทารกแรกเกิด ทารกจะได้รับการทดสอบที่โรงพยาบาลหลังคลอด ดังนั้นหากมีความผิดปกติก็สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนั้นไม่ต้องกังวลจนมากเกินไปนะคะ!แม้ว่ากระทรวงความปลอดภัยด้านอาหารและยาจะได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยของสารให้ความหวาน แต่คุณพ่อคุณแม่บางคนก็ยังคงกังวล ท่ามกลางความขัดแย้งเรื่องแอสปาร์แตม หัวหน้าสำนักโภชนาการและความปลอดภัยด้านอาหารของ WHO แนะนำว่าควรพิจารณา 'การดื่มน้ำแทนเครื่องดื่มที่มีรสหวาน🥛' แทนที่จะมองหาของหวานอื่นทดแทน ลองเลิกนิสัยชอบความหวานและพึ่งพาอาหารแปรรูป แล้วหันมาใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพกันดูนะคะ 💖

Content Image

อาการที่บ่งบอกถึงการตั้งครรภ์ระยะแรก

คุณแม่แต่ละคนอาจมีอาการแตกต่างกันออกไปบางคนอาจไม่มีอาการใด ๆเลย แต่ในบางคนก็มีอาการแพ้ท้องเกิดขึ้น ดังนั้น ในระยะแรกอาจไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดูออกว่าคุณแม่ตั้งครรภ์อยู่หรือไม่ แต่ในทางการแพทย์จะมีลักษะอาการบางอย่างที่เราพอจะสังเกตุได้ มาดูกันว่าคุณมีอาการเหล่านี้บ้างหรือไม่นะคะอาการของคนท้องระยะแรก 1-2 สัปดาห์ 🤰 อาการขาดประจำเดือนประจำเดือนของผู้หญิงจะมาห่างกันประมาณ 28 วัน แต่หากประจำเดือนของคุณไม่มาเกิน 10 วัน 🩸 ก็อาจเป็นสัญญาณบอกได้ว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ แต่การขาดประจำเดือนก็อาจมาจากสาเหตุอื่นได้ 📅 เช่น ร่างกายอ่อนเพลีย การใช้ยาคุม หรือ การมีโรคบางอย่างก็เป็นได้🤰 ตกขาวมามากผิดปกติฮอร์โมนในร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อตั้งครรภ์ และส่งผลให้มีอาการตกขาวมีปริมาณมากขึ้น  หากตกขาวของคุณมีสีขาวขุ่นก็อย่าเพิ่งตกใจไป 🙂 เพราะร่างกายของคุณสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยให้ปากช่องคลอดมีการหล่อลื่นนั่นเอง แต่คุณแม่ควรดูแลรักษาความสะอาดอยู่เสมอเพื่อป้องกันการเกิดเชื้อรา และหากมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ต่างไปจากนี้ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูอาการนะคะ👩‍⚕️ 🤰 อาการเลือดซึมทางช่องคลอดเนื่องจากร่างกายของคุณแม่กำลังปรับตัวให้เข้ากับสภาวะใหม่ที่เกิดจากการปฎิสนธิภายในมดลูก หากคุณแม่พบว่ามีเลือดสีแดงจางๆ🩸ออกเล็กน้อยบริเวณช่องคลอด อาจเป็นสัญญาณของการตั้งครรภ์ก็เป็นได้ โดยเลือดจะหยุดไหลไปเองภายในหนึ่งถึงสองวัน และจะไม่มีอาการปวดเกร็งท้องร่วมด้วย หากเลือดไม่หยุดไหล และมีอาการปวดท้องเกร็ง👩‍⚕️ควรไปพาแพทย์ทันทีนะคะ🤰 พบการเปลี่ยนแปลงของเต้านมคุณอาจพบว่าหัวนมของคุณมีเข้มหรือคล้ำขึ้น รวมถึงเต้านมของคุณอาจขยายขึ้น และมีอาการเจ็บตึงเต้านมด้วย🧐  การเปลี่ยนแปลงนี้จะเห็นชัดในคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ครั้งแรก 🤰 ไวต่อกลิ่นคุณอาจพบว่าจมูกไวต่อกลิ่นมากเป็นพิเศษ โดยจะเรียกว่า Super Smell 👃  เช่น บางคนอาจเห็นกลิ่นยาสีฟันที่ใช้เป็นประจำ หรือบางคนอาจเหม็นกลิ่นตัวของสามี เป็นต้นสัญญาณอื่น ๆ ของการตั้งครรภ์🤰 เวียนหัว ปวดศีรษะคุณอาจพบอาการปวดหัวซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนภายในร่างกายขณะตั้งครรภ์นั่นเอง ซึ่งในสัปดาห์แรกคุณแม่บางคนอาจมีอาการปวดมากหรือน้อย 🥴☹️ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคนนะคะ🤰 การคัดเต้าและเจ็บหัวนมหากคุณรู้สึกคัดบริเวณเต้นนมและเจ็บหัวนม🥺 พร้อมกับเกิดอาการขาดประจำ🩸 ก็อาจเป็นอาการที่บ่งบอกได้ว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ในช่วง 1-2 สัปดาห์ โดยอาการคัดเต้าและเจ็บหัวนมนี้ก็มาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายนั่นเอง เมื่อมีอายุครรภ์มากขึ้น ขนาดของเต้านมจะขยายใหญ่มากขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมผลิตนมให้กับลูกน้อยต่อไป👶🤰 ปวดหลังอาการปวดหลังช่วงล่างอาจเป็นหนึ่งในสัญญาณที่บ่งบอกได้ว่ากำลังตั้งครรภ์ โดยอาจมีอาการร่วมกับการเป็นตะคริว☹️ สาเหตุเกิดจากการขยายของมดลูกส่งผลให้กล้ามเนื้อส่วนกลางมีการขยายด้วย อาการปวดหลังอาจเกิดขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ของคุณแม่🥺  ลองเลือกหมอนสำหรับรองหลังและหมอข้างสำหรับวางขาดูนะคะ🤰 ปัสสาวะบ่อยหากคุณพบว่าช่วงนี้ตัวเองเข้าห้องน้ำ🚻 ปัสสาวะบ่อย ๆ ก็อาจเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ โดยการตั้งครรภ์ในช่วงแรกนั้นร่างกายของคุณแม่จะสร้างของเหลวในร่างกายมากขึ้น อุ้งเชิงกรานของคุณแม่มีเลือดมาไหลเวียนมาขึ้น มดลูกคุณแม่ขยายตัว ส่งผลให้เบียดกระเพาะปัสสาวะอาหาร จึงทำให้คุณแม่เข้าห้องน้ำบ่อยขึ้นนั่นเองคะ 🚽🤰 อยากกินของเปรี้ยว หรือของอื่นๆ คุณอาจอยากกินอาหารที่ต่างออกไปจากเดิมที่เคยกิน.🥘  บางคนอยากกินรสเปรี้ยว หรือ อาหารแปลก ๆ บางคนอาจมีอาการเบื่ออาหาร และไม่อยากกินอะไรเลย โดยมีสาเกตุจากการรับรู้รสชาติของคุณแม่เปลี่ยนแปลงไปจากการที่ระดับฮอร์โมนเพิ่มขึ้นนั่นเอง  

Content Image

ทำไมโฟลิกจึงมีความจำเป็น? ต้องทานเท่าไหร่?

คุณแม่หลายๆท่านทั้งรวมทั้งคุณผู้อ่านคงเคยได้ยินมาว่า กรดโฟลิกเป็นหนึ่งในสารอาหารที่คุณแม่ที่กำลังจะมีเจ้าตัวน้อยควรรับประทาน แต่จริงๆแล้วกรดโฟลิกสามารถกินได้เพียงในขณะอุ้มท้องหรือไม่ มีปริมาณที่เหมาะสมหรือไม่ กินมากไปเป็นอันตรายหรือเปล่า บทความนี้มีคำตอบให้คุณผู้อ่านอย่างแน่นอน แต่ก่อนอื่นเราไปทำความรู้จักกับกรดโฟลิกกันก่อนค่ะทำไมคุณแม่ถึงต้องทานกรดโฟลิกกรดโฟลิกคืออะไรขึ้นชื่อว่ากรดแต่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด กรดโฟลิกเป็นสารอาหารประเภทหนึ่ง (วิตามินบี 9 ชนิดหนึ่ง) บางท่านอาจเคยได้ยินอีกชื่อ คือ โฟเลต ให้รับรู้ไว้ว่าล้วนเป็นสารอาหารตัวเดียวกัน โฟลิกเป็นสารอาหารที่สามารถพบได้ตามอาหารจากธรรมชาติที่หารับประทานได้ไม่ยากเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ไข่แดง🥚 ตับ ผักใบเขียว ผักสีส้ม และผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวเป็นส่วนใหญ่ค่ะประโยชน์ของโฟลิกกรดโฟลิกมีส่วนช่วยในเรื่องของการเจริญเติบโตของเจ้าตัวน้อยในท้องคุณแม่เป็นหลัก ช่วยตั้งแต่ในระยะแรกที่เกิดการแบ่งเซลล์ของตัวอ่อนในครรภ์ การพัฒนาระบบประสาท สมอง และไขสันหลัง ช่วยในเรื่องของการสร้างเม็ดเลือดแดง🩸ให้แข็งแรง และยังช่วยเสริมสร้างการสร้างเม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญในระบบภูมิคุ้มกันของเจ้าตัวน้อยอีกด้วย แต่ก็มีข้อควรระวังเช่นกันค่ะ หากคุณแม่รับประทานกรดโฟลิกมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาโลหิตจางทั้งกับตนเองและกับเจ้าตัวน้อยในครรภ์ได้ค่ะรับประทานแค่ไหนจึงจะพอดี?อันที่จริงแล้วกรดโฟลิกสามารถรับประทานได้ตั้งแต่ช่วงเตรียมตัวจะตั้งครรภ์ซึ่งก็คือก่อนตั้งครรภ์จะดีที่สุดค่ะ และควรรับประทานต่อไปในปริมาณที่เหมาะสมจนกว่าจะคลอดบุตรเลย สำหรับช่วงก่อนตั้งครรภ์แนะนำว่าควรได้รับโฟลิกไม่น้อยกว่า 0.5 มิลลิกรัมต่อวัน หากตั้งครรภ์แล้วให้เพิ่มปริมาณเป็น 0.8 มิลลิกรัมต่อวัน และไม่ควรรับประทานเกิน 1 มิลลิกรัมต่อวัน💊 จะเห็นว่าไม่ใช่ปริมาณที่เยอะเลยใช่ไหมคะ เพียงแค่คุณผู้อ่านกินอาหารที่อุดมไปด้วยกรดโฟลิกตามที่ยกตัวอย่างข้างต้น ก็มีแนวโน้มว่าจะได้รับกรดโฟลิกตามเกณฑ์อยู่แล้ว แต่หากไม่มั่นใจก็สามารถรับประทานโฟลิกในรูปแบบของอาหารเสริมได้ค่ะหากรับประทานโฟลิกไม่พอ จะเกิดอะไรขึ้น ?การขาดกรดโฟลิกจะส่งผลอย่างชัดเจนในคุณแม่ที่กำลังมีเจ้าตัวน้อยค่ะ👶 เด็กในท้องอาจมีปัญหาเกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการเจริญที่ไม่เต็มที่ของระบบประสาทและสมอง กะโหลกศีรษะไม่ปิดจนผิดปกติ มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ ไขมันสูง ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน        จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ความเสี่ยงจากการขาดกรดโฟลิกค่อนข้างน่ากลัวเลยใช่ไหมคะ ดังนั้นการควบคุมเรื่องสารอาหารที่คุณแม่หรือกระทั่งคุณผู้หญิงที่วางแผนจะมีเจ้าตัวน้อยจึงสำคัญมาก หากไม่มั่นใจว่าสามารถทำได้เอง แนะนำให้ขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านของการตั้งครรภ์ รวมไปถึงนักโภชนาการที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้ได้รับความรู้ในด้านการกินอาหาร และได้รับสารอาหารที่เพียงพอ เป็นประโยชน์กับทั้งลูกน้อยและตัวของคุณแม่เองค่ะ

👉 List บทความเตรียมตัวตั้งครรภ์

Content Image

ความสำคัญของธาตุเหล็กกับคุณแม่ตั้งครรภ์

       ค่อนข้างเชื่อว่าธาตุเหล็กเป็นสารอาหารที่คุณผู้อ่านหลายท่านคงเคยผ่านหูผ่านตา หรือรู้จักกับธาตุเหล็กมาบ้าง แต่คุณผู้อ่านทราบไหมคะ ว่าธาตุเหล็กเองสำคัญกับคุณแม่ที่วางแผนจะตั้งครรภ์หรือกำลังตั้งครรภ์อยู่มากกว่าที่คิด บทความนี้จะพาคุณผู้อ่านไปทำความรู้จักกับธาตุเหล็กให้ดีขึ้นกันค่ะธาตุเหล็กสำคัญต่อคุณแม่อย่างไรหน้าที่หลักอย่างหนึ่งของธาตุเหล็ก คือเป็นองค์ประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีใช่ไหมคะ ว่าเม็ดเลือดแดงมีหน้าที่ขนส่งแก๊สออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ🔬 ซึ่งเป็นหน่วยย่อยของร่างกายพวกเราทุกคน ในขณะเดียวกันก็ขนส่งของเสียออกมาจากเซลล์เหล่านั้นเพื่อนำไปผ่านขั้นตอนการจัดการอย่างเหมาะสมอีกด้วย สำหรับร่างกายของคุณแม่ที่กำลังครรภ์ แม้ว่าคุณแม่จะไม่ต้องเสียเลือด🩸จากการมีประจำเดือนเหมือนแต่ก่อน แต่ร่างกายของคุณแม่จะมีการผลิตเลือดเพิ่มขึ้นได้กว่าครึ่ง เนื่องจากมีเจ้าตัวน้อยในครรภ์ที่ต้องการออกซิเจนและสารอาหารเช่นเดียวกันค่ะหากคุณแม่ได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอ จะเกิดอะไรขึ้นโดยปกติแล้ว สำหรับคุณแม่ที่กำลังมีเจ้าตัวน้อย ควรได้รับธาตุเหล็กไม่ต่ำไปกว่า 27 มิลลิกรัมต่อวัน แต่สำหรับคุณแม่ที่มีภาวะเลือดจาง🩸 อาจต้องการธาตุเหล็กสูงถึง 40-60 มิลลิกรัมต่อวัน (กรณีนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาปริมาณที่ควรได้รับที่แน่นอนค่ะ) หากคุณแม่ได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอ ก็จะทำให้คุณแม่มีภาวะเลือดจาง ซึ่งส่งผลเสียต่อทั้งตัวทารกและคุณแม่เองโดยตรง เพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนด ทารกมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ หรืออาจะทำให้ทารกมีปัญหาเกี่ยวกับการเจริญเติบโตหลังคลอด🤰ได้ค่ะแนะนำอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กในส่วนของอาหารจำพวกเนื้อสัตว์แนะนำเป็นเนื้อปลาซาดีนสดที่นำมาผ่านการปรุงสุก หรือกระป๋อง🥫ก็ได้ค่ะ คุณแม่ยังสามารถรับประทานเนื้อวัวและเนื้อไก่ได้ อีกทั้งไข่ไก่ก็มีธาตุเหล็กสูงเช่นเดียวกันค่ะในส่วนของอาหารจำพวกพืชแนะนำเป็นผักใบเขียวอย่างผักโขม และธัญพืชประเภทถั่วแดง นอกจากนี้เต้าหู้ และซีเรียลก็เป็นอาหารที่มีธาตุเหล็กค่อนข้างสูงเช่นเดียวกันค่ะ🍽️    มาถึงตรงนี้ คุณผู้อ่านคงได้ทราบและตระหนักถึงความสำคัญของธาตุเหล็ก ต่อคุณแม่ที่กำลังมีเจ้าตัวน้อยกันแล้วใช่ไหมคะ จะเห็นได้ว่าการรับประทานอาหารต่างๆที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กนั้นสำคัญมาก อีกทั้งอาหารเหล่านี้ก็ล้วนเป็นเมนูอาหารที่ไม่ได้หายากเลย เชื่อว่าคุณแม่สามารถหารับประทานได้แน่นอนค่ะ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อเจ้าตั้วน้อยในครรภ์และร่างกายเราเองค่ะ

Content Image

ความเสี่ยงจากการตั้งครรภ์เมื่ออายุมาก

     ในสมัยก่อนเรามักจะเห็นคนเป็นคุณแม่กันตั้งแต่อายุ 20 กว่าๆ ก็มีลูกกันแล้ว🤰 ผิดกับสมัยนี้ที่เรามักจะเห็นคนเป็นคุณแม่กันตอนอายุมากขึ้น อายุราว 30 ปลายๆ หรือบางรายก็ตั้งครรภ์ตอนอายุใกล้จะ 40 เพราะผู้หญิงสมัยใหม่แต่งงานช้าลง ต้องการโฟกัสในเรื่องงาน ความมั่นคงในชีวิตก่อน จึงทำให้เด็กที่เกิดจากคุณแม่ที่มีอายุมากนั้นมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางพันธุกรรมได้เพิ่มขึ้น ดังนั้นวันนี้ทางเราได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการท้องตอนอายุมากมาให้คุณแม่ทราบพร้อมๆกันแล้วค่ะ💁‍♀️ ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณแม่ตั้งครรภ์และลูกเมื่อท้องตอนอายุมาก👉สำหรับตัวคุณแม่ หากท้องตอนอายุมาก มีโอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์🤰 เบาหวานขณะตั้งครรภ์ เพิ่มขึ้นกว่าคนที่ตั้งครรภ์กันตอนอายุยังน้อย  ซึ่งพบว่าคนท้องที่มีอายุมากกว่า 35 ปี จะเกิดโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์ได้สูงกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่าเมื่อเทียบกับคนอายุ 20 ปี 👉สำหรับทารกในครรภ์อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดดาวน์ซินโดรม เนื่องจากดาวน์ซินโดรมมีความสัมพันธ์กับอายุของคุณแม่ที่มากขึ้น ยิ่งคุณแม่มีอายุมากขึ้นเท่าไหร่ ลูกจะมีโอกาสเสี่ยงมากขึ้นเท่านั้น สำหรับคุณแม่ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป (นับอายุถึงวันคลอด) ควรได้รับการตรวจคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม ซึ่งสามารถทำได้โดยการตรวจเลือดเมื่ออายุครรภ์ 10 สัปดาห์ขึ้นไป หรือการตรวจน้ำคร่ำโดยจะทำในช่วงที่อายุครรภ์ประมาณ 15-18 สัปดาห์ เพื่อเป็นการตรวจดูว่าเด็กมีกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรมหรือมีความผิดปกติทางโครโมโซมอื่นๆหรือไม่🧬 หากพบว่าเด็กมีอาการดาวน์ซินโดรมคุณแม่สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้👉เสี่ยงได้รับโรคทางพันธุกรรมอื่นๆ นอกจากกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรมที่มีโอกาสเสี่ยงเป็นเพิ่มมากขึ้นผันตามอายุของคุณแม่แล้ว ยังมีโรคทางพันธุกรรมอย่างธาลัสซีเมีย ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถถ่ายทอดไปยังลูกได้ ที่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด🙅‍♀️ ตามสถิติพบว่า 1 ใน 3 ของคนไทย มีภาวะแฝงของโรคธาลัสซีเมีย ซึ่งถ้าผู้ที่มีภาวะแฝงแต่งงานกับผู้ที่มีภาวะแฝงด้วยกัน ลูกที่เกิดมาจะมีโอกาสเป็นโรค 25% เป็นพาหะ 50% ปกติ 25% การตรวจสุขภาพก่อนแต่งงานจึงถือเป็นตัวช่วยวางแผนรับมือให้กับคนที่กำลังจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ในอนาคต ความสำคัญของการตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน🩺การตรวจสุขภาพจะเป็นการเช็คความพร้อมและความสมบูรณ์ของร่างกายคู่ที่กำลังจะแต่งงานส่วนใหญ่คงวุ่นวายไปกับเรื่องของชำร่วย สถานที่ เสื้อผ้าหน้าผม จนอาจมองข้ามเรื่องสุขภาพของคนทั้งสองไป และหลายคนอาจคิดว่าไม่จำเป็น แต่จริงๆ แล้วการตรวจสุขภาพก่อนแต่งงานเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเชื้อโรค🦠หรือพาหะต่างๆ ที่แฝงอยู่ในร่างกายคนเรานั้นมีมากมาย ดังนั้นการตรวจสุขภาพจะทำให้สามารถป้องกันโรคที่สามารถติดต่อกันได้จากคู่สมรสและป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ลูกน้อย👶ที่จะถือกำเนิดขึ้นมาในอนาคต ซึ่งมีพ่อแม่บางคนอาจจะเป็นพาหะนำโรคอยู่โดยที่ไม่รู้ตัว     สรุปได้ว่าการตั้งครรภ์เมื่ออายุมากนั้นก็อาจทำให้ทารกในครรภ์มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคทางพันธุกรรมและโรคอื่นๆได้เช่นกัน ดังนั้นการตรวจสุขภาพก่อนแต่งงานจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก ซึ่งประกอบด้วย การตรวจเลือด🩸ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง การตรวจร่างกายโดยแพทย์ทั่วไป และในฝ่ายหญิงอาจต้องตรวจภายในเพิ่ม เพื่อตรวจมะเร็งปากมดลูก อัลตราซาวด์ช่องท้องส่วนล่างเพื่อประเมินมดลูกและปีกมดลูกตามแต่แพทย์จะเห็นสมควรค่ะ

Content Image

ตรวจครรภ์อย่างไรจึงจะได้ผลแม่นที่สุด?

การทำการทดสอบการตรวจครรภ์เป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายตั้งตารอ และคาดหวังผลอย่างมาก ซึ่งหลายๆคนอาจเคยได้ยินมาว่าการตรวจครรภ์ในตอนเช้านั้นจะเป็นช่วงเวลาที่ดีและแม่นที่สุด ซึ่งในวันนี้เราจะมาหาคำตอบกันว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ และเราจะสามารถตรวจครรภ์ตอนเย็นได้หรือเปล่า ไปดูกันเลยค่ะ ความแม่นยำของชุดทดสอบการตั้งครรภ์ความแม่นยำของชุดตรวจครรภ์หากดูจากคู่มือคำแนะนำในกล่องชุดตรวจการตั้งครรภ์🤰 คุณพ่อคุณแม่จะพบว่าส่วนใหญ่ชุดตรวจครรภ์จะมีการรับรองว่าผลแม่นยำถึง 99 เปอร์เซ็นต์ เมื่อตรวจในวันที่ประจำเดือนของคุณแม่ขาด แต่จะไม่รับรองหากใช้หลังจากการมีสัมพันธ์ในทันที วิธีการตรวจคือ หากคุณแม่คาดว่าประจำเดือน🩸จะมาได้วันที่ 19 คุณแม่ควรรอให้ถึงวันที่ 20 และตรวจในตอนเช้า ซึ่งความแม่นยำของชุดตรวจครรภ์นั้นจะขึ้น อยู่กับ...ระยะเวลาของการตกไข่🥚ระยะเวลาที่คุณแม่ทำการทดสอบช่วงเวลาที่คุณแม่ใช้ทดสอบ เช้า หรือ เย็น🕠รวมถึงคุณแม่ได้ทำตามคำแนะนำอย่างถูกต้องหรือไม่ตรวจตอนไหนดีที่สุด? ตรวจหลังมีเพศสัมพันธ์ได้ไหม?ตรวจหลังมีเพศสัมพันธ์ได้ไหม?เราเข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่ใจร้อนอยากได้รับข่าวดีให้ไว แต่การทดสอบหลังมีเพศสัมพันธ์เพียงไม่กี่วันไม่ใช่สิ่งที่แนะนำ ทางที่ดีควรจะรอให้เลยช่วงเวลาที่ประจำเดือนของคุณแม่มักจะมาประจำไปประมาณ 1 อาทิตย์📅เพื่อให้ตรวจได้แม่นยำที่สุด โดยหากคุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถอดทนรอจนถึงวันนั้นได้หลังมีเพศสัมพันธ์ให้รอประมาณ 1-2 อาทิตย์จึงจะทำการตรวจค่ะ ซึ่งผลอาจจะไม่ได้ชัดเจนนะคะ ตรวจครรภ์ตอนเย็นได้หรือไม่? หากคุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถรอได้การตรวจตอนเย็น🕠 หรือตอนกลางคืนก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ว่าความแม่นยำอาจจะน้อยกว่าตอนเช้าเล็กน้อยค่ะ เนื่องจากในตอนเช้าปัสสาวะ🚻ของคุณแม่จะมีความเข้มข้นมากกว่า โดยจะถูกสะสมไว้ระหว่างที่คุณแม่นอนหลับ ซึ่งหากพบว่าผลตรวจในตอนกลางคืนเป็นลบแล้วก็สามารถลองตรวจใหม่ในตอนเช้าได้นะคะ ตรวจครรภ์ช่วงไหนจึงจะแม่นที่สุด?หากคุณแม่ต้องการให้ได้ผลที่แม่นยำและถูกต้องแล้วล่ะก็ ให้ลองทำตามนี้ค่ะ เลือกช่วงเวลาตรวจในตอนเช้า🌞การตรวจครรภ์นั้นจะแม่นที่สุดในตอนเช้า เพราะเมื่อคุณแม่ไม่ได้เข้าห้องน้ำหรือดื่มน้ำบ่อยๆในตอนกลางคืนก็จะส่งผลให้ระดับฮอร์โมนในปัสสาวะเข้มข้นและทำให้ผลการตั้งครรภ์ออกมาแม่นกว่านั่นเองค่ะให้ตรวจหลังรอบประจำเดือนขาด🩸 เพื่อให้การทดสอบการตั้งครรภ์โดยใช้ปัสสาวะแม่นยำที่สุด คุณแม่ควรให้ประจำเดือนมาล่าช้าไปแล้วเริ่มตรวจไปหลังล่าช้าไปอีก 1 สัปดาก์ ทั้งนี้เพื่อให้มีระดับฮอร์โมนสูงพอที่จะตรวจพบว่าคุณแม่กำลังตั้งครรภ์หรือไม่มีอาการของการตั้งครรภ์👃ถ้าคุณแม่มีอาการแพ้ท้อง หรือ มีสัญญาณต่างๆ เช่น มีอาการคลื่นไส้เล็กน้อยตอนเช้า ปัสสาวะบ่อย เจ็บหน้าอก เมื่อยล้า เป็นตะคริว มีความอยากอาหารบางอย่างและเหม็นอาหารบางอย่าง จมูกไวต่อกลิ่น อารมณ์แปรปรวน ปวดหัว ก็ควรลองตรวจดูค่ะ โดยหากลองใช้วิธีที่กล่าวมาทั้งหมดแล้วยังไม่พบผลที่คาดหวังให้รออีก 2-3 แล้วลองตรวจอีกครั้งค่ะ 

Content Image

พฤติกรรมเหล่านี้ มีบุตรยาก!

เชื่อว่าคุณผู้อ่านส่วนใหญ่ที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่นั้น เป็นท่านที่ต้องการที่จะมีเจ้าตัวน้อย แต่คุณผู้อ่านมั่นใจหรือไม่คะ ว่าตนเองใช้ชีวิตเพื่อเตรียมตัวที่จะเป็นคุณพ่อและคุณแม่อย่างเหมาะสมแล้ว มีโอกาสทำในสิ่งที่ไม่ดีต่อการเตรียมตัวมีเจ้าตัวน้อยหรือเปล่า บทความนี้จะช่วยให้คุณผู้อ่านได้สังเกตและประเมินไลฟ์สไตล์ของตนเองค่ะพฤติกรรมเหล่านี้ มีบุตรยาก!ไม่ควบคุมน้ำหนักเป็นที่ทราบกันดีว่า การไม่ควบคุมน้ำหนักนั้น ทำให้ร่างกายของคุณผู้อ่านนั้นมีน้ำหนักที่ต่ำกว่าเกณฑ์หรือสูงกว่าเกณฑ์ที่เหมาะสม และเราต่างรู้กันว่าหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้คุมอาหารไม่ได้ก็คือการรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ หรืออาจเป็นอาหาร🍲ที่มีประโยชน์แต่กินในปริมาณที่ไม่เหมาะสม อีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยในการควบคุมน้ำหนักคือการออกกำลังกายที่เหมาะสมและสม่ำเสมอ การออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงเพียงไม่กี่วัน และไม่ได้ทำเป็นประจำนั้นไม่มีประโยชน์อะไร ซ้ำร้ายยังอาจสร้างความบาดเจ็บให้ร่างกายได้อีกด้วยค่ะอารมณ์ไม่ดีบ่อยๆคำว่าอารมณ์ไม่ดีในที่นี้มีหลากหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์เครียด วิตกกังวล เศร้า โมโห😡 เบื่อหน่าย แน่นอนว่าอารมณ์เหล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากสิ่งเร้าภายนอก แต่ก็เป็นผลจากฮอร์โมนภายในร่างกายด้วยเช่นกัน นอกจากฮอร์โมนในร่างกายจะส่งผลให้เกิดอารมณดังกล่าวแล้ว อารมณ์ต่างๆตามที่กล่าวไปก็ส่งผลให้ฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติด้วยเช่นกัน เป็นวงจรที่กระทบกันเรื่อยๆ ซึ่งการที่ฮอร์โมนในร่างกายขาดสมดุล ก็จะส่งผลให้ทั้งคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายมีเจ้าตัวน้อยยากขึ้นด้วยเช่นกันพฤติกรรมเหล่านี้ มีบุตรยาก!ใช้สารเสพติดสารเสพติดในที่นี้หมายถึงทั้งสารเสพติดที่ถูกกฏหมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ กัญชา และสารเสพติดที่ผิดกฎหมาย รวมไปถึงคาเฟอีนด้วย แม้ว่าคาเฟอีนจากกาแฟ☕จะไม่ถูกบัญญัติว่าเป็นสารเสพติดก็ตาม แต่หากผู้ดื่มต้องดื่มเป็นประจำ ดื่มในปริมาณหรือความเข้มข้นมากๆต่อวัน และไม่สามรถดื่มง่ายๆ ก็ไม่ต่างจากการใช้สิ่งที่ถูกบัญญัติว่าเป็นสารเสพติด เนื่องจากการใชเสารเหล่านี้ส่งผลต่ออารมณ์และฮอร์โมนในร่างกายของผู้อุปโภคบริโภคโดยตรง จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้มีบุตรยากค่ะการได้รับสารเคมีที่มากไปสารเคมีที่มาจากการสังเคราะห์หรือมาจากธรรมชาติก็ตาม หากได้รับในปริมาณที่มากเกินไป ล้วนเป็นผลแย่ต่อร่างกายของเราทุกคนค่ะ ในปัจจุบัน ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าการใช้สารต่างๆตอบตัวทำให้เราใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น แต่หากสารเหล่านั้นสะสมในร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นระยะเวลานานๆ ก็อาจก่อโรคในร่างกายของผู้รับได้ ถึงแม้จะไม่ก่อโรคในผู้รับสารเคมีโดยตรง แต่หากวางแผนจะมีลูก👶 สารเคมีเหล่านั้นสามารถส่งผลเสียต่อเจ้าตัวน้อยได้มากกว่าที่คุณคิดค่ะสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นล้วนเป็นสิ่งที่เราทุกคน ทั้งคนที่วางแผนจะมีลูกหรือไม่ได้วางแผนก็ตาม ควรตระหนักและหลีกเลี่ยง แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกมองข้ามได้ง่ายเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น เรามาพยายามสังเกตและประเมินตนเอง ให้หลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆตามหัวข้อที่กล่าวมาข้างต้นไปด้วยกันนะคะ

Content Image

รวมเทคโนโลยีผสมเทียมในปัจจุบัน

             คุณผู้หญิงและคุณผู้ชายหลายท่านอาจเคยผ่านหูผ่านตามาบ้างกับคำว่า “ภาวะมีบุตรยาก” หรือบางท่านอาจกำลังประสบอยู่ แต่นอกจากวิธีการรักษาภาวะมีบุตรยากแล้ว หากดูจากความหมายของคำ การที่เรามีบุตรยากก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีไม่ได้เลยใช่ไหมคะ ดังนั้นผู้ที่ต้องประสบกับภาวะมีบุตรยากก็อาจยังไม่จำเป็นต้องรอรักษาจนสำเร็จจึงจะมีบุตรได้ เพราะเทคโนโลยีทางการแพทย์สามารถช่วยอำนวยความสะดวกให้ทุกท่านได้ค่ะ วันนี้บทความของเราได้นำ 6 เทคโนโลยีทางการแพทย์มานำเสนอต่อคุณผู้อ่านแบบเข้าใจง่ายๆ จะมีวิธีอะไรบ้างนั้นเราไปดูกันเลยค่ะเทคโนโลยีผสมเทียมในปัจจุบันIntrauterine Insemination (IUI)เป็นการฉีดน้ำเชื้อจากคุณผู้ชายเข้าไปในโพรงมดลูกของคุณผู้หญิงในวันที่ไข่ตกพอดี เพื่อความแน่ใจว่าจะทำให้ตัวอสุจิของคุณผู้ชายและไข่ของคุณผู้หญิงสามารถผสมกันได้ แพทย์ก็จะทำการคัดเลือกตัวอสุจิที่มีคุณภาพดี แข็งแรง วิ่งเร็ว🏃‍♀️ และเพื่อยืนยันว่าจะฉีดเข้าโพรงมดลูกของคุณผู้หญิงถูกวันจริงๆ แพทย์ก็จะฉีดฮอร์โมนจากภายนอกเข้าไปช่วยกระตุ้นให้คุณผู้หญิงตกไข่ ทำให้สามารถระบุวันตกไข่ที่แน่นอนได้ วิธีนี้เหมาะกับคุณผู้หญิงที่มดลูกแห้ง หรืออาจไม่สามารถตกไข่ตามธรรมชาติได้เนื่องจากความผิดปกติของฮอร์โมน และเหมาะกับคุณผู้ชาย👨ที่ประสบปัญหาการมีอสุจิในปริมาณน้อยค่ะGamete IntraFollopain Transfer (GIFT)วิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างแพร่หลายและอาจเคยผ่านหูผ่านตาคุณผู้อ่านมามากที่สุด ซึ่งก็คือการทำกิฟท์นั่นเอง แพทย์👩‍⚕️จะทำการเก็บตัวอสุจิจากคุณพ่อและไข่จากคุณแม่ จากนั้นจึงฉีดกลับเข้าไปที่ท่อนำไข่ของคุณแม่แบบยังไม่ผสม แต่จะรอให้เจ้าตัวอสุจิวิ่งเข้าไปผสมกับไข่ด้วยตนเอง วิธีนี้เหมาะสำหรับคุณผู้หญิง👩ที่มีภาวะความผิดปกติของเยื่อบุโพรงมดลูก หรือมีพังผืดในช่องคลอด แต่คุณผู้หญิงต้องมีท่อนำไข่ที่พร้อมใช้งานปกติอย่างน้อย 1 ข้าง และคุณผู้ชายต้องมีตัวอสุจิที่แข็งแรง หรืออย่างน้อยที่สุดต้องไม่อ่อนแอในระดับที่ทำงานหรือเคลื่อนที่ด้วยตนเองไม่ได้ค่ะเทคโนโลยีผสมเทียมในปัจจุบันZygote IntraFollopain Transfer (ZIFT)วิธีนี้มักถูกจดจำและถูกเข้าใจสลับกับการทำกิ๊ฟท์ เนื่องจากมีชื่อย่อที่คล้ายกัน อันที่จริงแล้ววิธีการทำก็คล้ายกันค่ะ แต่ต่างกันตรงที่แพทย์จะนำอสุจิของคุณผู้ชายและไข่🥚ของคุณผู้หญิง มาผสมกันภายนอกร่างกายของคุณผู้หญิงก่อน แล้วจึงฉีดกลับเข้าไปในท่อนำไข่ของคุณผู้หญิง ในขณะที่การทำกิ๊ฟท์ต้องผสมภายในร่างกายของคุณผู้หญิงเลย และเช่นเดียวกับการทำกิ๊ฟท์ คุณผู้หญิงต้องมีท่อนำไข่ที่ไม่ตันอย่างน้อย 1 ข้าง จะผิดปกติก็ได้แต่ต้องไม่อุดตัน และเหมาะกับคุณผู้ชายที่มีปัญหาตัวอสุจิมีปริมาณน้อยด้วยค่ะ👌InVitro Fertilization and Embryo Transfer (IVF & ET)คุณผู้อ่านอาจไม่คุ้นชินกับชื่อของวิธีนี้มากนัก แต่หากเรียกว่าการทำเด็กหลอดแก้ว🧪แทนก็น่าจะคุ้นเคยกันใช่ไหมคะ วิธีนี้เริ่มต้นด้วยการที่แพทย์จะนำไข่ของคุณผู้หญิงตั้งแต่ 10-20 ใบ ออกมาผสมกับอสุจิของคุณผู้ชายในภาชนะทางการแพทย์ในห้องปฏิบัติการ🥼 แต่ยังคงเป็นการรอ และการปล่อยให้อสุจิวิ่งเข้าไปผสมกับไข่ด้วยตนเอง หากเกิดการปฏิสนธิได้สำเร็จก็จะสามารถยืนยันและทราบได้ทันทีค่ะ จากนั้นจึงฉีดตัวอ่อนหลังการปฎิสนธิกลับเข้าไปในมดลูกของคุณผู้หญิงค่ะ วิธีนี้จะเหมาะกับคุณผู้หญิงที่ท่อนำไข่อุดตันทั้ง 2 ข้าง หรือมีพังผืดในอุ้งเชิงกรานค่ะ และจะเหมาะกับคุณผู้ชายที่มีตัวอสุจิไม่แข็งแรงค่ะเทคโนโลยีผสมเทียมในปัจจุบันIntraCytoplasmic Sperm Injection (ICSI)วิธีนี้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายพอๆกับวิธีการทำเด็กหลอดแก้ว และมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นวิธีเดียวกับการทำเด็กหลอดแก้ว เพราะมีขั้นตอนที่คล้ายกันมากค่ะ การทำอิ๊คซี่เริ่มต้นจากแพทย์จะนำไข่🥚 ของคุณแม่มาผสมกับตัวอสุจิของคุณพ่อภายนอกร่างกายของคุณแม่เช่นเดียวกับการทำกิ๊ฟท์เลยค่ะ แต่สำหรับการทำอิ๊คซี่ แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กดูดเจ้าตัวอสุจิขึ้นมา 1 ตัว แล้วเจาะเข้าไปในไข่ เพื่อให้อสุจิผสมกับไข่ได้โดยตรง ไม่ได้ปล่อยให้วิ่งไปผสมเองแบบการทำกิ๊ฟท์ วิธีนี้เหมาะกับคุณผู้หญิงที่มีความผิดปกติของรังไข่หรือการตกไข่ และเหมาะกับคุณผู้ชายที่มีเจ้าตัวอสุจิไม่แข็งแรง ไม่สามารถวิ่ง🏃‍♀️เข้าไปผสมกับไข่ของคุณผู้หญิงด้วยตนเองได้ค่ะBlastocyst Cultureวิธีนี้อาจเป็นวิธีที่คุณผู้อ่านไม่คุ้นเคยมากที่สุด เริ่มจากการที่แพทย์จะนำไข่ของคุณผู้หญิงและตัวอสุจิของคุณผู้ชายออกมาผสมกันภายนอกร่างกายของคุณผู้หญิง เมื่อผสมเสร็จจะยังไม่ฉีดกลับเข้าไปในร่างกายของคุณผู้หญิงโดยทันที แต่จะทำการเลี้ยงตัวอ่อนภายในห้องปฎิบัติการ🥼 ก่อน จนรอให้ตัวอ่อนเจริญเติบโตในระดับหนึ่ง (ใช้เวลาประมาณ 5 วัน) แล้วจึงฉีดกลับเข้าไปฝังตัวในโพรงมดลูกของคุณแม่ค่ะ วิธีนี้จะเหมาะกับคุณผู้หญิงที่มีไข่ไม่สมบูรณ์แข็งแรงค่ะ         จบกันไปแล้วนะคะ สำหรับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่จะช่วยให้คุณผู้หญิงและคุณผู้ชายที่มีภาวะมีบุตรยากสามารถมีบุตรได้ แน่นอนค่ะว่าวงการแพทย์และวงการวิจัยก็กำลังศึกษา พัฒนา และต่อยอดวิธีใหม่ๆ โดยอาศัยองค์ความรู้จากวิธีเหล่านี้อยู่เรื่อยๆ ทำให้ในอนาคตเราจะมีทางเลือกที่หลากหลายมากกว่านี้อีกค่ะ เพราะฉะนั้น ถึงแม้ท่านอาจกำลังประสบภาวะมีบุตรยาก แต่ก็อย่าหมดความหวังกันนะคะ    

Content Image

แนะนำวิตามินและอาหารเสริมคนอยากมีลูก

      คุณผู้อ่านท่านใดที่กำลังมองหาถึงวิธีการเตรียมตัวในการมีเจ้าตัวน้อยในอนาคต ทราบหรือไม่คะว่า เรื่องอาหารการกินก็เป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่สำคัญไม่แพ้เรื่องอื่นๆเลย ปกติแล้วเราหลายๆคนอาจไม่ได้คำนึงถึงสารอาหารที่เราได้รับในแต่ละวัน ว่าเพียงพอหรืออยู่ในปริมาณที่เหมาะสมหรือไม่ใช่ไหมคะ แต่สำหรับคุณผู้หญิงที่วางแผนจะมีเจ้าตัวน้อยในอนาคต ปริมาณและชนิดของสารอาหารที่ได้รับแต่ละวันนั้นสำคัญมากค่ะ โดยสารอาหารประเภทไหนสำคัญอย่างไรบ้าง เราไปดูกันเลยค่ะอาหารตามแหล่งธรรมชาติที่คุณผู้หญิงควรรับประทาน🥩อาหารในกลุ่มเนื้อสัตว์เป็นที่ทราบกันดีว่าหากพูดถึงเนื้อสัตว์ เราก็มักจะนึกถึงสารอาหารประเภทโปรตีน แต่คุณผู้อ่านทราบไหมคะว่าเนื้อแต่ละชนิดก็มีแร่ธาตุเป็นองค์ประกอบที่โดดเด่นไม่เหมือนกัน สำหรับเนื้อสัตว์ที่น่าสนใจจะเป็นเนื้อของหอยนางรม ที่เต็มด้วยแร่ธาตุจำพวกสังกะสีหรือที่เรียกว่าซิงค์นั่นเองค่ะ และเชื่อกันว่าจะช่วยส่งเสริมการตั้งครรภ์ได้หากรับประมาณช่วง 1 สัปดาห์ก่อนไข่ตกค่ะ เนื้ออีกชนิดคือเนื้อแซลมอนค่ะ เนื่องจากอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างฮอร์โมนหลายๆชนิดในร่างกายค่ะ🥬อาหารในกลุ่มผักเริ่มจากผักใบเขียวที่ค่อนข้างหาได้ง่าย นั่นก็คือผักโขมนั่นเองค่ะ นอกจากจะอุดมไปด้วยกากใยอาหารแล้ว ยังเป็นผักที่มีสารอาหารประเภทโฟเลตสูง มีส่วนช่วยในการกระตุ้นการตั้งครรภ์ ลำดับต่อไปจะเป็นอะโวคาโดที่อุดมไปด้วยไขมันพืชที่ดีค่ะ ต่อมาจะเป็นหน่อไม้ฝรั่งที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 3 ที่ช่วยส่งเสริมระบบไหลเวียนเลือดค่ะ ปิดท้ายด้วยเมล็ดฟักทองที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ที่ส่งเสริมการทำงานของระบบไหลเวียนเลือดเช่นเดียวกันค่ะ🫐อาหารในกลุ่มผลไม้อย่างแรกที่แนะนำจะเป็นกล้วยหอมค่ะ นอกจากจะมีสารอาหารหลักคือคาร์โบไฮเดรตประเภทที่ย่อยและดูดซึมค่อนข้างง่ายแล้ว ยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียมและวิตามินบี 6 ที่เสริมสร้างระบบประสาทและระบบกล้ามเนื้อค่ะ ต่อมาจะเป็นผลไม้ในตระกูลเบอรี่ค่ะ เพราะเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นในเซลล์ร่างกายของเราค่ะ🥛เครื่องดื่มที่ควรดื่มเป็นประจำจะแนะนำเป็นนมสด เนื่องจากเป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยแคลเซียมค่ะ โดยจะเป็นนมวัวหรือนมพืช ก็สามารถเลือกรับประทานได้ตามความชอบและเงื่อนไขสุขภาพของคุณผู้หญิงแต่ละท่านได้เลยค่ะอาหารเสริมที่คุณแม่ควรทาน✨กรดโฟลิกอีกชื่อคือวิตามินบี 9 ที่มีหน้าที่หลักๆเกี่ยวข้องกับระบบประสาทในร่างกาย ปริมาณที่แนะนำสำหรับคุณผู้หญิงที่อยากมีเจ้าตัวน้อยจะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 0.4 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ไม่ควรเกิน 1 มิลลิกรัมต่อวันค่ะ เพราะจะส่งเสริมให้เกิดโรคจำพวกมะเร็งได้✨ธาตุเหล็กเป็นแร่ธาตุที่มีส่วนช่วยในระบบไหลเวียนเลือดในร่างกาย ทำให้เม็ดเลือดมีความสมบูรณ์และมีจำนวนที่ปกติค่ะ การที่เม็ดเลือดแดงที่เป็นตัวละครหลักในการช่วยแลกเปลี่ยนแก๊สและสารอาหารให้กับเซลล์ในร่างกายมีความอุดมสมบูรณ์ ก็จะทำให้ร่างกายอุดมสมบูรณ์ค่ะ ปริมาณที่แนะนำสำหรับธาตุเหล็กจะอยู่ที่ 15 มิลลิกรัมต่อวันค่ะ✨ไอโอดีนเป็นแร่ธาตุที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย อีกทั้งยังส่งเสริมระบบประสาทและสมองอีกด้วยค่ะ โดยปริมาณที่แนะนำสำหรับไอโอดีนจะอยู่ที่ 0.2 มิลลิกรัมต่อวันค่ะ✨สังกะสีหรือซิงค์เป็นแร่ธาตุที่ค่อนข้างเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายค่ะ ปริมาณที่แนะนำจะอยู่ในช่วง 8-11 มิลลิกรัมต่อวันค่ะ✨โคลีนเป็นอีกหนึ่งแร่ธาตุที่มีหน้าที่ในการทำงานเกี่ยวข้องกับระบบประสาทค่ะ ปริมาณที่แนะนำจะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 425 มิลลิกรัมต่อวันค่ะ    อันที่จริงแล้ว ยังมีแร่ธาตุและวิตามินอีกมากที่ยังไม่ถูกพูดถึงคุณประโยชน์และปริมาณที่เหมาะสมในการรับประทานในบทความนี้ อย่างไรก็ตาม แร่ธาตุต่างๆล้วนมีปริมาณที่เหมาะสมต่อการรับประทานไม่เท่ากันในแต่ละท่าน คุณผู้หญิงที่วางแผนจะมีเจ้าตัวน้อยในอนาคตควรปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินว่าเงื่อนไขสุขภาพของตนเอง เหมาะสมที่จะได้รับแร่ธาตุชนิดใดบ้าง ควรเน้นอะไรและลดอะไร เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการควบคุมอาหารค่ะ

Content Image

เบาหวานก่อนตั้งครรภ์

     สำหรับคุณแม่หลายคนที่กำลังตั้งครรภ์🤰 อาจจะกำลังกังวลเรื่องโรคเบาหวานที่ตัวเองเป็นอยู่ก่อน เราเข้าใจค่ะ ว่าคุณแม่กังวลใจเพราะกลัวว่าจะส่งผลกระทบกับลูกน้อย👶ในครรภ์ แต่ในเมื่อเบาหวานมันเกิดขึ้นแล้ว เรามาหาวิธีรับมือแบบเข้าใจเบาหวาน ดูแลตัวเองเป็นพิเศษอย่างไร ให้ลูกน้อยปลอดภัยที่สุด อยู่ในครรภ์ได้อย่างสบายใจ มาเรียนรู้ไปพร้อมๆกันค่ะ💁‍♀️รู้จักประเภทเบาหวานในคุณแม่ที่ตั้งครรภ์✨เบาหวานที่ได้รับการวินิจฉัยก่อนการตั้งครรภ์ เพื่อให้คุณแม่เข้าใจง่ายๆเบาหวานประเภทนี้ ก็คือ เบาหวานที่คุณแม่เป็นมาตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ลูกน้อย นั่นเองค่ะ✨ความเสี่ยงของคุณแม่ที่มีภาวะเบาหวานมาก่อนตั้งครรภ์คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์จะมีความเสี่ยงในภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์เกิดขึ้นได้ เช่น การแท้ง🩸 การเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ ทารกในครรภ์อาจจะตัวโตกว่าปกติ คลอดก่อนกำหนด หรือ ทารกเสียชีวิต💀ขณะคลอดและหลังคลอด ✨เบาหวานที่ได้รับการวินิจฉัยครั้งแรกขณะตั้งครรภ์เบาหวานประเภทนี้คือ คุณแม่ที่ไม่เคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานมาก่อนค่ะ เพิ่งมาตรวจเจอครั้งแรกขณะตั้งครรภ์🤰 ซึ่งพบได้มากเพราะนับเป็นร้อยละ 90 ของเบาหวานที่พบในคุณแม่ตั้งครรภ์ จริงๆอาจจะเป็นมาก่อนตั้งครรภ์ก็ได้เช่นกันค่ะ แต่ไม่ได้รับการตรวจ🩺 เลยไม่รู้ตัวมาก่อนว่าเป็นเบาหวาน โดยให้คุณแม่สังเกตตัวเองจากกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ดังนี้นะคะ⚡️ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคเบาหวาน⚡️ผู้ที่มีประวัติคลอดเด็กน้ำหนักมาก⚡️ผู้ที่มีประวัติคลอดเด็กเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ⚡️ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนเบาหวานเสี่ยงต่อครรภ์อย่างไร👉เสี่ยงเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบคุณแม่ที่เป็นเบาหวานมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ🚽สูงมากกว่าคุณแม่ที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวานค่ะ  เพราะน้ำตาลในปัสสาวะ นำพาแบคทีเรีย🦠เป็นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดการอักเสบของทางเดินปัสสาวะได้ค่ะ👉น้ำคร่ำในครรภ์มากกว่าปกติ เบาหวานในคุณแม่ อาจส่งผลให้คุณแม่ที่ตั้งครรภ์มีน้ำคร่ำในครรภ์มากกว่าปกติได้ค่ะ โดยจะส่งผลให้คุณแม่รู้สึกอึดอัด🤢 แน่นไปหมด ไม่สบายตัว และยังอาจส่งผลให้แพทย์👨‍⚕️ตรวจดูทารกในครรภ์ได้ยากอีกด้วยค่ะ👉เสี่ยงภาวะแทรกซ้อนในทารกแรกเกิด เบาหวานของคุณแม่อาจส่งผลไปยังลูกน้อยให้มีภาวะแทรกซ้อนต่างๆได้ค่ะ เช่น ภาวะแคลเซียมต่ำในเลือดทารก, ภาวะตัวเหลือง, ภาวะเม็ดเลือดแดงมากเกิน🩸, ภาวะหัวใจโต🫀, ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ,ภาวะขาดออกซิเจนแรกคลอดและการบาดเจ็บจากการคลอด, ระดับเกลือแร่ต่างๆในร่างกายลูกน้อยผิดปกติคุณแม่ดูแลเบาหวานอย่างไรขณะตั้งครรภ์🥙ควบคุมอาหารเริ่มที่คุณแม่ปรับการกินในชีวิตประจำวันง่ายๆ ด้วยการการควบคุมค่ะ ลดแป้งและน้ำตาล🍬ให้น้อยที่สุด ของกินจุกจิกที่มีน้ำตาลสูง ควรเลี่ยงเลยค่ะ🙅‍♀️ ถ้าอยากทานของหวานให้เลือกทานผลไม้บ้าง แต่ถ้าเป็นผัก กินได้ไม่อั้นเลยค่ะ ดีต่อสุขภาพคุณแม่มากๆ ส่วนข้าว🍚ใน 1 วันไม่ควรเกิน 8 ทัพพีนะคะ และเนื้อสัตว์ สามารถรับประทานได้ โดยเลือกเนื้อที่มีไขมันน้อยค่ะ🚶‍♀️ออกกำลังกายเบาๆถึงจะกำลังตั้งครรภ์แต่คุณแม่ก็สามารถออกกำลังกายเบาๆได้นะคะ เราแนะนำเป็น การเดินแกว่งแขน🚶‍♀️ ออกไปรับลม ชมวิว🌄 เดินเล่น ทำให้สุขภาพกายดี และสุขภาพจิตดีไปด้วยค่ะ ถ้าคุณแม่สามารถรควบคุมอาหาร และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอแบบนี้ไปเรื่อยๆ ตลอดตั้งครรภ์ จะช่วยให้คุณแม่สามารถควบคุมระกับน้ำตาลได้ดี ลดภาวะแทรกซ้อนหรืออันตรายต่างๆ ที่จะเกิดกับหญิงตั้งครรภ์🤰และลูกในครรภ์ได้อย่างมากเลยค่ะ

Content Image

อาการแพ้ท้องบอกเพศลูกได้จริงไหมนะ?

   เมื่อคุณแม่เริ่มตั้งท้อง คงจะสงสัยว่าได้ลูกสาว👧หรือลูกชาย👦กันแน่ และมักจะต้องได้ยินคำว่า “อาการท้องแบบนี้แปลว่าได้ลูกชายนะ”  จริงหรือไม่ที่อาการแพ้ท้องสามารถบ่งบอกถึงเพศของทารกภายในครรภ์ได้ วันนี้ทางเราได้รวบรวมข้อมูลต่างๆมาเพื่อเป็นคำตอบให้คุณแม่ทราบกันแล้วค่ะ💁‍♀️ลักษณะที่บ่งบอกว่าท้องลูกชาย✨ท้องแหลมมีความเชื่อว่าถ้าหากคุณแม่ท้องลูกชาย👦จะมีลักษณะท้องแหลมและมีท้องโตในระดับส่วนล่าง ในขณะที่ถ้าหากคุณแม่มีท้องกลมๆจะได้ลูกสาว✨สะดือหงายตามความเชื่อนั้นถ้าคุณแม่สะดือหงาย สะดือจุ่น แปลว่าคุณแม่ตั้งท้องลูกชาย โดยวิธีการสังเกต🔎คือให้สังเกตว่าสะดือด้านล่างที่ยื่นออกมา✨ลูกชายจะดิ้นแรงและดิ้นเร็วหากทารกในครรภ์มีการเคลื่อนไหวที่เร็วแบบกระตุก คือดิ้นแรงและดิ้นเร็วภายในครรภ์🤰 และลูกชอบเตะท้อง หมายความว่าคุณแม่ได้ตั้งท้องลูกชายค่ะ ความเชื่อโบราณกับการทายเพศว่าท้องลูกชาย💤ความฝันตอนกลางคืนหากคุณแม่ฝันว่าได้แหวน💍 มีความเชื่อว่าคุณแม่จะตั้งครรภ์เป็นลูกชาย🦶การก้าวเท้าออกนอกบ้านหากคุณแม่ท่านใดที่ชอบก้าวเท้าขวาก่อนออกจากบ้าน โบราณเชื่อว่าคุณแม่จะตั้งครรภ์เป็นลูกชายค่ะ👦💫การให้เด็กเหยียบท้องทายเพศมีความเชื่อว่าถ้าหากให้แม่ท้องนอนหงายแล้วให้คนอุ้มเด็กตัวน้อยๆ👶มาลองเหยียบท้อง ถ้าเด็กเหยียบเอาเท้า👣แตะท้องได้หมายความว่าคุณแม่ได้ตั้งครรภ์ลูกชายค่ะ วิธีเช็คเพศลูกโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์👉การตรวจอัลตร้าซาวด์ คุณแม่จะสามารถทราบเพศลูก👶ได้ชัดเจนในช่วงอายุครรภ์ประมาณ 4 เดือน (16 weeks) จากการตรวจอัลตร้าซาวด์ ทั้งแบบ 2 มิติ 3 มิติ และ 4 มิติได้ค่ะ👉การตรวจ Chorionic Villus sampling (CVS) วิธีนี้เป็นวิธีการดูดตัวอย่างของรกบางส่วนจากทารกในครรภ์เพื่อมาตรวจความผิดปกติของโครโมโซม🧬 ซึ่งผลพลอยได้ก็สามารถทำให้คุณแม่รู้เพศของทารกได้ค่ะ วิธีนี้สามารถทำได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 10-12 สัปดาห์👉การตรวจ NIPT (Noninvasive prenatal testing)NIPT เป็นการตรวจความผิดปกติของทารกภายในครรภ์ตั้งแต่อายุครรภ์ 9 สัปดาห์เป็นต้นไป ซึ่งสามารถทำให้คุณแม่รู้เพศของทารกได้ด้วย👉การตรวจนิฟตี้ (NIFTY Test)เป็นการตรวจหาความผิดปกติของโครโมโซมในทารกที่อยู่ในครรภ์แม่ คุณแม่สามารถทำการตรวจวิธีนี้ได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 10 สัปดาห์เป็นต้นไป ซึ่งทางโรงพยาบาล🏥จะทำการแจ้งถึงผลตรวจและเพศของลูกภายในครรภ์มาพร้อมกันค่ะ  ประเทศไทยเรานั้นมีความเชื่อแต่โบราณมาในหลายรูปแบบในการทายเพศของทารกในครรภ์ บ้างก็ว่าหากท้องลูกชายจะหน้าใสไร้สิว🥰 ไม่แพ้ท้อง ถ้าท้องลูกสาวจะมีสิวและฝ้าขึ้น เพราะลูกสาวจะมาแย่งความสวยของแม่ไป หากคุณแม่อยากจะทราบถึงผลตรวจที่แม่นยำที่สุดก็คือคงจะไม่พ้นการใช้วิธีแบบวิทยาศาสตร์ในการตรวจนะคะ

Content Image

วัย 40 ขึ้นไปอยากตั้งครรภ์ต้องทำอย่างไร?

          คุณผู้อ่านหลายท่านคงเคยได้ยินเกี่ยวกับช่วงอายุที่เหมาะสมกับการตั้งครรภ์ โดยส่วนใหญ่ก็จะโฟกัสไปที่คุณผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่มีอายุในช่วง 20 - 35 ปี แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสภาพสังคมปัจจุบันไม่ได้เอื้อให้คุณผู้หญิงส่วนใหญ่ในช่วงอายุดังกล่าวพร้อมที่จะสร้างครอบครัวอีกต่อไป ดังนั้นหากคุณสามีภรรยาท่านใดที่อายุค่อนข้างมากหรือมีแผนจะมีครอบครัวตอนอายุค่อนข้างมาก ควรทราบถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และความเป็นไปได้ในการให้กำเนิดบุตรก่อนค่ะปัจจัยเสี่ยงโดยตรงและโดยอ้อมปัจจัยเสี่ยงโดยตรงเมื่อตั้งครรภ์ตอนอายุมากพื้นฐานของการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ คือ การที่ไข่จากคุณแม่และอสุจิจากคุณพ่อ มีความสมบูรณ์แข็งแรงมากพอที่จะปฏิสนธิกันได้ วิธีการที่จะทำให้เราและคู่ทราบถึงสมรรภภาพทางเพศของตนเองก็คือการตรวจสุขภาพ🏥ที่ทำให้ทราบว่าเรามีข้อจำกัดของเซลล์สืบพันธุ์หรือไม่ หรืออาจเป็นข้อจำกัดของอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ที่ไม่เหมาะกับการอาศัยของตัวอ่อน การตรวจสุขภาพนี้ยังรวมถึงการตรวจโรคทางพันธุกรรมอีกด้วย เมื่ออายุมากขึ้น พันธุกรรมของทั้งทางคุณพ่อและแม่ย่อมมีการเสื่อมโทรม ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยระบุได้ว่าความเสื่อมโทรมนั้นมีโอกาสจะทำให้ตัวอ่อนไม่สมบูรณ์ทางด้านร่างกายหรือสติปัญญา🧠หรือไม่ปัจจัยเสี่ยงโดยอ้อมเมื่อตั้งครรภ์ตอนอายุมากเมื่อเราทุกคนอายุมากขึ้น ร่างกายเรื่องเสื่อมถอย โรคในกลุ่มเบาหวานและความดันเลือดสูงก็จะมีโอกาสเกิดขึ้นสูงตาม ภาวะแทรกซ้อนจากโรคก็จะตามมา การรักษาโรคเหล่านี้ก็อาจมีผลข้างเคียงต่อลูกน้อยในครรภ์🤰ไม่ว่าจะในช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์หรือแม้กระทั่งหลังคลอด ภาวะแทรกซ้อนอาจทำให้คุณแม่ใช้ชีวิตยากขึ้นในช่วงอุ้มท้อง อีกทั้งยังทำให้คุณแม่คลอดบุตรได้ลำบากกว่าคุณแม่ที่มีอายุเหมาะสมและสุขภาพดีค่ะสิ่งที่น่ากังวลและหากจะตั้งครรภ์ต้องเตรียมตัวอย่างไรโรคทางพันธุกรรมที่ควรเป็นกังวลโรคที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากได้แก่โรคธาลัสซีเมียค่ะ แม้จะเป็นโรคที่ไม่ได้มีความร้ายแรงมากนัก แต่หากไม่ผ่านการตรวจก็จะไม่ทราบว่าลูกน้อยของตนเองเป็นโรคนี้ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตในภายหลังได้ค่ะ อีกโรคที่มีโอกาสเป็นน้อยกว่าโรคธาลัสซีเมียแต่มีความรุนแรงมาก ได้แก่ โรคดาวน์ซินโดรมที่จะทำให้ลูกน้อยมีปัญหาทางด้านการเรียนรู้และสติปัญญาค่ะ🧠 ดังนั้น การตรวจสุขภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก นอกจากจะทำให้เราและคู่ทราบถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ยังทำให้เราสามารถป้องกันหรือลดความเสี่ยงให้ได้มากที่สุดด้วยค่ะหากตัดสินใจว่าจะตั้งครรภ์ตอนอายุมาก ต้องเตรียมตัวอย่างไรสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตรวจสุขภาพร่างกายของคุณพ่อคุณแม่ค่ะ ว่ามีข้อจำกัดในการตั้งครรภ์หรือไม่ หากพบข้อจำกัดจะได้หาวิธีการรักษาเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่สามารถตั้งครรภ์ตามธรรมชาติได้ หากไม่สามรถตั้งครรภ์ตามธรรมชาติได้ก็อาจใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์เข้ามาช่วย สำหรับคุณสามีภรรยา👩‍❤️‍👨ท่านใดที่ไม่มีข้อจำกัดสุขภาพวิธีการเตรียมตัวก็สามารถทำได้ง่ายๆ เช่นเดียวกับคุณผู้ชายคุณผู้หญิงที่อายุน้อยลงเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมน้ำหนัก วางแผนโภชนาการ ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอและพยายามไม่เครียดค่ะ😊       จะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยนะคะว่าการตั้งครรภ์ในวัย 40 ปีขึ้นไปนั้นมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก ข้อปฏิบัติและการดูแลตัวเองจะมีความหลากหลายและเซ้นส์ซิทีฟมากยิ่งขึ้น แต่หากคุณสามีภรรยาท่านใดมีความพร้อมและความตั้งใจจริงที่จะมีเจ้าตัวน้อย อีกทั้งยังมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลอย่างใกล้ชิด การตั้งครรภ์ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินกำลังค่ะ

Content Image

ดื่มกาแฟแล้วจะตั้งครรภ์ยากจริงหรือ

     การดื่มกาแฟ☕️ คือสิ่งที่หลายคนทำเป็นประจำในทุกวันๆใช่ไหมคะ ตื่นเช้ามาเริ่มต้นวันด้วยการดื่มกาแฟก็จะรู้สึกสดชื่นพร้อมเริ่มต้นวันใหม่🌇 เนื่องจากในกาแฟนั้นมีส่วนผสมของ “คาเฟอีน” จึงช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แต่ถึงแม้ว่าจะช่วยให้ร่างกายสดชื่น แต่ก็เป็นความสดชื่นส่งผลเสียต่อร่างกายตามมาได้ค่ะ โดยเฉพาะระบบเจริญพันธุ์ ซึ่งมันอาจทำให้เสี่ยงภาวะมีบุตรยาก มาดูกันค่ะ ว่าการดื่มกาแฟส่งผลต่อว่าที่คุณแม่ที่กำลังวางแผนการตั้งครรภ์อย่างไรบ้าง💁‍♀️คาเฟอีนส่งผลต่อภาวะมีบุตรยาก👫ทำไมการดื่มกาแฟถึงส่งผลต่อคู่รักที่กำลังวางแผนตั้งครรภ์คาเฟอีนในกาแฟถือเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้มีภาวะมีบุตรยากค่ะ การดื่มกาแฟเป็นประจำก็เป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมที่ว่าที่คุณพ่อคุณแม่ผู้อยากมีลูกควรหลีกเลี่ยง โดยอ้างอิงจากผลการวิจัยของโรงพยาบาล🏥กลางมลรัฐแมสซาชูเซตส์ ในประเทศสหรัฐอเมริกาช่วง พ.ศ. 2550-2556 พบว่าคาเฟอีนนั้นส่งผลต่อภาวะมีบุตรยากได้ทั้งเพศชายและเพศหญิงเลยนะคะ👨คาเฟอีนส่งผลต่อภาวะมีบุตรยากในเพศชายอย่างไรผู้ชายที่ดื่มกาแฟ☕️หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นประจำ เสี่ยงต่อการมีบุตรยาก เนื่องจากคาเฟอีนทำให้หลั่งอสุจิได้น้อยลงค่ะ ว่าที่คุณพ่อควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟในปริมาณที่มากเกินไปนะคะ โดยปริมาณเครื่องดื่มคาเฟอีนที่เหมาะควรอยู่ที่ 88 มิลลิกรัมต่อวันค่ะ👱‍♀️คาเฟอีนส่งผลต่อภาวะมีบุตรยากในเพศหญิงอย่างไรคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำทุกวัน ใน 1 วัน จะลดโอกาสการตั้งครรภ์🤰ลงถึง 25-26 % เพราะคาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟจะส่งผลให้การตั้งครรภ์นั้นชะลอลง หรือหากคุณแม่ท้องอ่อนๆแล้วดื่มกาแฟในปริมาณมาก อาจเสี่ยงแท้งบุตร🩸อีกด้วยนะคะ ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการตั้งครรภ์ทั้งคุณพ่อคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเพื่อลูกน้อยที่แข็งแรงค่ะกาแฟให้โทษต่อร่างกายโดยที่คุณอาจะไม่เคยรู้มาก่อน🩸ทำให้ระดับความดันโลหิตให้สูงขึ้นเมื่อเราดื่มกาแฟเข้าไป จะทำให้ระดับความดันโลหิตในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นนานถึง 12 ชั่วโมง อัตราการเต้นของหัวใจ🫀เร็วขึ้น ความดันโลหิตก็จะสูงขึ้น ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง จึงควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟในตอนที่มีความเครียด หรือช่วงที่ร่างกายมีภาวะความกดดันมากเกินไปเพราะจะส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยตรงค่ะ🧠ส่งผลเสียต่อระบบประสาทและสมองคาเฟอีนในกาแฟจะกระตุ้นสมองให้รู้สึกตื่น🤩 สดชื่นตลอดเวลา หลายคนอาจจะรู้สึกว่าช่วยเพิ่มประสิทธิผลต่อการทำงานได้เต็มที่ แต่ในขณะเดียวกันหากได้รับคาเฟอีนในปริมาณที่มากเป็นประจำก็จะส่งผลให้เกิดความวิตกกังวล😥 ในบางรายอาจมีผลทำให้เกิดอาการชักได้ค่ะไม่ใช่แค่กาแฟ ที่มีคาเฟอีน✨เครื่องดื่มยอดฮิตเครื่องดื่มที่หลายคนดื่มเป็นประจำทุกวันก็มีคาเฟอีนนะคะ หลายคนอาจจะไม่ได้ดื่มกาแฟเลย แต่เครื่องดื่มเหล่านี้ก็มีปริมาณคาเฟอีนเช่นเดียวกับกาแฟเลยค่ะ เช่น ชาเย็น, ชานม🧋ไข่มุก, ชาเขียว🍵, ช็อกโกแลตหรือเครื่องดื่มโปรดของใครหลายคนอย่าง โกโก้ ก็มีคาเฟอีนเช่นกัน ว่าที่คุณแม่ควรหักห้ามใจและปรับเปลี่ยนการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในปริมาณที่เหมาะสม หรือหลีกเลี่ยงค่ะ✨ วิธีคำนวณปริมาณคาเฟอีนแบบง่ายๆในเครื่องดื่มยอดฮิต กาแฟไซส์ที่เป็นที่นิยมอย่างขนาด 12 ออนซ์ 👉เมนูลาเต้ คาปูชิโน ม็อคค่า เมื่อเทียบปริมาณคาเฟอีนแล้วจะมีปริมาณคาเฟอีน 75 – 90 มิลลิกรัมต่อแก้ว👉อเมริกาโน 1 แก้วโดยทั่วไปมีคาเฟอีนประมาณเริ่มต้น 150 – 260 มิลลิกรัม                         👉ชาเขียว ลาเต้ 55 มิลลิกรัมต่อแก้ว 👉กาแฟซองสำเร็จรูป 12 ออนซ์ มีคาเฟอีน 80 – 90 มิลลิกรัมต่อ 1แก้ว👉ชาชงเอง 237 มิลลิลิตร มีคาเฟอีนประมาณ 48 มิลลิกรัม👉ชาเขียว 177 มิลลิลิตร มีคาเฟอีนประมาณ 40 มิลลิกรัม👉โกโก้ร้อน 355 มิลลิลิตร มีคาเฟอีนประมาณ 8-12 มิลลิกรัม👉ช็อกโกแลตธรรมดา 50 กรัม มีคาเฟอีนประมาณ 25 มิลลิกรัมจากที่มา ศูนษ์รักษาผู้มีบุตรยากเมนู                                                                   คาเฟอีน หน่วย มิลลิกรัมกาแฟคาปูชิโน ลาเต้ ม็อคค่า ขนาด 12 ออนซ์         75-90อเมริกาโน  1 แก้ว                                                150-260ชาเขียวลาเต้                                                         55กาแฟสำเร็จรูป 12 ออนซ์                                       80-90ชา 237 มิลลิลิตร                                                   40ชาเขียว 177 มิลลิลิตร                                            40โกโก้ร้อน 355 มิลลิลิตร                                         8-12 ช็อกโกแลต 50 กรัม                                               25

Village Baby Co., Ltd.

4F, 83 Uisadang-daero, Yeongdeungpo-gu, Seoul, Republic of Korea

Partnership inquiries babybilly.global@villagebaby.kr

|

|

Language

Copyright Baby Billy. All rights reserved.