Baby Image

ที่แอป Baby Billy คุณสามารถดูเนื้อหาเพิ่มเติมได้!

📖 บทความที่ถูกอ่านมากที่สุด

Content Image

ท้องแล้วฉีดน้ำหอมอยู่ระวัง! อันตรายกับลูกในครรภ์

น้ำหอมหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่หลายๆคนใช้ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจและเสน่ห์ให้กับเรา แต่เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์แล้วจะสามารถใช้น้ำหอมต่อไปได้หรือไม่ จะมีผลกระทบอะไรต่อทารกในครรภ์หรือเปล่า เราไปดูกันเลยค่ะท้องแล้วยังสามารถใช้น้ำหอมได้ไหม?หลีกเลี่ยงน้ำหอม?จากงานวิจัยพบว่าคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ควรหลีกเลี่ยงน้ำหอม เทียนหอม สเปร์หอม ไมโครเวฟ รวมถึงการใช้พลาสติก👃หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ผสมน้ำหอมไม่เพียงเท่านั้นคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงน้ำหอมที่ถูกผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น สบู่🧼 ผงซักฟอง น้ำยาซักผ้า ของใช้ในครัวเรือนและของใช้ต่างๆงานวิจัยบ่งบอกว่าอย่างไร?งานวิจัยจาก University Of Illinois พบว่าสารเคมีที่อยู่ในน้ำหอมนั้นมีผลต่อการพัฒนาสมอง🧠 โดยได้ทำการทดลองในหนูที่ตั้งครรภ์ และพบว่าหนูที่ใช้ชีวิตอยู่กับน้ำหอมและพลาสติกนั้น ลูกหนูที่เกิดมามีระดับปัญญาที่แย่กว่าโดยการทดลองยังสรุปได้ว่าแม้ว่าแม่หนู🐁จะไม่ได้รับผลกระทบแต่ลูกหนูนั้นได้รับผลกระทบโดยตรง ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงน้ำหอม สเปรย์ต่างๆ และพลาสติกนั่นเองค่ะหลังคลอดล่ะ ใช้น้ำหอมได้ไหม?หลังจากที่คุณแม่คลอดลูกแล้วก็ยังไม่ควรใช้น้ำหอมเพราะผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำหอม โคโลญจน์ สเปรย์ฉีดตัวหลายๆตัวมีส่วนผสมของสารเคมีที่สามารถเป็นอันตรายต่อสุขภาพของลูกน้อยได้ โดยหายลูกยังอ่อน👶อยู่ก็จะมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับสารเคมีที่เป็นอันตรายจากน้ำหอมเหล่านี้โดยการศึกษาของสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในปี 1991 พบว่าสารเคมี 95% ในน้ำหอมเป็นสารประกอบที่ทำมาจากปิโตเลียม รวมถึง Greenpeace ยังพบว่าแบรนด์น้ำหอมชื่อดังกว่า 36 แบรนด์ มีส่วนประกอบของสารเคมีที่สามารถก่อให้เกิดอันตรายได้ อย่างพาทาเลต และ มัสค์สังเคราะห์ ซึ่งสารเคมีสองตัวนี้สามารถมีผลกระทบต่อกระแสเลือด🩸ในสมอง🧠  รวมถึงยังทำให้เกิดอาการปวดไมเกรนได้สุดท้ายนี้สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมยังพบว่าสารเคมี Linalool ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในน้ำหอมสามารถกระทบต่อระบบหายใจและยังก่อให้เกิดอาการง่วงและซึมเศร้าได้อีกด้วย😴 (ขอบคุณข้อมูลจาก Anna O'rourke,her)ทราบอย่างนี้แล้วหากเป็นไปได้ก็ควรเลี่ยงการฉีดน้ำหอมกันไปก่อนเพื่อพัฒนาการและสุขภาพที่แข็งแรงของลูกน้อยนะคะ

Content Image

คุณแม่สามารถใช้ครีมทาตัวเดิมที่เคยใช้ก่อนตั้งครรภ์ได้ไหม?

เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ร่างกายย่อมมีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ดังนั้นคุณแม่จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนการชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นลักษณะการใช้ชีวิต อาหาร หรือแม้แต่ในเรื่องของผิวพรรณ และเพื่อให้คุณแม่ได้มั่นใจว่าครีมบำรุงที่คุณแม่ใช้อยู่มีความปลอดภัยสำหรับช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ วันนี้เราจึงนำข้อมูลที่สำคัญมาฝากกันค่ะเหตุผลที่คุณแม่ควรใช้ครีมมอยส์เจอไรเซอร์สำหรับคนท้องโดยเฉพาะความปลอดภัยคืออับดับ 1อย่างแรกเลยที่จะต้องให้ความสนใจแน่นอนว่าจะต้องเป็นเรื่องของความปลอดภัยว่าครีมที่ใช้อยู่นั้นอ่อนโยนและปลอดภัยพอที่จะสามารถทาลงบนผิวหนังของคุณแม่ตั้งครรภ์🤰ได้หรือไม่การเปลี่ยนแปลงเนื่องจากเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ สภาพผิวของคุณแม่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมจากการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เมตาบอลิซึม ระบบต่อมไร้ท่อ และหลอดเลือด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้จะส่งผลให้คุณแม่เกิดอาการแพ้ได้ง่ายกว่าเมื่อก่อน และยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความมัน สิว แห้งกร้าน จุดด่างดำได้ด้วย รวมถึงเรื่องของเกราะป้องกันผิวก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ดังนั้นคุณแม่ควรให้ความสนใจกับสารประกอบที่อยู่ในครีม🧴ที่ใช้นั่นเองค่ะ วิธีการเลือกซื้อครีมสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์มองหาผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก คุณแม่สามารถมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากออร์แกนิก🍃 และ มีการรับรองว่าสามารถใช้กับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ได้ ก็จะสามารถทำให้มั่นใจได้ว่าไม่มีการผสมสารที่เป็นอันตรายต่อทั้งคุณแม่และทารก รวมถึงหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอม เพราะอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้หลีกเลี่ยงสารเรตินอยต์สารเรตินอยต์นั้นเป็นสารที่สามารถพบได้ในมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีประสิทธิภาพในการต่อต้านริ้วร้อย แต่ในช่วงเวลาตั้งครรภ์นั้น คุณแม่ควรจะหลีกเลี่ยงมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของเรตินอยต์ไปก่อนจะดีที่สุดค่ะ เพราะเรตินอยต์ มีอนุพันธ์ของวิตามินเอบางชนิด เช่น แอคคิวเทน หรือ เทรติโนอิน ที่อาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์🤰ได้นั่นเองวิธีการเลือกซื้อครีมสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์การเลือกซื้อครีมกันแดด🌞ในการเลือกซื้อครีมกันแดดคุณแม่สามารถมองหารุ้นที่มีผสมของซิงค์ออกไซด์และไททาเนียมไดออกไซด์ ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ทำงานโดยการผลักแสง UV ออกไป มีความปลอดภัยสำคัญคุณแม่ที่ตั้งครรภ์🤰 แต่มีข้อเสียตรงที่จะค่อนข้างซึมซับได้ดีไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และมีความขาววอกได้ แต่สามารถทำงานป้องกันรังสีจาก UVA และ UVB ได้โดยไม่ต้องรอนานหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่มีความรุนแรงส่วนผสมที่คุณแม่ควรเลี่ยงในช่วงที่ตั้งครรภ์ได้แก่✨กรดซาลิไซลิก ✨ไฮโดนควิโนน✨พาทาเลต✨ฟอร์มาลดีไฮด์✨ออกซีเบนโซน✨เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์และเรตินอยด์ตามที่กล่าวมาข้างต้น เนื่องจากสารเหล่านี้มีโอกาสอาจส่งผลเสียต่อคุณแม่และลูกน้อยได้มากกว่าสารประเภทอื่นๆนั่นเองค่ะ

Content Image

สารให้ความหวานในน้ำอัดลมก่อให้เกิดมะเร็ง?

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ยืนยันการจำแนกสารให้ความหวานเทียม แอสปาร์แตมเป็นสารที่ 'มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' หรือ 'Possibly carcinogenics to humans' ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้  📢 ในขณะที่ข้อโต้แย้งด้านความปลอดภัยยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็กล่าวได้ว่าแอสปาร์แตมสามารถพบได้ในอาหารและเครื่องดื่มหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มลดน้ำหนัก เจลาติน หมากฝรั่ง ไอศกรีม ยาสีฟัน ยาอมแก้ไอ ผลิตภัณฑ์จากนม แล้วแบบนี้เราจะมีโอกาสเป็นมะเร็งหรือไม่ สารนี้จะหายไปจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเลยหรือไม่ คุณแม่หลายๆท่านกำลังสับสนกับเรื่องนี้🤰🏻 บิลลี่ จึงขออาสามาเช็กข้อเท็จจริงค่ะ!😉ทำความรู้จักกับแอสปาร์แตม🍹แอสปาร์แตม.....มีรสหวานกว่าน้ำตาล 200 เท่า แทบไม่มีแคลอรีเลย🙅🏻‍♀️ หลายๆท่านอาจจะยังไม่คุ้นกับชื่อของแอสปาร์แตม ซึ่งความจริงแล้วเราสามารถพบเจ้าแอสปาร์แตมนี้ในชีวิตประจำวันของเราได้ โดยสารนี้ใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากได้รับการอนุมัติในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2524 จึงเป็นสารปรุงแต่งอาหารที่ถูกนำมาใช้เพื่อให้อาหารมีรสหวาน 👅 ในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกโดยปัจจุบันยังคงมีการใช้ในอาหารและเครื่องดื่มแคลอรี่ต่ำ อย่าง Coke Zero, Diet Coke หมากฝรั่ง ลูกอม โยเกิร์ต ไอศรีม ซอส และขนมอีกหลากหลายชนิด แต่ไม่นานมานี้องค์กรอนามัยโลกหรือ WHO ประกาศให้เจ้าสารที่ถูกใช้ในเชิงเพื่อสุขภาพ กลายเป็นสารก่อมะเร็งแทน ข่าวนี้ทำให้ผู้อ่านหลายๆท่านหนักใจ เพราะเราต่างต้องเคยบริโภคสารนี้กันทั้งนั้น รู้จักประเภทของสารก่อมะเร็งองค์การระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง (IARC) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ WHO ได้ประกาศให้แอสปาร์แตมเป็นสารที่ 'มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' หรือ 'Possibly carcinogenics to humans'💥 ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้  โดย IARC ได้ระบุให้แอสปาร์แตมเป็นสารก่อมะเร็งในระดับ 2B ซึ่งการนิยามสารก่อมะเร็งของ IARC สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระดับใหญ่ๆดังนี้ระดับที่ 1 เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานบ่งชี้มากพอในเชิงสถิติ ว่าก่อให้เกิดโรคมะเร็งในมนุษย์ สารกลุ่มนี้ตามกฎหมายและข้อกำหนดขององค์กรอาหารและยาในแต่ละประเทศ จะต้องไม่ถูกเติมหรือมีการปนเปื้อนในอาหารอยู่แล้ว มักเป็นสารที่ถูกใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและวัสดุอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า ตัวอย่างสารในกลุ่มนี้ได้แก่ สารหนูหรืออาร์เซนิค หรือสารในกลุ่มเบนซีนค่ะระดับที่ 2A เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานงานวิจัยออกมายืนยันเช่นกันว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ยังถือว่ามีจำนวนงานวิจัยที่น้อย จึงได้แต่ใช้คำว่า 'มีแนวโน้มที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' แทน ยังไม่สามารถยืนยันได้เพราะยังมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือไม่เพียงพอค่ะ อย่างไรก็ตามสารในกลุ่มนี้ก็ยังมีหลักฐานบ่งชี้เพียงพอว่าก่อมะเร็งได้ในสัตว์ทดลองค่ะ ยกตัวอย่างเช่นซิลิกาที่ใช้ทำซองดูดความชื้นนั่นเองค่ะระดับที่ 2Bเป็นสารที่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ส่วนหนึ่งบ่งชี้ว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะยืนยัน ในกรณีของการก่อมะเร็งในสัตว์ก็มีแต่ยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าสามารถก่อมะเร็งได้เช่นเดียวกันค่ะ ซึ่งเจ้าแอสปาร์แตมเองก็อยู่ในกลุ่มนี้ นั่นทำให้เราสามารถตีความได้ว่า ทางองค์กรอนามัยโลกให้ข้อมูลว่าแอสปาร์แตมอาจจะก่อมะเร็งทั้งในสัตว์และในคน แต่ยังเป็นหลักฐานที่มีจำนวนน่าเชื่อถือไม่เพียงพอ เมื่อคำนวณความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติค่ะระดับที่ 3 เป็นสารที่ยังไม่มีข้อมูลว่าสามารถก่อมะเร็งได้ทั้งในร่างกายมนุษย์เองและร่างกายของสัตว์ค่ะสรุปแล้วแอสปาร์แตมอันตรายแค่ไหนแอสปาร์แตมก่อมะเร็งจริงหรือไม่?โดยความจริงแล้วสารระดับ 2B นั้นสามารถพบได้ในส่วนผสมในของที่เรารับประทานหรือใช้กันในชีวิตประจำวัน🍽️ อย่าง กรดคาเฟอิกในกาแฟ ว่างหางจระเข้ น้ำมันมะพร้าว รวมถึงกิมจิและผักดองอื่นๆด้วย ซึ่งคนไม่ได้ให้ความสำคัญเท่ากับสารทดแทนความหวาน หลักฐานจึงยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าแอสปาร์แตมจะทำให้เราเป็นมะเร็งจริงๆ แม้กระทั่งหลักฐานในสัตว์ทดลองเองก็ยังไม่ได้มีจำนวนมากพอที่จะยืนยันได้ จึงสามารถสรุปได้ว่า ไม่ได้ห้ามบริโภคเป็นอาหาร และไม่ได้หมายความว่าการรับประทานแอสปาร์แตมจะทำให้เกิดมะเร็ง แต่มีความจำเป็นที่จะต้องจำกัดปริมาณในการรับประทานสารให้ความหวานเทียมค่ะ🙌🏻  ยังสามารถรับประทานน้ำอัดลม 0% ได้หรือไม่?ยังสามารถรับประทานได้ค่ะ โดยค่าที่ปลอดภัยในการรับประทานแอสปาร์แตมจะอยู่ที่ไม่เกิน 40 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม👀 หากจะพูดให้เห็นภาพ หากคุณผู้อ่านมีน้ำหนักตัวประมาณ 50 กิโลกรัมนั่นหมายความว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานแอสปาร์แตมได้ในปริมาณที่ปลอดภัยไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ในน้ำอัดลมที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลหนึ่งกระป๋อง มักใส่แอสปาร์แตมไม่เกิน 300 มิลลิกรัม นั่นแปลว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานน้ำอัดลมชนิดนั้นได้ประมาณ 6-7 กระป๋องโดยประมาณเลย ซึ่งนับเป็นปริมาณที่ค่อนข้างเยอะมากต่อวัน หากไม่ได้ติดน้ำอัดลมกลุ่มนี้ เรามักจะกินไม่ถึงปริมาณที่มีความเสี่ยงว่าจะก่อมะเร็งอยู่แล้วค่ะ🫡 ข้อควรระวังสำหรับผู้ปกครอง🍹สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์จากการศึกษาที่ประกาศโดย American Society for Reproductive Medicine ในปี 2559 📑 สารให้ความหวานเทียมในเครื่องดื่ม 0% จะลดความสามารถของผู้หญิงในการปฏิสนธิและส่งผลต่อสุขภาพของเซลล์ไข่ โดยหากบริโภคในระหว่างตั้งครรภ์ ว่ากันว่าอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์และทำให้เด็กเสี่ยงเป็นโรคอ้วนได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มอัดลมที่มีระดับน้ำตาลสูงหากเป็นไปได้นะคะ!🙅🏻‍♀️🍹 แล้วคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังเลี้ยงลูกอยู่ล่ะ?หากคุณมีโรคทางพันธุกรรมที่เรียกว่าฟีนิลคีโตนูเรีย (PKU) ซึ่งไม่สามารถเผาผลาญแอสปาร์แตมได้ ก็ควรจะหลีกเลี่ยงการรับประทานสิ่งที่มีแอสปาร์แตม 🚫 โดยไม่ใช่เพียงคุณแม่และลูกน้อยเท่านั้นที่ควรเลี่ยง แต่ยังรวมถึงแม่ที่วางแผนหรือกำลังตั้งครรภ์ด้วย ในกรณีของทารกแรกเกิด ทารกจะได้รับการทดสอบที่โรงพยาบาลหลังคลอด ดังนั้นหากมีความผิดปกติก็สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนั้นไม่ต้องกังวลจนมากเกินไปนะคะ!แม้ว่ากระทรวงความปลอดภัยด้านอาหารและยาจะได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยของสารให้ความหวาน แต่คุณพ่อคุณแม่บางคนก็ยังคงกังวล ท่ามกลางความขัดแย้งเรื่องแอสปาร์แตม หัวหน้าสำนักโภชนาการและความปลอดภัยด้านอาหารของ WHO แนะนำว่าควรพิจารณา 'การดื่มน้ำแทนเครื่องดื่มที่มีรสหวาน🥛' แทนที่จะมองหาของหวานอื่นทดแทน ลองเลิกนิสัยชอบความหวานและพึ่งพาอาหารแปรรูป แล้วหันมาใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพกันดูนะคะ 💖

Content Image

อาการที่บ่งบอกถึงการตั้งครรภ์ระยะแรก

คุณแม่แต่ละคนอาจมีอาการแตกต่างกันออกไปบางคนอาจไม่มีอาการใด ๆเลย แต่ในบางคนก็มีอาการแพ้ท้องเกิดขึ้น ดังนั้น ในระยะแรกอาจไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดูออกว่าคุณแม่ตั้งครรภ์อยู่หรือไม่ แต่ในทางการแพทย์จะมีลักษะอาการบางอย่างที่เราพอจะสังเกตุได้ มาดูกันว่าคุณมีอาการเหล่านี้บ้างหรือไม่นะคะอาการของคนท้องระยะแรก 1-2 สัปดาห์ 🤰 อาการขาดประจำเดือนประจำเดือนของผู้หญิงจะมาห่างกันประมาณ 28 วัน แต่หากประจำเดือนของคุณไม่มาเกิน 10 วัน 🩸 ก็อาจเป็นสัญญาณบอกได้ว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ แต่การขาดประจำเดือนก็อาจมาจากสาเหตุอื่นได้ 📅 เช่น ร่างกายอ่อนเพลีย การใช้ยาคุม หรือ การมีโรคบางอย่างก็เป็นได้🤰 ตกขาวมามากผิดปกติฮอร์โมนในร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อตั้งครรภ์ และส่งผลให้มีอาการตกขาวมีปริมาณมากขึ้น  หากตกขาวของคุณมีสีขาวขุ่นก็อย่าเพิ่งตกใจไป 🙂 เพราะร่างกายของคุณสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยให้ปากช่องคลอดมีการหล่อลื่นนั่นเอง แต่คุณแม่ควรดูแลรักษาความสะอาดอยู่เสมอเพื่อป้องกันการเกิดเชื้อรา และหากมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ต่างไปจากนี้ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูอาการนะคะ👩‍⚕️ 🤰 อาการเลือดซึมทางช่องคลอดเนื่องจากร่างกายของคุณแม่กำลังปรับตัวให้เข้ากับสภาวะใหม่ที่เกิดจากการปฎิสนธิภายในมดลูก หากคุณแม่พบว่ามีเลือดสีแดงจางๆ🩸ออกเล็กน้อยบริเวณช่องคลอด อาจเป็นสัญญาณของการตั้งครรภ์ก็เป็นได้ โดยเลือดจะหยุดไหลไปเองภายในหนึ่งถึงสองวัน และจะไม่มีอาการปวดเกร็งท้องร่วมด้วย หากเลือดไม่หยุดไหล และมีอาการปวดท้องเกร็ง👩‍⚕️ควรไปพาแพทย์ทันทีนะคะ🤰 พบการเปลี่ยนแปลงของเต้านมคุณอาจพบว่าหัวนมของคุณมีเข้มหรือคล้ำขึ้น รวมถึงเต้านมของคุณอาจขยายขึ้น และมีอาการเจ็บตึงเต้านมด้วย🧐  การเปลี่ยนแปลงนี้จะเห็นชัดในคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ครั้งแรก 🤰 ไวต่อกลิ่นคุณอาจพบว่าจมูกไวต่อกลิ่นมากเป็นพิเศษ โดยจะเรียกว่า Super Smell 👃  เช่น บางคนอาจเห็นกลิ่นยาสีฟันที่ใช้เป็นประจำ หรือบางคนอาจเหม็นกลิ่นตัวของสามี เป็นต้นสัญญาณอื่น ๆ ของการตั้งครรภ์🤰 เวียนหัว ปวดศีรษะคุณอาจพบอาการปวดหัวซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนภายในร่างกายขณะตั้งครรภ์นั่นเอง ซึ่งในสัปดาห์แรกคุณแม่บางคนอาจมีอาการปวดมากหรือน้อย 🥴☹️ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคนนะคะ🤰 การคัดเต้าและเจ็บหัวนมหากคุณรู้สึกคัดบริเวณเต้นนมและเจ็บหัวนม🥺 พร้อมกับเกิดอาการขาดประจำ🩸 ก็อาจเป็นอาการที่บ่งบอกได้ว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ในช่วง 1-2 สัปดาห์ โดยอาการคัดเต้าและเจ็บหัวนมนี้ก็มาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายนั่นเอง เมื่อมีอายุครรภ์มากขึ้น ขนาดของเต้านมจะขยายใหญ่มากขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมผลิตนมให้กับลูกน้อยต่อไป👶🤰 ปวดหลังอาการปวดหลังช่วงล่างอาจเป็นหนึ่งในสัญญาณที่บ่งบอกได้ว่ากำลังตั้งครรภ์ โดยอาจมีอาการร่วมกับการเป็นตะคริว☹️ สาเหตุเกิดจากการขยายของมดลูกส่งผลให้กล้ามเนื้อส่วนกลางมีการขยายด้วย อาการปวดหลังอาจเกิดขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ของคุณแม่🥺  ลองเลือกหมอนสำหรับรองหลังและหมอข้างสำหรับวางขาดูนะคะ🤰 ปัสสาวะบ่อยหากคุณพบว่าช่วงนี้ตัวเองเข้าห้องน้ำ🚻 ปัสสาวะบ่อย ๆ ก็อาจเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ โดยการตั้งครรภ์ในช่วงแรกนั้นร่างกายของคุณแม่จะสร้างของเหลวในร่างกายมากขึ้น อุ้งเชิงกรานของคุณแม่มีเลือดมาไหลเวียนมาขึ้น มดลูกคุณแม่ขยายตัว ส่งผลให้เบียดกระเพาะปัสสาวะอาหาร จึงทำให้คุณแม่เข้าห้องน้ำบ่อยขึ้นนั่นเองคะ 🚽🤰 อยากกินของเปรี้ยว หรือของอื่นๆ คุณอาจอยากกินอาหารที่ต่างออกไปจากเดิมที่เคยกิน.🥘  บางคนอยากกินรสเปรี้ยว หรือ อาหารแปลก ๆ บางคนอาจมีอาการเบื่ออาหาร และไม่อยากกินอะไรเลย โดยมีสาเกตุจากการรับรู้รสชาติของคุณแม่เปลี่ยนแปลงไปจากการที่ระดับฮอร์โมนเพิ่มขึ้นนั่นเอง  

Content Image

ทำไมโฟลิกจึงมีความจำเป็น? ต้องทานเท่าไหร่?

คุณแม่หลายๆท่านทั้งรวมทั้งคุณผู้อ่านคงเคยได้ยินมาว่า กรดโฟลิกเป็นหนึ่งในสารอาหารที่คุณแม่ที่กำลังจะมีเจ้าตัวน้อยควรรับประทาน แต่จริงๆแล้วกรดโฟลิกสามารถกินได้เพียงในขณะอุ้มท้องหรือไม่ มีปริมาณที่เหมาะสมหรือไม่ กินมากไปเป็นอันตรายหรือเปล่า บทความนี้มีคำตอบให้คุณผู้อ่านอย่างแน่นอน แต่ก่อนอื่นเราไปทำความรู้จักกับกรดโฟลิกกันก่อนค่ะทำไมคุณแม่ถึงต้องทานกรดโฟลิกกรดโฟลิกคืออะไรขึ้นชื่อว่ากรดแต่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด กรดโฟลิกเป็นสารอาหารประเภทหนึ่ง (วิตามินบี 9 ชนิดหนึ่ง) บางท่านอาจเคยได้ยินอีกชื่อ คือ โฟเลต ให้รับรู้ไว้ว่าล้วนเป็นสารอาหารตัวเดียวกัน โฟลิกเป็นสารอาหารที่สามารถพบได้ตามอาหารจากธรรมชาติที่หารับประทานได้ไม่ยากเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ไข่แดง🥚 ตับ ผักใบเขียว ผักสีส้ม และผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวเป็นส่วนใหญ่ค่ะประโยชน์ของโฟลิกกรดโฟลิกมีส่วนช่วยในเรื่องของการเจริญเติบโตของเจ้าตัวน้อยในท้องคุณแม่เป็นหลัก ช่วยตั้งแต่ในระยะแรกที่เกิดการแบ่งเซลล์ของตัวอ่อนในครรภ์ การพัฒนาระบบประสาท สมอง และไขสันหลัง ช่วยในเรื่องของการสร้างเม็ดเลือดแดง🩸ให้แข็งแรง และยังช่วยเสริมสร้างการสร้างเม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญในระบบภูมิคุ้มกันของเจ้าตัวน้อยอีกด้วย แต่ก็มีข้อควรระวังเช่นกันค่ะ หากคุณแม่รับประทานกรดโฟลิกมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาโลหิตจางทั้งกับตนเองและกับเจ้าตัวน้อยในครรภ์ได้ค่ะรับประทานแค่ไหนจึงจะพอดี?อันที่จริงแล้วกรดโฟลิกสามารถรับประทานได้ตั้งแต่ช่วงเตรียมตัวจะตั้งครรภ์ซึ่งก็คือก่อนตั้งครรภ์จะดีที่สุดค่ะ และควรรับประทานต่อไปในปริมาณที่เหมาะสมจนกว่าจะคลอดบุตรเลย สำหรับช่วงก่อนตั้งครรภ์แนะนำว่าควรได้รับโฟลิกไม่น้อยกว่า 0.5 มิลลิกรัมต่อวัน หากตั้งครรภ์แล้วให้เพิ่มปริมาณเป็น 0.8 มิลลิกรัมต่อวัน และไม่ควรรับประทานเกิน 1 มิลลิกรัมต่อวัน💊 จะเห็นว่าไม่ใช่ปริมาณที่เยอะเลยใช่ไหมคะ เพียงแค่คุณผู้อ่านกินอาหารที่อุดมไปด้วยกรดโฟลิกตามที่ยกตัวอย่างข้างต้น ก็มีแนวโน้มว่าจะได้รับกรดโฟลิกตามเกณฑ์อยู่แล้ว แต่หากไม่มั่นใจก็สามารถรับประทานโฟลิกในรูปแบบของอาหารเสริมได้ค่ะหากรับประทานโฟลิกไม่พอ จะเกิดอะไรขึ้น ?การขาดกรดโฟลิกจะส่งผลอย่างชัดเจนในคุณแม่ที่กำลังมีเจ้าตัวน้อยค่ะ👶 เด็กในท้องอาจมีปัญหาเกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการเจริญที่ไม่เต็มที่ของระบบประสาทและสมอง กะโหลกศีรษะไม่ปิดจนผิดปกติ มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ ไขมันสูง ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน        จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ความเสี่ยงจากการขาดกรดโฟลิกค่อนข้างน่ากลัวเลยใช่ไหมคะ ดังนั้นการควบคุมเรื่องสารอาหารที่คุณแม่หรือกระทั่งคุณผู้หญิงที่วางแผนจะมีเจ้าตัวน้อยจึงสำคัญมาก หากไม่มั่นใจว่าสามารถทำได้เอง แนะนำให้ขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านของการตั้งครรภ์ รวมไปถึงนักโภชนาการที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้ได้รับความรู้ในด้านการกินอาหาร และได้รับสารอาหารที่เพียงพอ เป็นประโยชน์กับทั้งลูกน้อยและตัวของคุณแม่เองค่ะ

👉 List บทความเตรียมตัวตั้งครรภ์

Content Image

เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

     ความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ในร่างกายของคุณผู้หญิงนั้นเป็นหนึ่งปัจจัยที่เป็นที่กังวล เพราะสามารถส่งผลต่อประสิทธิภาพในการมีเจ้าตัวน้อยในอนาคตได้โดยตรง วันนี้บทความของเราพาคุณผู้อ่านมาทำความรู้จักกับอีกหนึ่งปัญหาความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์คุณผู้หญิง นั่นก็คือภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่นั่นเองค่ะ โรคนี้จะมีระดับความรุนแรงแค่ไหน อันตรายหรือไม่ ส่งผลต่อการมีลูกได้อย่างไร เราไปดูพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️ทำความรู้จักกับเยื่อบุโพรงมดลูกก่อนที่เราจะทราบว่าอาการเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่นั้นมีอันตรายอย่างไร เราจำเป็นต้องรู้จักความสำคัญของเยื้อบุโพรงมดลูกก่อน โดยปกติแล้ว ร่างกายของคุณผู้หญิงจะมีสมดุลของชุดฮอร์โมนที่ทำให้เกิดการสะสมและเกาะตัวของเนื้อเยื่อประเภทหนึ่ง ซึ่งเกาะตัวสะสมกันภายในโพรงมดลูก เราจึงเรียกเนื้อเหล่านี้ว่าเยื่อบุโพรงมดลูกหรือเยื่อบุผนังมดลูก เยื่อนี้ไม่ได้เกาะสะสมอยู่ตลอด เพราะหน้าที่ของเจ้าเยื่อนี้คือการรองรับการฝังตัวของตัวอ่อนหลังการผสมในกรณีที่คุณผู้หญิงมีเพศสัมพันธุ์กับคุณผู้ชายโดยไม่ป้องกัน แต่หากไม่มีตัวอ่อนมาเกาะ เยื่อเหล่านี้ก็จะหลุดออกจากช่องคลอดทุกเดือนในรูปแบบของเลือดที่เราเรียกว่าประจำเดือน🩸ของคุณผู้หญิงนั่นเองค่ะ👉เจริญผิดที่คือเจริญที่ไหนได้บ้างอย่างที่กล่าวไปในหัวก่อนหน้า จากชื่อของเยื่อประเภทนี้ เยื่อควรจะเกาะสะสมภายในโพรงมดลูกเท่านั้น หากพบว่าเกาะสะสมบริเวณอื่นก็ถือว่าเป็นอาการเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ได้ทั้งนั้นค่ะ ส่วนใหญ่มักพบว่าไปเจริญบริเวณอวัยวะข้างเคียง ไม่ว่าจะเป็นบริเวณรังไข่ ท่อนำไข่ ผนังอุ้งเชิงกราน และในผู้ป่วยบางรายอาจพบเจ้าเยื่อดังกล่าวในอวัยวะที่ไกลออกไปก็ได้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นปอด🫁 ตับ ไต อาจเจริญไกลได้ถึงบริเวณสมองเลยทีเดียว ซึ่งอวัยวะทั้งหมดตามที่กล่าวมานี้ไม่ได้มีหน้าที่ในการรองรับการฝังตัวของตัวอ่อนแน่นอน การสะสมตัวของเยื่อบุโพรงมดลูกจึงไม่มีประโยชน์อะไร ตรงกันข้ามคือก่อให้เกิดโทษค่ะสาเหตุของภาวะเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่อันที่จริงภาวะดังกล่าวมีหลายสาเหตุซึ่งมีความเป็นไปได้ แต่สาเหตุหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับในปัจจุบันคือการที่ประจำเดือนของคุณผู้หญิงเกิดการไหลย้อนกลับ⤴️ ไม่ได้ไหลออกมาทางช่องคลอดตามที่ควรจะเป็นนั่นเองค่ะ เมื่อไหลย้อนกลับเข้าไปในช่องท้อง และเนื้อเยื่อเหล่านั้นได้รับการกระตุ้นจากสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย จะทำให้สามารถเจริญต่อได้แม้ว่าจะไม่ได้อยู่บริเวณโพรงมดลูกก็ตามค่ะ👉อันตรายของอาการเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่เยื่อบุโพรงมดลูกมดลูกมีแนวโน้มที่จะไปรบกวนการทำงานของอวัยวะที่ไปเกาะสะสมผิดที่ ก่อให้เกิดโรคต่างๆตามมาซึ่งขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ไปขัดขวางการทำงาน หากเกิดบริเวณรังไข่หรือผนังอุ้งเชิงกรานก็อาจก่อให้เกิดช็อคโกแลตซีสต์ได้ค่ะ แต่มีความเชื่อหนึ่งที่ไม่เป็นความจริงสำหรับภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ นั่นคือคุณผู้หญิงที่เกิดอาการดังกล่าวจะทำให้มีบุตรยาก ซึ่งถือว่าไม่เป็นความจริง อันที่จริงแม้คุณผู้หญิงจะมีภาวะดังกล่าวก็ยังสามารถมีบุตรได้ตามปกติ🤰 เพราะยังมีเยื่อบุโพรงมดลูกที่เจริญถูกที่หรือเจริญบริเวณโพรงมดลูก เอื้ออำนวยให้ตัวอ่อนสามารถฝังตัวได้ตามปกตินั่นเองค่ะ🚨สัญญาณเสี่ยงที่บ่งบอกถึงภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ🩸 มาไม่สม่ำเสมอตามวงจรที่ควรจะเป็นในแต่ละเดือนเจ็บบริเวณช่องคลอด หากทำการสอดใส่ระหว่างมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่มีประจำเดือน รู้สึกปวดท้องเหมือนอยากขับถ่ายอุจจาระร่วมด้วย💩 แม้ไม่มีอุจจาระก็ตามคลำเจอก้อนเนื้อบริเวณช่องท้องส่วนล่างมีประวัติมีบุตรยาก📝 หรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติมีบุตรยาก     จะเห็นแล้วนะคะว่าแม้ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่จะไม่ได้ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการมีเจ้าตัวน้อยของคุณผู้หญิงโดยตรง แต่ก็สามารถก่อให้เกิดความผิดปกติของร่างกายได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นหากคุณผู้หญิงท่านใดสังเกตได้ว่าตนเองมีอาการบางอย่างที่เข้าข่ายจะเป็นภาวะดังกล่าว ก็ควรเข้ารับการตรวจร่างกายเพื่อรอคำวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที👩‍⚕️ ไม่ควรนิ่งนอนใจและมองข้ามไปค่ะ

Content Image

ทำไมต้องเก็บสายสะดือลูก

    การเก็บสายสะดือลูก👶เชื่อว่าจะนำความโชคดีและความคุ้มครองมาสู่เด็กตลอดชีวิต มันถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของสายสัมพันธ์💞ระหว่างแม่กับทารกแรกเกิด และการรักษาไว้เป็นวิธีการให้เกียรติสายสัมพันธ์นั้น นอกจากนี้ วัฒนธรรมเอเชียบางวัฒนธรรมเชื่อว่าสายสะดือมีคุณสมบัติเป็นยา💊และสามารถใช้รักษาแบบดั้งเดิมได้ค่ะ นี่ก็คงเป็นอีกหนึ่งข้อสงสัยใช่ไหมคะ โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่มือใหม่👫ที่กำลังศึกษาข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับลูกว่าทำไมถึงต้องเก็บสายสะดือลูกไว้ จำเป็นหรือไม่ที่ต้องปฏิบัติตาม ซึ่งในประเทศไทย สายสะดือมีความสำคัญทางวัฒนธรรมและสัญลักษณ์ในภูมิภาคต่างๆ การรวบรวมและการเก็บรักษาสายสะดือมีรากฐานมาจากความเชื่อและการปฏิบัติแบบดั้งเดิมความเชื่อในแต่ละภูมิภาคเกี่ยวกับการเก็บสายสะดือ💫ภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ในภาคเหนือของประเทศไทย🇹🇭 มักรวบรวมสายสะดือและฝังไว้ใกล้กับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หรือปลูกในจุดที่เป็นมงคล เชื่อกันว่าการปฏิบัตินี้จะเชื่อมโยงเด็กกับวิญญาณบรรพบุรุษของพวกเขา และทำให้มีสุขภาพที่ดีและเจริญรุ่งเรือง✨ตลอดชีวิต💫ภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสาน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สายสะดือจะถูกฝังไว้ตามประเพณีใกล้กับนาข้าว🌾ของครอบครัว เชื่อกันว่าการต่อสายสะดือของเด็กเข้ากับผืนดิน พวกเขาจะมีสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับรากเหง้าและเติบโตขึ้นเป็นคนที่ขยันขันแข็งและประสบความสำเร็จ👏💫ภาคกลาง เช่น กรุงเทพฯ อยุธยา ในภาคกลาง เป็นเรื่องปกติที่สายสะดือจะถูกรักษาและเก็บไว้ในภาชนะ🥣หรือพระเครื่องขนาดเล็ก เชื่อว่าจะนำความโชคดี🧧 ความคุ้มครอง และความเจริญรุ่งเรืองมาสู่เด็ก หลายครอบครัวส่งต่อสิ่งของอันเป็นที่รักเหล่านี้จากรุ่นสู่รุ่น💫ภาคใต้ เช่น ภูเก็ต กระบี่ ในภาคใต้ สายสะดือมักถูกทำให้แห้งและบดเป็นผงละเอียด ผงนี้ผสมกับสมุนไพรแบบดั้งเดิมแล้วใช้ทำแป้ง มีความเชื่อกันว่าการใช้แปะนี้กับร่างกายของเด็กจะปกป้องพวกเขาจากวิญญาณชั่วร้าย👻และส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวมความเชื่อดั้งเดิมแบบนี้พบเจอได้ที่ไหนอีก?มีหลายวัฒนธรรมทั่วโลกที่มีความเชื่อและการปฏิบัติเกี่ยวกับการรักษาสายสะดือ ตัวอย่างเช่น วัฒนธรรมญี่ปุ่น🇯🇵 ในญี่ปุ่น เป็นเรื่องปกติที่จะเก็บสายสะดือไว้ในกล่องพิเศษที่เรียกว่า อุชิเดะ โนะ โคซูจิ เชื่อกันว่าจะนำความโชคดี ความคุ้มครอง และความเจริญรุ่งเรืองมาสู่เด็ก วัฒนธรรมจีน ในวัฒนธรรมจีน🇨🇳 สายสะดือมักจะแห้งและเก็บไว้ในถุงสีแดง เชื่อกันว่าการเก็บสายสะดือจะทำให้เด็กมีสุขภาพแข็งแรง มีความสุข และประสบความสำเร็จในชีวิต🎓✨วัฒนธรรมละตินอเมริกา ในหลายประเทศในละตินอเมริกา เป็นเรื่องปกติที่จะฝังสายสะดือไว้ใกล้ต้นไม้🌳 เชื่อว่าสิ่งนี้จะเชื่อมโยงพลังชีวิตของเด็กเข้ากับธรรมชาติ และสร้างความผูกพันที่แน่นแฟ้นกับผืนดิน เหตุผลในการอนุรักษ์สายสะดือนั้นแตกต่างกันไปตามแต่ละวัฒนธรรม แต่โดยทั่วไปมักเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์⚜️ ประเพณี และความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับบ่อน้ำของเด็ก ความเป็นอยู่ ความคุ้มครอง และความเจริญรุ่งเรืองในอนาคต แล้วถ้าไม่เก็บสายสะดือลูกไว้จะเป็นอะไรไหม ตามความเชื่อของไทยถือว่าการเก็บสายสะดือเป็นสิ่งสำคัญเพราะเชื่อว่าจะนำโชคดีและปกป้อง🛡️เด็กจากอันตราย โดยปกติแล้วสายสะดือจะแห้ง ห่อด้วยผ้าหรือใส่ภาชนะเล็กๆ และเก็บไว้ในที่ปลอดภัย เชื่อกันว่าการเก็บสายสะดือเป็นสัญลักษณ์ของสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างเด็ก👶และครอบครัว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อและจารีตประเพณีส่วนบุคคล บางคนก็ยังปฏิบัติกันอยู่ค่ะ

Content Image

อะไรเป็นตัวกำหนดเพศของลูกกันนะ?

          ปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณพ่อและคุณแม่หลายคนมีความปรารถนาจะมีลูกชายหรือลูกสาวตามเพศและจำนวนที่ตนเองต้องการ ไม่ว่าจะเป็นอิทธิพลของโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรม หรือแม้กระทั่งความชอบส่วนตัว แต่เราจะสามารถเลือกเพศลูกได้จริงหรือไม่ มีโอกาสแค่ไหนที่จะได้อย่างที่ตนเองเลือก ก่อนอื่นเราไปทำความรู้จักกับสาเหตุของการได้ลูกผู้หญิงหรือผู้ชายกันก่อนค่ะอะไรเป็นตัวกำหนดเพศของลูก?แม้ว่าการมีบุตร...จะต้องอาศัยความสมบูรณ์ของทั้งไข่จากคุณแม่👩และอสุจิจากคุณพ่อ👨 แต่สิ่งที่จะเลือกเพศลูกคืออสุจิจากคุณพ่อค่ะ ก่อนอื่นเราต้องทำความรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า 'โครโมโซม' ก่อน โครโมโซมเปรียบเสมือนกล่องที่มีไว้เก็บข้อมูลกรรมพันธ์ุของคุณพ่อและคุณแม่ หนึ่งในข้อมูลนั้นคือข้อมูลเรื่องเพศของลูก ไข่🥚ของคุณแม่ 'ทุกใบ' ตามปกติมีโครโมโซม X แต่อสุจิแต่ละตัวของคุณพ่อจะมีโครโมโซมแตกต่างกันเป็นสองแบบ คือ X หรือ Y หากอสุจิที่มีโครโมโซม X มาผสมกับไข่จะทำให้ได้ลูกผู้หญิง แต่หากเป็นตัวอสุจิที่มีโครโมโซม Y มาผสมไข่จะได้ลูกผู้ชายค่ะความแตกต่างของอสุจิ 2 กลุ่ม🧬อสุจิที่มีโครโมโซม X ที่ทำให้เกิดลูกเพศหญิง จะมีส่วนหัวที่โต ทำให้ตัวหนัก เคลื่อนไหวช้า อุ้ยอ้าย ค่อนข้างทนกับสภาวะด่างอ่อนๆ และค่อนข้างแข็งแรง จึงมีแนวโน้มที่จะอยู่รอดได้นานกว่าหลังถูกปล่อยในร่างกายของคุณผู้หญิง🧬อสุจิที่มีโครโมโซม Y ที่ทำให้เกิดลูกเพศชาย จะมีส่วนหัวที่ค่อนข้างเล็ก ผอมเพรียว ทำให้เคลื่อนที่ได้เร็ว อีกทั้งยังค่อนข้างทนกับสภาวะกรดอ่อนๆ แต่ไม่อึดเท่าไหร่นัก มีแนวโน้มจะอยู่รอดหลังถูกปล่อยในอวัยวะเพศหญิงได้น้อยกว่าเลือกเพศลูกด้วยวิธีทางธรรมชาติได้จริงหรือ?ก่อนอื่นต้องแจ้งก่อนว่า แม้จะมีข้อมูลออกมาอย่างแพร่หลายว่าหากทำตามวิธีใดวิธีหนึ่งตามธรรมชาติจะเลือกเพศลูกได้ แต่ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับหรือรับประกันในเชิงวิทยาศาสตร์ มีเพียงการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์อย่างการ🔬 ผสมเทียมเท่านั้นที่สามารถยืนยันได้ แต่หากวิธีต่างๆตามธรรมชาตินั้นไม่ได้มีผลเสียต่อร่างกายของคุณแม่และคุณพ่อ ก็อาจไม่เสียหายที่จะลองปฏิบัติตามด้วยวิธีดังต่อไปนี้ ซึ่งเป็นวิธีที่เอื้อให้สิ่งแวดล้อมโดยรอบของอสุจิที่มีโครโมโซม X หรือ Y 🧬 กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้เปรียบในการอยู่รอดค่ะขั้นตอนที่ 'อาจ' เป็นประโยชน์ในการเลือกเพศลูกตามธรรมชาติหากต้องการลูกสาวควรเลือกมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 2-3 วันก่อนไข่สุก และระหว่างมีเพศสัมพันธ์ในครั้งนั้น ฝ่ายหญิงไม่ควรสำเร็จกิจ เพื่อป้องกันการหลั่งมูกช่องคลอดที่มีสภาพเป็นด่างอ่อนๆเพราะอสุจิ X ไม่ชอบ คุณผู้ชายควรหลั่งอสุจิในระยะตื้นๆของช่องคลอดเท่านั้น และคุณทั้งสองควรอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีอุณหภูมิค่อนข้างสูง🌡️หากต้องการลูกชายให้เลือกทำตรงกันข้าม โดยการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงไข่ตก หรือเวลาที่ใกล้ไข่ตกมากที่สุดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ฝ่ายหญิงควรสำเร็จกิจก่อนหรือพร้อมๆกับฝ่ายชาย เพื่อหลั่งมูกช่องคลอดที่มีฤทธิ์เป็นด่างอ่อนๆออกมาเพราะอสุจิ Y ชอบ ช่วงถึงจุดสุดยอดคุณผู้ชายควรหลั่งอสุจิในระยะที่ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ในช่องคลอด และคุณทั้งคู่ควรอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่อุณหภูมิต่ำหรือค่อนข้างเย็นนั่นเอง🧊        ตามที่กล่าวไปข้างต้น คือ วิธีการตามธรรมชาติดังกล่าวที่มีการเผยแพร่ข้อมูลอย่างแพร่หลายนั้นยังไม่เป็นที่ยอมรับในเชิงวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้น หากการเลือกเพศหรือกำหนดเพศลูกสำคัญกับครอบครัวของคุณทั้งคู่จริงๆ การใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ปัจจุบันมีความหลากหลายเข้ามาช่วย จะมีอัตราการประสบความสำเร็จในการเลือกเพศลูกสูงกว่าค่ะ

Content Image

วิธีนับประจำเดือนสิ่งสำคัญในการวางแผนตั้งครรภ์

     ประจำเดือน🩸 คือสิ่งที่ผู้หญิงเรามีทุกเดือนกันอยู่แล้ว แต่ถ้าพูดถึง การนับประจำเดือน หลายคนอาจจะสงสัยว่านับยังไง ทำไมต้องนับ จริงๆแล้วการนับประจำเดือนมีความสำคัญอย่างมากค่ะ เพราะเป็นการสังเกตการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย หากคุณแม่กำลังเตรียมตัวตั้งครรภ์🤰 สิ่งที่สำคัญและควรใส่ใจ คือการนับประจำเดือนเพราะเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนในการวางแผนการตั้งครรภ์ค่ะ💁‍♀️ทำความเข้าใจกับประจำเดือน✨ประจำเดือนประจำเดือน เกิดจากการลอกตัวของเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกที่หลุดออกมาทุกรอบเดือนของผู้หญิง👱‍♀️ ซึ่งจะแตกต่างกันไป  โดยส่วนมากจะเกิดขึ้นในทุกๆ 21-35 วัน แต่ละรอบใช้เวลา 3-7 วัน การที่ร่างกายของเราต้องมีการสร้างเนื้อเยื่อโพรงมดลูกใหม่เสมอ ก็เพื่อให้ร่างกายมีความพร้อมต่อการฝังตัวของตัวอ่อน เกิดเป็นวงโคจรของรอบเดือน ซึ่งอาจจะปรับเปลี่ยนได้ตามระดับของฮอร์โมนเพศของผู้หญิงด้วยค่ะ✨ข้อควรรู้เกี่ยวกับประจำเดือนโดยปกติแล้ว รอบเดือนจะมีทุกๆ 28 วันค่ะ  แต่ก็อาจเปลี่ยนไปตามอายุ หากอายุยังไม่ถึง 21 ปี จะมีระยะห่างประมาณ 33 วัน หากอายุ 21 ปีขึ้นไปแล้ว โดยทั่วไปจะมีระยะห่าง 28 วัน และหากอายุ 40 ปีขึ้นไป👩‍🦳จะมีระยะห่างลดลงเรื่อยๆ หรือประมาณ 26 วันค่ะ โดยเฉลี่ยแล้วเลือดจะหลั่งประมาณ 5 ถึง 12 ช้อนชา บางคนอาจจะมีอาการก่อนมีประจำเดือนเช่น เจ็บเต้านม ท้องอืด หงุดหงิดได้ง่าย🤯 เชื่อว่าวันนั้นของเดือนผู้หญิงทุกคนก็รู้กันดีว่าอารมณ์ขึ้นลงได้ง่ายค่ะ✨ทำไมต้องนับประจำเดือนเรานับประจำเดือนเพื่อทำให้เรารู้ วันไข่ตก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์🤰สำหรับคุณแม่ที่กำลังวางแผนตั้งครรภ์ได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ เนื่องจากการตกไข่จะเกิดขึ้นแค่เดือนละครั้ง ไข่ที่พร้อมผสม จะรออยู่ที่ตำแหน่งปลายท่อนำไข่ได้เพียงแค่ 12-24 ชม.เท่านั้นของในแต่ละเดือน หากมีการปฏิสนธิเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ได้ ไข่ก็จะเข้าไปฝังตัวในเยื่อบุหนังมดลูก แล้วกลายเป็นตัวอ่อน เรียกว่าเกิดการตั้งครรภ์ขึ้น แต่ถ้าไข่นั้น ไม่ปฏิสนธิภายใน 14 วัน ก็จะเป็นเลือดประจำเดือน🩸ออกมาตามปกติค่ะ ดังนั้นการที่คุณแม่นับประจำเดือน จึงเป็นการวางแผนที่ดีสำหรับคุณแม่ที่กำลังรอคอยการมีลูกน้อย👶ค่ะนับประจำเดือนให้รู้วันไข่ตก🗓️เรียนรู้วิธีนับประจำเดือนเริ่มจากคุณแม่ ควรจดบันทึก📝วันที่ประจำเดือนมาไว้ทุกๆ เดือนสม่ำเสมอเป็นเวลา 8-12 เดือน แล้วนำมาคำนวณ ดังนี้ค่ะ1. คำนวณเพื่อหาความยาวรอบเดือน ให้คุณแม่ลองนับย้อนไปวันแรกที่มีประจำเดือนครั้งเดือนล่าสุด🩸 จนถึงวันแรกที่มีประจำเดือนของเดือนที่ผ่านมา เช่น เดือนล่าสุดที่ผ่านมาคือวันที่ 8 มกราคม เดือนที่ผ่านมาก็คือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ เราจะได้ความยาวรอบเดือนคือ 30 วันค่ะ2. หาวันตกไข่ที่แน่นอน มีวิธีง่ายๆคือการเอาความยาวรอบเดือน มาลบด้วยระยะเวลาที่ไข่ตก เช่น มีประจำเดือนวันล่าสุดคือวันที่ 8 มกราคมจากวันนี้ ให้เรานับไปอีก 16 วัน เราก็จะได้วันไข่ตก คือวันที่ 23 กุมภาพันธ์ นั่นเองค่ะ เมื่อคุณแม่ได้รู้วันไข่ตกที่แน่นอนแล้ว💯 ก็สามารถนัดแนะกับคุณพ่อ👨 มีเพศสัมพันธ์ในช่วงก่อนวันไข่ตก หรือ หลังวันตกไข่ประมาณ 2 วัน เพื่อเพิ่มโอกาสให้ไข่และอสุจิได้มาเจอไข่ เพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์นั่นเองค่ะ 👉เทคนิคง่ายๆในวันไข่ตกการมีเพศสัมพันธ์ก่อนไข่ตกประมาณ 1-2 วัน จะทำให้อสุจิได้ไปรอที่รังไข่ เพื่อเจอกับไข่ที่จะตกลงมา แล้วทำการปฏิสนธิจนเกิดการตั้งครรภ์ขึ้น🤰 โดยคุณแม่ๆที่มีรอบเดือนมาอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน คือ 28 วัน วันไข่ตก ก็คือวันที่ 14 ของรอบเดือนค่ะ แต่การตกไข่ของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป ให้สังเกตจาก 2 สัปดาห์ก่อนวันประจำเดือนมา จะเป็นช่วงไข่ตกค่ะ🔎สังเกตอาการไข่ตก ในช่วงตกไข่อุณหภูมิ🌡️ในร่างกายของคุณแม่จะสูง ตอนเช้าจะลดลงเล็กน้อย และจะเพิ่มขึ้นในช่วง 24 ชั่วโมงหลังการตกไข่ค่ะ สังเกตว่าจะมีตกขาวมากขึ้น และมีลักษณะเมือกบาง💦 คล้ายไข่ขาว โดยทางการแพทย์จะเรียกตกขาวนั่นว่า มูกที่ปากมดลูก (Cervical Mucus) เป็นมูกที่จะช่วยให้อสุจิเข้าไปผสมกับไข่ได้ง่ายขึ้น ปากมดลูกกว้างขึ้นและมีอารมณ์ทางเพศมากขึ้นค่ะ😍 ถ้ามีอาการข้างต้น ก็ให้คุณแม่รู้ได้เลยค่ะ ว่าวันไข่ตกมาถึงแล้ว

Content Image

ท่าโยคะสำหรับคนมีลูกยาก

     คุณแม่ที่กำลังวางแผนการตั้งครรภ์🤰หลายคนอาจจะกำลังมองหาวิธีการออกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์อยู่ใช่ไหมคะ จริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องออกกำลังหนัก แต่การออกกำลังกายเบาๆอย่างโยคะ🧘‍♀️ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ สามารถเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์และลดภาวะการมีบุตรยากสำหรับคุณแม่ที่มีบุตรยากได้ค่ะ โดยจะมีท่าโยคะท่าไหนที่จะช่วยให้คุณแม่ได้มีลูกน้อยสมใจ ไปดูกันเลยค่ะ💁‍♀️ท่าโยคะเพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์🧚‍♀️ท่าเทพธิดา เริ่มกันที่ท่าง่ายๆ โดยคุณแม่อยู่ในท่ายืนตัวตรง🧍‍♀️ ค่อยๆ ย่อเข่า กางขาทั้งสองข้างออกให้กว้างทำมุมฉากกับพื้น นำมือทั้งสองข้างจับที่เอว ลำตัวและลำคอเหยียดตรง สายตามองตรงไปข้างหน้า แล้วพยายามยืนค้างท่านี้ไว้ให้ได้นานที่สุดนะคะเพราะท่านี้จะช่วยสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อต้นขา🦵รวมถึงสะโพกค่ะ🐎ท่าอาชา ชื่ออาจะดูแปลกไปสักหน่อย ไม่ได้ให้คุณแม่ทำท่าม้า🐴นะคะ มาเริ่มกันที่คุณแม่ยืนตัวตรง ปลายเท้าชิดติดกัน ควบคุมลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ😮‍💨 จากนั้นก้าวขาข้างขวาเหยียดตรงไปที่ด้านหลังปลายเท้าแตะลงบนพื้นยกส้นเท้าขึ้น ระวังไม่ให้หัวเข่าแตะพื้น จากนั้นงอเข่าซ้ายลงทำมุม 90 องศา กดน้ำหนักลงไปที่สะโพก พนมมือค้างไว้🙏 แล้วคลายท่า และสลับข้าง ทำซ้ำท่าเดิม ซึ่งท่านี้จะช่วยเพิ่มออกซิเจนภายในร่างกาย ช่วยลดอาการปวดตามร่างกายได้ดีค่ะ🦋ท่าผีเสื้อท่านี้คุณแม่เริ่มที่นั่งหลังเหยียดตรงค่ะ จากนั้นนำมือจับฝ่าเท้า🦶ทั้งสองข้างประกบเข้าหากัน ดึงเข้ามาหาลำตัว ยึดตัวตรงพร้อมกับการหายใจเข้า😮‍💨 ค่อย ๆ โน้มตัวทีละนิดลงที่พื้นด้านหน้า พยายามกดเข่าลงให้ติดพื้นนะคะ หายใจออก ท่านี้จะช่วยให้สะโพกของคุณแม่ขยายกว้างขึ้น ผ่อนคลายกล้ามเนื้อช่วยลดอาการปวดประจำเดือน🩸ได้อีกด้วยนะคะ🦅ท่านกอินทรี เริ่มจากคุณแม่อยู่ในท่ายืนตัวตรง🧍‍♀️ ให้คุณแม่ยกขาด้านขวาขึ้นแล้วค่อยๆงอเข่าวางบนเข่าขาซ้าย ให้ข้อเท้าขวาเกี่ยวไว้กับข้อเท้าซ้าย พยายามย่อเข่าซ้ายลงให้ได้ที่สุด พนมมือท่าไหว้🙏 และค้างท่านี้ประมาณ 5-10 วินาที⏳ แล้วสลับข้างทำอีกข้างในท่าเดิม ซึ่งท่านกอินทรีจะช่วยในเรื่องของสมาธิ🧘‍♀️ ลดการปวดเมื่อยขา ลดการปวดหัวไหล่ และยังป้องการเป็นตะคริว🌉ท่าสะพาน เป็นหนึ่งในท่าที่ท้าทายแต่เชื่อว่าคุณแม่ทำได้แน่นอนค่ะ💯 เริ่มที่คุณแม่นอนราบบนพื้น แยกขา🦵ทั้งสองข้างห่างกัน งอเข่าขึ้นดึงเท้าทั้งสองข้างเข้าใกล้กับก้นให้ได้มากที่สุด จากนั้นใช้มือจับที่ข้อเท้าหรือถ้าจับไม่ถึงก็วางมือลงบนพื้น ยกสะโพกและหน้าอกขึ้นจากพื้น ให้หน้าอกชิดคาง ท่านี้ทำค้างไว้ประมาณ 5-10 วินาที⏳ คุณแม่ค่อยๆ หย่อนก้นลงให้ติดพื้น เหยียดเท้าเข้าสู่ท่านอนหงาย  ทำท่านี้บ่อยจะช่วยเรื่องกล้ามเนื้อส่วนหลังหลัง ส่วนหน้าท้อง และอุ้งเชิงกรานให้แข็งแรงขึ้น อีกทั้งสามารถช่วยลดความเครียดและอาการซึมเศร้า😢ได้อีกด้วย💫ท่าบริหารมดลูกหมุนก้นกระดกหน้าและหลังให้คุณแม่เริ่มจากยืนแยกขาออกจากกันย่อเข่า หลังจากนั้นให้ขยับก้นกบเป็นวงกลม⭕️ หมุนช้า ๆ ไปทางขวาแล้วหมุนซ้ายกลับ หลังจากนั้นกระดกก้นกบไปข้างหน้าและข้างหลังให้สุดเลย ทำแบบนี้ 3 เซ็ตค่ะ✨ท่าขมิบการขมิบนั้นจะช่วยบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรง ได้ด้วยการเกร็งกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานเหมือนการกลั้นอุจจาระ💩ปัสสาวะโดยให้เกร็งค้างไว้นับ 1 ถึง 5 แล้วคลาย ทำต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เมื่อกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานแข็งแรง ป้องกันปัญหามดลูกต่ำมดลูกหย่อนได้ท่าโยคะเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้มากแค่ไหน👉เพิ่มโอกาสมากขึ้นถึง 3 เท่าจากผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่าผู้หญิงที่ฝึกโยคะ🧘‍♀️มีโอกาสประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์มากขึ้นถึง 3 เท่า หลังจากฝึกโยคะท่าเฉพาะ เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่ไม่ได้ฝึก รู้อย่างนี้แล้ว คุณแม่มีกำลังใจในการฝึกโยคะเพื่อลูกน้อย👶แล้วใช่ไหมคะ👉ฝึกโยคะอย่างสม่ำเสมอเมื่อเราได้เรียนรู้ท่าโยคะทั้ง 8 ที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์🤰กันไปแล้ว คุณแม่ควรทำวันละ 5 ท่า ท่าละ 10-15 ครั้ง เป็นประจำสม่ำเสมออย่างน้อย 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ควบคู่ไปกับการฝึกสูดลมหายใจเข้าช้าๆ😮‍💨 แต่ละครั้งควรสูดให้สุดถึงช่องท้องและปล่อยออกช้าๆ อย่าให้มีเสียง อีกอย่างที่สำคัญและขาดไม่ได้เลยคือ การฝึกผ่อนคลายร่างกายง่ายๆเช่น การนอนราบไม่เกร็งร่างกาย ก็สามารถช่วยคลายความเครียด ส่งผลให้คุณแม่มีสุขภาพจิตที่ดี🥰 ถือเป็นอีกปัจฉัยสำคัญที่ส่งผลให้คุณแม่ได้มีลูกน้อยสมใจค่ะ

Content Image

วิธีนับวันตกไข่ เพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์

     การนับวันตกไข่เป็นอีกวิธีที่เพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์🤰 แต่คุณแม่รู้หรือไม่คะ ว่าวันตกไข่นั้นจะเกิดขึ้น เพียงแค่เดือนละครั้งเท่านั้น ดังนั้นคุณแม่ที่กำลังเตรียมความพลาดในการตั้งครรภ์ จะนับพลาดไม่ได้เลยค่ะ แต่จะนับอย่างไรไม่ให้พลาด วันนี้เรามีวิธีการนับวันตกไข่ และความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับวันตกไข่มาฝากแม่ๆแล้วค่ะ เราไปดูกันเลย💁‍♀️รู้จักวัน ตกไข่✨การตกไข่ การตกไข่ หรือ วันไข่ตก เป็นไปธรรมชาติของระบบสืบพันธุ์ในผู้หญิงที่เกิดขึ้นทุกเดือน🗓️ โดยแต่ละรอบเดือนจะมีช่วงเวลาประมาณ 28-35 วัน โดยเราสามารถเริ่มนับวันแรกที่มีประจำเดือนมา คือวันที่ไข่ตกนี้เองค่ะ จะเป็นวันที่ไข่ใบที่สุกที่สุดออกมาจากรังไข่ไปยังส่วนปลายของท่อนำไข่ การที่คุณแม่นับวันหลังจากที่มีประจำเดือน🩸เพื่อจะคำนวณว่าวันไหนคือวันที่ไข่จะตก และถ้าคู่รักมีเพศสัมพันธ์ในวันนั้นก็จะสามารถเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้มากขึ้นค่ะ✨วงจรการตกไข่ในรอบ 1 เดือน จะมีการตกไข่เพียง 1 ครั้ง☝️ จึงเป็นโอกาสที่สำคัญมากค่ะ เพราะช่วงที่ไข่จะพร้อมรอการผสมจะมีช่วงเวลาอยู่แค่ 12-24 ชั่วโมงเท่านั้นในแต่ละเดือน ถ้าหากมีการปฏิสนธิหรือมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลานี้ไข่ก็จะไปฝังตัวกับเยื่อบุผนังมดลูกกลายเป็นตัวอ่อน เกิดเป็นการตั้งครรภ์ขึ้น🤰 แต่ถ้าไข่ไม่ถูกปฏิสนธิหรือผสมไม่สำเร็จ อีก 14 วันหลังจากนั้นก็จะกลายเป็นประจำเดือนปกติ อย่างที่ผู้หญิงเป็นประจำเดือนทุกเดือนนั้นเองค่ะวิธีการนับวันตกไข่อย่างไรให้ได้ผล💫การนับวันตกไข่ด้วยตัวเอง สำหรับคุณแม่ที่ประจำเดือนมาปกติ สม่ำเสมอทุกเดือน สามารถนับวันตกไข่ด้วยตัวเองได้ค่ะ การนับวันตกไข่ด้วยตัวเองจะค่อนข้างแม่นยำ เพราะโดยปกติแล้วผู้หญิงจะมีรอบเดือนทุก 28 วัน⏳ โดยให้นับหลังจากวันที่ประจำเดือนมาเป็นวันที่ 1 ซึ่งวันที่ 14 จะเป็นวันที่ตกไข่ ถ้าต้องการให้มีลูกก็ให้มีเพศสัมพันธ์ประมาณ 1-2 วันก่อนไข่ตก เนื่องจากอสุจิจะรอปฏิสนธิอยู่ในรังไข่ได้ประมาณ 2  วัน ซึ่งจะพอดีกับวันตกไข่ นับวันรอการทำภารกิจเพื่อมีลูกน้อย👶สมใจได้เลยค่ะ💫ชุดตรวจการตกไข่ช่วยนับวันไข่ตกสำหรับคุณแม่ที่มีประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอในแต่ละรอบเดือน แน่นอนว่าการใช้อุปกรณ์เข้ามาช่วยตรวจการตกไข่ ก็จะสามารถบอกวันตกไข่ได้อย่างแม่นยำ💯มากขึ้นค่ะ โดยมีวิธีการตรวจง่ายๆ โดยชุดตรวจการตกไข่จะมีวิธีการดูผลตรวจคล้ายกับชุดตรวจครรภ์มากค่ะ คุณแม่หลายคนรู้วิธีการดูผลอยู่แล้ว คือการตรวจด้วยปัสสาวะ แนะนำให้คุณแม่ตรวจหลังจากมีประจำเดือนประมาณ 10-12 วัน โดยระยะเวลาที่เหมาะสมกับการตรวจคือการปัสสาวะในช่วงบ่ายโมงถึง 2 ทุ่ม🕗 เพราะปัสสาวะจะมีความเข้มข้นของแอลเอชมากที่สุด ผลตรวจ 1 ขีด คือไข่ยังไม่ตก 2 ขีดคือ ไข่ตกแล้วนั้นเองค่ะวิธีสังเกตอาการตกไข่💦ตกขาวเยอะกว่าเดิม หากช่วงนี้คุณแม่มีอาการตกขาวมากกว่าปกติ มีลักษณะเป็นเมือกบาง คล้ายไข่ขาว นั่นอาจเป็นอาการของไข่ที่กำลังจะตกค่ะ โดยทางการแพทย์จะเรียกตกขาวนั่นว่า มูกที่ปากมดลูก (Cervical Mucus) ซึ่งมูกชนิดนี้เป็นมูกที่จะช่วยให้อสุจิเข้าไปผสมกับไข่ได้ง่ายขึ้น😍มีอารมณ์ทางเพศมากขึ้นหากช่วงนี้คุณแม่รู้สึกมีอารมณ์ทางเพศมากขึ้น อาจเป็นอาการของวันตกไข่ค่ะ เพราะในช่วงไข่ตก ผู้หญิงจะมีอารมณ์ทางเพศสูงขึ้น เนื่องจากเป็นปฏิกิริยาทางร่างกายที่มีการสูบฉีดเลือด🩸มากขึ้น ทำให้ผู้หญิงมีอารมณ์มากขึ้น และนอกจากนี้ฮอร์โมนในร่างกายจะช่วยให้ร่างกายของผู้หญิงมีน้ำมีนวลอีกด้วยนะคะ🌡️อุณหภูมิร่างกายที่เพิ่มขึ้น ในช่วงเวลาตกไข่ อุณหภูมิในร่างกายของคุณแม่จะสูงขึ้น ตัวอุ่นๆ เนื่องจากฮอร์โมนและเลือดที่สูบฉีดเพิ่มขึ้นทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น🍼อาการเจ็บคัดเต้านม คุณแม่อาจมีความรู้สึกเจ็บตึง คัดที่หน้าอก เป็นหนึ่งในอาการของร่างกายที่กำลังอยู่ในช่วงไข่ตก เนื่องจากฮอร์โมนมีปริมาณที่สูงขึ้น⬆️กว่าปกติค่ะ😖ปวดท้องน้อยข้างเดียว  คุณแม่บางคนอาจมีอาการปวดที่ท้องน้อยนิดๆข้างเดียวที่เกิดขึ้นได้ค่ะ อาการเหล่านี้เกิดจากร่างกายได้มีการเปลี่ยนแปลงระบบเจริญพันธุ์ภายในให้เหมาะสมสำหรับฝังตัวของตัวอ่อน

Content Image

การฉีดสีดูท่อนำไข่ควรทำตอนไหนดีนะ?

       คำว่า 'สี' ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงสีในวิชาศิลปะที่เรารู้จักกันทั่วไป แต่หมายถึง 'สารทึบรังสี' คุณผู้อ่านหลายท่านอาจไม่คุ้นเคยกับคำนี้ ไม่ทราบว่ามันคืออะไร จำเป็นหรือไม่ที่ต้องฉีด หรือมันเข้ามามีบทบาทเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ได้อย่างไร ที่สำคัญที่สุดคือเป็นอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ บทความนี้จะค่อยๆพาคุณผู้อ่านไปทำความรู้จักกับสารทึบรังสีและการใช้ประโยชน์ในเชิงการตรวจระบบสืบพันธ์ุเพศหญิงกันค่ะสารทีบรังสีคืออะไรสารทึบรังสีเป็นสารที่....แพทย์หรือนักรังสีการแพทย์จะนำเข้าสู่ร่างกายของผู้ป่วยในส่วนที่ต้องการให้ความสนใจเป็นพิเศษ เมื่อทำการเอกซเรย์ ก็จะสามารถมองเห็นอวัยวะที่ได้รับสารทึบรังสี🩻อย่างชัดเจน จะเห็นได้ว่า การฉีดสารทึบรังสีเข้าอวัยวะของผู้ป่วยก็เปรียบเสมือนการใช้ปากกาเน้นคำ ไฮไลท์อวัยวะภายในที่แพทย์สนใจ ซึ่งในปัจจุบัน สารทึบรังสีเป็นสารที่ปลอดภัยต่อร่างกายของมนุษย์ และไม่ใช่ทุกการเอกซเรย์จำเป็นต้องใช้สารทึบรังสีค่ะบทบาทของสารทึบรังสีต่อการตรวจภายในปัจจุบันสารทึบรังสีถูกนำมาใช้ในการตรวจอย่างแพร่หลาย หนึ่งในเทคนิคที่ใช้สารทึบรังสี คือ การฉีดสีเพื่อตรวจท่อนำไข่ ศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า 'Hysterosalpingography' หรือสามารถเรียกย่อๆได้ว่า HSG โดยแพทย์จะให้คุณผู้หญิงที่ต้องทำการตรวจภายในขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ขาหยั่ง หลังจากนั้นจะสอดเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อเปิดช่องคลอดและทำความสะอาดมดลูก ต่อจากนั้นแพทย์จะสอดท่อขนาดเล็กผ่านปากมดลูกเข้าไปภายในมดลูกเพื่อใส่สารทึบรังสีเข้าภายใน และทำการถ่ายภาพเอกซเรย์เพื่อตรวจสอบการไหลของสี ซึ่งจะทำให้แพทย์สามารถตรวจสอบรูปร่างทั่วไปของมดลูกได้ และมีส่วนช่วยในการตรวจ🔍วินิจฉัยภาวะมีบุตรยากได้ค่ะผลข้างเคียง? ควรตรวจช่วงไหน?ผลข้างเคียงของการทำ HSGในคุณผู้หญิงที่ไม่มีความปกติของสุขภาพอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังการตรวจ คุณผู้หญิงอาจมีเลือดออกจากช่องคลอดอย่างกระปิดกระปอย แต่คุณผู้หญิง👩ที่มีภาวะท่อนำไข่อุดตันอาจต้องพบเจอกับอาหารปวดเบาๆ แต่มักเป็นไม่นานค่ะ ส่วนน้อยอาจมีอาการติดเชื้อ ซึ่งสังเกตได้จากตกขาวที่มีกลิ่นเหม็นผิดปกติหลังการตรวจ 2-4 วัน บางรายอาจมีอาการแพ้สารทึบรังสี แต่สามารถเกิดขึ้นได้น้อยมากค่ะ เพราะแพทย์จะมีวิธีการทดสอบก่อนฉีดสารทึบรังสีอยู่แล้วควรตรวจ HSG ช่วงไหน และต้องเตรียมตัวอย่างไร    ช่วงเวลาที่เหมาะกับการตรวจจะเป็นช่วง 7-12 วันหลังมีประจำเดือนครั้งล่าสุดค่ะ สิ่งสำคัญคือต้องมั่นใจว่าไม่ได้กำลังตั้งครรภ์ในระหว่างตรวจ ในส่วนของการเตรียมตัว คุณผู้หญิงอาจทำการรับประทานยาแก้ปวด💊ในกลุ่ม NSAID 400-600 มิลลิกรัมได้ค่ะ เพราะระหว่างฉีดจะมีแรงดันภายในมดลูกเพิ่มขึ้นเล็กน้อยทำให้เกิดอาการปวดเบาๆ และควรงดกิจกรรมทางเพศหลังวันมีประจำเดือนครั้งล่าสุดจนไปถึงวันที่ตรวจเลยค่ะ    จะเห็นได้ว่าวิธีการดังกล่าวค่อนข้างต้องใช้ระยะเวลาในการเตรียมตัว และต้องมีการวางแผนก่อนตัดสินใจตรวจ ไม่สามารถตรวจอย่างปุบปับได้หากมีเงื่อนไขทางสุขภาพร่างกายไม่เหมาะสม แต่คุณผู้หญิงที่ต้องการตรวจไม่ต้องกังวลค่ะ หากได้ปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตรวจ แพทย์จะสามารถเลือกช่วงเวลาในการตรวจที่เหมาะสม และพิจารณาถึงผลข้างเคียงของการตรวจ คุณผู้หญิงก็จะมีแพทย์ช่วยประเมินข้อดีข้อเสียค่ะ ว่าควรตรวจหรือจำเป็นต้องตรวจหรือไม่

Content Image

มีน้ำเชื้อแต่ไม่มีอสุจิได้ด้วยหรือ?

         คุณผู้อ่านทราบหรือไม่คะว่า น้ำเชื้อของคุณผู้ชายนั้น ไม่ได้ประกอบไปด้วยตัวอสุจิเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีสารอาหารของตัวอสุจิ และสารเคมีที่ช่วยรักษาคุณภาพของตัวอสุจิให้เป็นปกติอีกด้วย ดังนั้นเมื่อคุณผู้ชายเสร็จกิจหลังมีเพศสัมพันธ์หรือหลังฝันเปียก ปริมาณของน้ำเชื้อที่ออกมาไม่สามารถบ่งบอกได้ทั้งหมดว่า ตัวอสุจิของคุณผู้ชายมีปริมาณในน้ำเหล่านั้นมากเช่นเดียวกันหรือไม่ มีคุณภาพดีหรือไม่ ถ้าอย่างนั้นคุณผู้ชายจะทราบได้อย่างไรว่าอสุจิของตนเองมีคุณภาพแค่ไหน เราไปดูกันต่อเลยค่ะตรวจสอบคุณภาพของตัวอสุจิได้อย่างไรแน่นอนว่าในประเด็นนี้...ต้องใช้เทคโนโลยีและเครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์👨‍⚕️เข้ามาช่วยค่ะ โดยจะสามารถประมาณจำนวนของตัวอสุจิได้ ว่ามีปริมาณอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่ อีกทั้งยังสามารถตรวจสอบลักษณะของตัวอสุจิว่าสมบูรณ์หรือไม่ เคลื่อนไหวได้ดีหรือเปล่า หากไม่พบตัวอสุจิเลย แพทย์จะแยกตัวอสุจิจากน้ำเชื้อด้วยวิธีการปั่นเหวี่ยงด้วยความเร็วสูง ซึ่งจะทำให้อสุจิตกตะกอน ดังนั้นหากมีอสุจิอยู่จริง แพทย์จะสามารถตรวจสอบได้ค่ะสาเหตุที่ตรวจน้ำเชื้อแล้วไม่พบตัวอสุจิ🕺ท่อทางเดินอสุจิอุดตันดังนั้นอสุจิจึงว่ายออกจากลูกอัณฑะไม่ได้ ซึ่งอาจเกิดจากการที่คุณผู้ชายทำหมัน ความอักเสบ หรือความผิดปกติที่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งในระบบสืบพันธุ์เพศชาย รวมไปถึงโรคทางเพศสัมพันธ์ด้วยค่ะ🕺สาเหตุอื่นๆที่ไม่ได้เกิดจากท่อทางเดินอสุจิอุดตันส่วนหนึ่งเกิดจากความผิดปกติของระบบต่อมมีท่อและไร้ท่อในร่างกาย ส่งผลให้ฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติตามมา ส่งผลให้ระบบสืบพันธุ์เพศขายไม่สามารถสร้างอสุจิได้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการติดเชื้อจนระบบสืบพันธุ์อักเสบ ส่งผลให้การสร้างเซลล์อสุจิหยุดชะงัก บ้างก็เกิดจากสาเหตุทางพันธุกรรมที่ผิดปกติในตัวเพศชายเองจะวินิฉัยสาเหตุได้อย่างไร🔍การตรวจวัดฮอร์โมนในร่างกายด้วยการเจาะเลือด วิธีนี้จะทำให้ทราบได้ว่าคุณผู้ชายผิดปกติจากการอุดตันของท่อนำอสุจิ หรือเป็นเพราะสาเหตุอื่นที่ทำให้ไม่สามารถตรวจพบอสุจิได้🔍การตรวจความสมบูรณ์ของท่อทางเดินอสุจิ ว่ามีการอักเสบ บวม หรืออุดตันหรือไม่🔍การนำชิ้นเนื้อเล็กๆจากลูกอัณฑะไปตรวจว่ามีความผิดปกติอะไรในเซลล์บริเวณอัณฑะ ซึ่งอาจรบกวนความสามารถในการสร้างอสุจิหรือไม่    คุณผู้อ่านจะเห็นว่า วิธีการที่ใช้ตรวจสอบคุณภาพของอสุจิจากคุณผู้ชาย รวมถึงตรวจสอบความผิดปกตินั้น ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้น คุณผู้ชายท่านใดที่วางแผนจะเป็นคุณพ่อในอนาคต หากมีโอกาสควรไปตรวจสุขภาพของตนเอง ไม่เพียงแต่การตรวจสุขภาพทั่วไปของร่างกาย แต่รวมถึงการตรวจสมรรถภาพทางเพศและการสืบพันธุ์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าอายเลยค่ะ ไม่ว่าจะในคุณผู้ชายหรือคุณผู้หญิง เพราะหากเกิดความผิดปกติขึ้นมาจะได้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ และสามารถรักษาได้อย่างทันท่วงทีค่ะ

Content Image

เมื่อใดที่ควรบอกคนรอบข้างว่าคุณตั้งครรภ์

เมื่อคุณพบว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์ ใจนึงคุณก็ดีใจสุดๆ อยากจะบอกญาติๆ และเพื่อนๆให้ได้ทราบข่าวดีในครั้งนี้ของคุณ แต่อีกใจนึง คุณก็คงอยากจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าการตั้งครรภ์ของคุณปกติดีทุกอย่างแล้วค่อยประกาศให้ทุกคนทราบ ซึ่งความจริงแล้วการตัดสินใจนั้นก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความสบายใจของคุณแม่แต่ละคน เมื่อไหร่ที่ควรบอกคนรอบข้างว่าคุณตั้งครรภ์?ควรบอกสามีเมื่อไหร่ดี?บางคนอาจจะบอกสามีทันทีที่ทราบว่าตนเองตั้งครรภ์🤰 แต่ก็มีบางคนที่เลือกที่จะไม่บอกข่าวดีในทันทีเพราะกลัวว่าจะเกิดการแท้งไปซะก่อนหรือจากเหตุผลอื่นๆ ซึ่งทั้งตัวคุณและสามี👨จะต้องใช้เวลาในการวางแผนให้พร้อมกับชีวิตใหม่ที่จะเกิดมา รวมถึงปรับตัวและให้เวลากับตนเองควรจะบอกคนอื่นๆเมื่อไหร่ดี?คุณและสามีสามารถใช้เวลาเพื่อให้พร้อมก่อนที่จะบอกคนอื่นๆ เมื่อคุณและสามีพร้อมและสบายใจที่จะตอบคำถาม📰ของทุกคนที่จะกระหน่ำเข้ามาแล้วคุณก็สามารถบอกข่าวกับคนรอบข้างได้ ซึ่งหลายๆคนก็บอกข่าวดีกับคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทก่อน คุณก็จะได้รับการดูแลเอาใจใส่และกำลังใจ💞มากมายเลยล่ะคะ ควรบอกเจ้านายและเพื่อนร่วมงานเมื่อไหร่ดี?ควรบอกเจ้านายให้ทราบเมื่อไหร่ดี?เจ้านายเป็นบุคคลที่สำคัญที่เราควรจะบอกให้ได้รับรู้ เพราะเขาจะได้ไม่มอบหมายงานที่มีความเสี่ยง⚡ต่อบุคคลที่กำลังตั้งครรภ์มาให้คุณ และเมื่อใกล้คลอดเขาจะได้ทราบว่าคุณมีความจำเป็นที่จะต้องลาคลอดค่ะควรบอกเพื่อนร่วมงานเมื่อไหร่จึงจะดี?เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ในไตรมาสแรก คุณแม่จะอาการแพ้ท้องรวมถึงมีอารมณ์แปรปรวนจึงทำให้คนรอบข้างเดาได้ไม่ยาก แต่หากคุณยังคิดไม่ออกว่าจะบอกกับเพื่อนร่วมงานว่าอย่างไร คุณอาจจะเลือกบอกว่าเพื่อนร่วมงานที่สนิท👩‍💼ก่อนได้ค่ะ แต่หากคุณต้องการจะเก็บเป็นความลับก็ไม่จำเป็นต้องบอกไปก็ได้ค่ะ ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่จะบอกข่าวดีให้ทุกคนทราบในที่ทำงาน คุณจำเป็นจะต้องบอกเจ้านายให้ทราบก่อน เพราะหากปล่อยให้ท่านไปเซอร์ไพร์พร้อมๆกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆแล้วล่ะก็ เจ้านายอาจจะมองว่าเราไม่ให้เกียรติก็เป็นได้ค่ะ🙎ซึ่งแต่ละคนก็มีการบอกต่อที่แตกต่างกันไป บางคนก็เลือกที่จะบอกแบบตัวต่อตัว บางคนก็เลือกที่จะใช้สื่อออนไลน์กระจายข่าว📱 ซึ่งไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะเลือกบอกข่าวดีนี้ด้วยวิธีไหนก็ตาม เมื่อคุณบอกออกไปแล้ว คุณก็จะได้รับคำอวยพรและได้รับคำแนะนำต่างๆ จากคนรอบข้าง บิลลี่ก็ขอดีใจกับคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะคะ!

Content Image

ฝันบอกเพศลูกในครรภ์ได้?

       คุณผู้อ่านหลายท่านคงคุ้นเคยกับบทความเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของเราในเชิงวิทยาศาสตร์และการแพทย์ใช่ไหมคะ แต่สำหรับบทความนี้ เราจะมานำเสนอในมุมมองของความเชื่อกันค่ะ ในการตั้งครรภ์ช่วงแรกๆ เป็นช่วงที่เจ้าตัวน้อยในครรภ์ยังเจริญเติบโตน้อยมาก และยังไม่สามารถใช้วิธีการอัลตร้าซาวนด์เพื่อหาเพศบุตรได้ หลายท่านคงอยากรู้เพศของลูกๆกัน จึงมีความเชื่อว่า ความฝันบางอย่างอาจบ่งบอกถึงเพศของเจ้าตัวน้อยในครรภ์ได้ค่ะ แต่ฝันว่าอะไรจะบ่งบอกเพศของเจ้าตัวน้อยได้บ้าง และบ่งบอกอะไรนอกจากเพศได้ เราไปดูกันเลยค่ะฝันแบบนี้อาจได้ลูกสาวฝันเห็นสัตว์เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น ปลาคาร์ฟ🎏 บ่งบอกว่าจะได้ลูกสาวที่ทั้งสวยทั้งเก่ง ฝันเห็นวัวบ่งบอกว่าจะได้ลูกสาวที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดและเป็นคนน่ารัก ฝันเห็นม้าโดยเฉพาะม้าสีขาว บ่งบอกว่าจะได้ลูกสาวที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ฝันเห็นผีเสื้อบ่งบอกว่าจะได้ลูกสาวเป็นคนสวยงาม ฝันเห็นนกพิราบบ่งบอกว่าจะได้ลูกสาวที่มีความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ฝันเห็นเป็ดแมนดาริน จะได้ลูกสาวที่เป็นคนสวยและมั่นคงในความรัก ฝันเห็นนกกระจอกมาหลบแถวแขนตนเองก็บ่งบอกว่าจะได้ลูกสาวเช่นเดียวกัน ฝันเห็นมังกรบ่งบอกว่าจะได้ลูกสาวที่สวยและนำความเจริญมาสู่ชีวิตครอบครัว และสุดท้าย ฝันเห็นเสือ บ่งบอกว่าจะได้ลูกสาวที่ฉลาด ไหวพริบดี มีอนาคตไกลค่ะฝันเห็นสิ่งเหล่านี้หรือสถานการณ์ดังนี้ไม่ว่าจะเป็น ฝันเห็นสร้อย📿 ฝันเห็นสตรอว์เบอรรี่ ฝันเห็นทะเล ฝันว่าได้แหวนทอง เครื่องสำอาง พวงมาลัยและดอกไม้ ล้วนบ่งบอกว่าคุณพ่อคุณแม่มีโอกาสได้ลูกสาวทั้งสิ้นค่ะฝันแบบนี้อาจได้ลูกชายฝันเห็นสัตว์เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น ฝันเห็นมังกรบิน🐉เข้าห้อง บ่งบอกว่าจะได้ลูกชายที่มีความอดทนและมีชื่อเสียง ฝันเห็นงูบ่งบอกว่าจะได้ลูกชายที่มีความสามารถ ทำให้คุณพ่อคุณแม่ภาคภูมิใจ ฝันเห็นวัว(ที่มีเขา) บ่งบอกว่าจะได้ลูกชายที่มีความกตัญญูมากๆ ฝันเห็นหมูป่า บ่งบอกว่าจะได้ลูกชายที่เติบโตแล้วมีชื่อเสียง ฝันเห็นเต่าบ่งบอกว่าจะได้ลูกชายที่มีความอดทน เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน ฝันว่าตนเองได้ขี่เสือก็บ่งบอกว่าจะได้ลูกชายที่เป็นคนมีชื่อเสียงในอนาคตเช่นเดียวกัน ฝันเห็นนกกระเรียน บ่งบอกว่าจะได้ลูกชายที่ผู้อื่นให้ความเคารพและนับหน้าถือตา ฝันเห็นไก่ตัวผู้ก็บ่งบอกว่าจะได้ลูกชายที่มีชื่อเสียงเช่นเดียวกัน ฝันเห็นช้าง โดยเฉพาะช้างเผือก บ่งบอกว่าจะได้ลูกชายที่เกิดมาเต็มเปี่ยมทางด้านบุญวาสนาค่ะฝันเห็นสิ่งเหล่านี้หรือสถานการณ์ดังนี้ไม่ว่าจะเป็น ฝันว่ามีคนเอาแก้วมาให้ ฝันว่าได้เพชรพลอย ได้ผ้าไหม ได้แหวนคู่💍 รวมไปถึงฝันว่าได้สัมผัสกับดิน ฝันว่าได้ขึ้นเขาหรือเห็นยอดเขาสูง สิ่งเหล่านี้ก็บ่งบอกว่าคุณพ่อคุณแม่มีโอกาสได้ลูกชายเช่นเดียวกันค่ะ    อย่างไรก็ตาม ความฝันที่บ่งบอกถึงเพศลูกนั้นเป็นเพียงความเชื่อเท่านั้น ตำราแต่ละแหล่งอาจทำนายเอาไว้ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าคุณพ่อคุณแม่จะเชื่อและศรัทธาในตำราแหล่งไหน อย่างไรก็ตาม ควรใช้วิจารณญาณในการตัดสิน เพราะสุดท้ายแล้ว วิธีการที่สามารถบ่งบอกเพศของเจ้าตัวน้อยได้ดีและแม่นยำมากที่สุดก็คือวิธีการทางการแพทย์ ซึ่งเป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์นั่นเองค่ะ

Village Baby Co., Ltd.

4F, 83 Uisadang-daero, Yeongdeungpo-gu, Seoul, Republic of Korea

Partnership inquiries babybilly.global@villagebaby.kr

|

|

Language

Copyright Baby Billy. All rights reserved.