Baby Image

ที่แอป Baby Billy คุณสามารถดูเนื้อหาเพิ่มเติมได้!

📖 บทความที่ถูกอ่านมากที่สุด

Content Image

สารให้ความหวานในน้ำอัดลมก่อให้เกิดมะเร็ง?

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ยืนยันการจำแนกสารให้ความหวานเทียม แอสปาร์แตมเป็นสารที่ 'มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' หรือ 'Possibly carcinogenics to humans' ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้  📢 ในขณะที่ข้อโต้แย้งด้านความปลอดภัยยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็กล่าวได้ว่าแอสปาร์แตมสามารถพบได้ในอาหารและเครื่องดื่มหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มลดน้ำหนัก เจลาติน หมากฝรั่ง ไอศกรีม ยาสีฟัน ยาอมแก้ไอ ผลิตภัณฑ์จากนม แล้วแบบนี้เราจะมีโอกาสเป็นมะเร็งหรือไม่ สารนี้จะหายไปจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเลยหรือไม่ คุณแม่หลายๆท่านกำลังสับสนกับเรื่องนี้🤰🏻 บิลลี่ จึงขออาสามาเช็กข้อเท็จจริงค่ะ!😉ทำความรู้จักกับแอสปาร์แตม🍹แอสปาร์แตม.....มีรสหวานกว่าน้ำตาล 200 เท่า แทบไม่มีแคลอรีเลย🙅🏻‍♀️ หลายๆท่านอาจจะยังไม่คุ้นกับชื่อของแอสปาร์แตม ซึ่งความจริงแล้วเราสามารถพบเจ้าแอสปาร์แตมนี้ในชีวิตประจำวันของเราได้ โดยสารนี้ใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากได้รับการอนุมัติในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2524 จึงเป็นสารปรุงแต่งอาหารที่ถูกนำมาใช้เพื่อให้อาหารมีรสหวาน 👅 ในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกโดยปัจจุบันยังคงมีการใช้ในอาหารและเครื่องดื่มแคลอรี่ต่ำ อย่าง Coke Zero, Diet Coke หมากฝรั่ง ลูกอม โยเกิร์ต ไอศรีม ซอส และขนมอีกหลากหลายชนิด แต่ไม่นานมานี้องค์กรอนามัยโลกหรือ WHO ประกาศให้เจ้าสารที่ถูกใช้ในเชิงเพื่อสุขภาพ กลายเป็นสารก่อมะเร็งแทน ข่าวนี้ทำให้ผู้อ่านหลายๆท่านหนักใจ เพราะเราต่างต้องเคยบริโภคสารนี้กันทั้งนั้น รู้จักประเภทของสารก่อมะเร็งองค์การระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง (IARC) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ WHO ได้ประกาศให้แอสปาร์แตมเป็นสารที่ 'มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' หรือ 'Possibly carcinogenics to humans'💥 ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้  โดย IARC ได้ระบุให้แอสปาร์แตมเป็นสารก่อมะเร็งในระดับ 2B ซึ่งการนิยามสารก่อมะเร็งของ IARC สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระดับใหญ่ๆดังนี้ระดับที่ 1 เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานบ่งชี้มากพอในเชิงสถิติ ว่าก่อให้เกิดโรคมะเร็งในมนุษย์ สารกลุ่มนี้ตามกฎหมายและข้อกำหนดขององค์กรอาหารและยาในแต่ละประเทศ จะต้องไม่ถูกเติมหรือมีการปนเปื้อนในอาหารอยู่แล้ว มักเป็นสารที่ถูกใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและวัสดุอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า ตัวอย่างสารในกลุ่มนี้ได้แก่ สารหนูหรืออาร์เซนิค หรือสารในกลุ่มเบนซีนค่ะระดับที่ 2A เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานงานวิจัยออกมายืนยันเช่นกันว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ยังถือว่ามีจำนวนงานวิจัยที่น้อย จึงได้แต่ใช้คำว่า 'มีแนวโน้มที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' แทน ยังไม่สามารถยืนยันได้เพราะยังมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือไม่เพียงพอค่ะ อย่างไรก็ตามสารในกลุ่มนี้ก็ยังมีหลักฐานบ่งชี้เพียงพอว่าก่อมะเร็งได้ในสัตว์ทดลองค่ะ ยกตัวอย่างเช่นซิลิกาที่ใช้ทำซองดูดความชื้นนั่นเองค่ะระดับที่ 2Bเป็นสารที่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ส่วนหนึ่งบ่งชี้ว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะยืนยัน ในกรณีของการก่อมะเร็งในสัตว์ก็มีแต่ยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าสามารถก่อมะเร็งได้เช่นเดียวกันค่ะ ซึ่งเจ้าแอสปาร์แตมเองก็อยู่ในกลุ่มนี้ นั่นทำให้เราสามารถตีความได้ว่า ทางองค์กรอนามัยโลกให้ข้อมูลว่าแอสปาร์แตมอาจจะก่อมะเร็งทั้งในสัตว์และในคน แต่ยังเป็นหลักฐานที่มีจำนวนน่าเชื่อถือไม่เพียงพอ เมื่อคำนวณความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติค่ะระดับที่ 3 เป็นสารที่ยังไม่มีข้อมูลว่าสามารถก่อมะเร็งได้ทั้งในร่างกายมนุษย์เองและร่างกายของสัตว์ค่ะสรุปแล้วแอสปาร์แตมอันตรายแค่ไหนแอสปาร์แตมก่อมะเร็งจริงหรือไม่?โดยความจริงแล้วสารระดับ 2B นั้นสามารถพบได้ในส่วนผสมในของที่เรารับประทานหรือใช้กันในชีวิตประจำวัน🍽️ อย่าง กรดคาเฟอิกในกาแฟ ว่างหางจระเข้ น้ำมันมะพร้าว รวมถึงกิมจิและผักดองอื่นๆด้วย ซึ่งคนไม่ได้ให้ความสำคัญเท่ากับสารทดแทนความหวาน หลักฐานจึงยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าแอสปาร์แตมจะทำให้เราเป็นมะเร็งจริงๆ แม้กระทั่งหลักฐานในสัตว์ทดลองเองก็ยังไม่ได้มีจำนวนมากพอที่จะยืนยันได้ จึงสามารถสรุปได้ว่า ไม่ได้ห้ามบริโภคเป็นอาหาร และไม่ได้หมายความว่าการรับประทานแอสปาร์แตมจะทำให้เกิดมะเร็ง แต่มีความจำเป็นที่จะต้องจำกัดปริมาณในการรับประทานสารให้ความหวานเทียมค่ะ🙌🏻  ยังสามารถรับประทานน้ำอัดลม 0% ได้หรือไม่?ยังสามารถรับประทานได้ค่ะ โดยค่าที่ปลอดภัยในการรับประทานแอสปาร์แตมจะอยู่ที่ไม่เกิน 40 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม👀 หากจะพูดให้เห็นภาพ หากคุณผู้อ่านมีน้ำหนักตัวประมาณ 50 กิโลกรัมนั่นหมายความว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานแอสปาร์แตมได้ในปริมาณที่ปลอดภัยไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ในน้ำอัดลมที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลหนึ่งกระป๋อง มักใส่แอสปาร์แตมไม่เกิน 300 มิลลิกรัม นั่นแปลว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานน้ำอัดลมชนิดนั้นได้ประมาณ 6-7 กระป๋องโดยประมาณเลย ซึ่งนับเป็นปริมาณที่ค่อนข้างเยอะมากต่อวัน หากไม่ได้ติดน้ำอัดลมกลุ่มนี้ เรามักจะกินไม่ถึงปริมาณที่มีความเสี่ยงว่าจะก่อมะเร็งอยู่แล้วค่ะ🫡 ข้อควรระวังสำหรับผู้ปกครอง🍹สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์จากการศึกษาที่ประกาศโดย American Society for Reproductive Medicine ในปี 2559 📑 สารให้ความหวานเทียมในเครื่องดื่ม 0% จะลดความสามารถของผู้หญิงในการปฏิสนธิและส่งผลต่อสุขภาพของเซลล์ไข่ โดยหากบริโภคในระหว่างตั้งครรภ์ ว่ากันว่าอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์และทำให้เด็กเสี่ยงเป็นโรคอ้วนได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มอัดลมที่มีระดับน้ำตาลสูงหากเป็นไปได้นะคะ!🙅🏻‍♀️🍹 แล้วคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังเลี้ยงลูกอยู่ล่ะ?หากคุณมีโรคทางพันธุกรรมที่เรียกว่าฟีนิลคีโตนูเรีย (PKU) ซึ่งไม่สามารถเผาผลาญแอสปาร์แตมได้ ก็ควรจะหลีกเลี่ยงการรับประทานสิ่งที่มีแอสปาร์แตม 🚫 โดยไม่ใช่เพียงคุณแม่และลูกน้อยเท่านั้นที่ควรเลี่ยง แต่ยังรวมถึงแม่ที่วางแผนหรือกำลังตั้งครรภ์ด้วย ในกรณีของทารกแรกเกิด ทารกจะได้รับการทดสอบที่โรงพยาบาลหลังคลอด ดังนั้นหากมีความผิดปกติก็สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนั้นไม่ต้องกังวลจนมากเกินไปนะคะ!แม้ว่ากระทรวงความปลอดภัยด้านอาหารและยาจะได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยของสารให้ความหวาน แต่คุณพ่อคุณแม่บางคนก็ยังคงกังวล ท่ามกลางความขัดแย้งเรื่องแอสปาร์แตม หัวหน้าสำนักโภชนาการและความปลอดภัยด้านอาหารของ WHO แนะนำว่าควรพิจารณา 'การดื่มน้ำแทนเครื่องดื่มที่มีรสหวาน🥛' แทนที่จะมองหาของหวานอื่นทดแทน ลองเลิกนิสัยชอบความหวานและพึ่งพาอาหารแปรรูป แล้วหันมาใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพกันดูนะคะ 💖

Content Image

เคล็ดลับฝึกให้ลูกพูดสองภาษาตั้งแต่เด็ก

ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวไกลทำให้เรามีโอกาสได้พูดคุยจากคนต่างชาติได้ง่ายขึ้น รวมถึงเมื่อทำงานก็มีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร ดังนั้นการสอนให้ลูกพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษาก็จะทำให้ลูกได้เปรียบ ซึ่งเราจะมีวิธีสอนลูกอย่างไรให้ลูกสามารถพูดสองภาษาได้อย่างเป็นธรรมชาติและเรียนรู้อย่างรวดเร็ว เราไปดูกันเลยค่ะ กลยุทธ์การสอนภาษาที่สองให้ลูกควรจะสอนลูกพูดภาษาที่สองตั้งแต่เมื่อไหร่ดี?คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนให้ลูกพูดภาษาที่สอง🔤ได้ตั้งแต่ลูกยังอยู่ในครรภ์ได้เลยค่ะ โดยอาจอ่านนิทาน หรือ เปิดเพลงให้ฟังโดยใช้ภาษาที่สองก็จะทำให้ลูกทำความคุ้นเคยและเริ่มรับรู้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เพราะหากคุณแม่พูดกับลูกในครรภ์🤰บ่อยๆ ลูกก็จะเกิดการเรียนรู้และมีความคุ้นเคยกับมันค่ะ หลังคลอด คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถสอนต่อได้เลยจนลูกอายุ 7 ขวบ เพราะหลังจากนั้นลูกจะมีความคิดเป็นของตนเองและอาจต่อต้าน หรือ อาจรู้สึกสับสน รวมถึงยังเป็นวัยที่เข้าเรียนและได้รับการเรียนจากโรงเรียน🏫แล้วด้วยค่ะ คุณพ่อคุณแม่คือกุญแจสำคัญเทคนิคที่ดีที่สุดในการสอนลูกพูดสองภาษาคือตัวคุณพ่อ👨และคุณแม่👩เองค่ะ เพราะหากคุณพ่อคุณแม่พูดภาษาที่สองกับลูกในชีวิตประจำวันทุกๆวันๆ ทำให้เป็นเรื่องปกติลูกก็จะสามารถพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นอีกหนึ่งภาษา🔤ที่ใช้ในทุกๆวัน โดยเวลาคุยกับลูกก็ไม่ควรแปลให้ลูก ให้เริ่มพูดคำง่ายๆก่อนเช่น Dog, Go, Yes, No แล้วค่อยพูดยาวๆเป็นประโยคก็จะทำให้ลูกค่อยๆเข้าใจเองค่ะ วิธีทำให้ลูกจดจำได้ง่ายขึ้นเปิดการ์ตูนให้ลูกดู📺คุณพ่อคุณแม่สามารถเปิดการ์ตูนที่เป็นภาษาที่สองให้ลูกฟัง เพื่อให้ลูกซึมซึบสำเนียงและการออกเสียงที่ถูกต้อง อาจเปิดเพลงที่เป็นภาษาที่สอง หรือ อ่านนิทานภาษาที่สองให้ลูกฟัง เมื่อลูกได้ฟังบ่อยๆก็จะทำให้ลูกจดจำคำศัพท์ต่างๆได้ดีขึ้นค่ะ โปสเตอร์ภาษา หนัง หนังสืออ่าน📖ก็เป็นอีกตัวช่วยที่เป็นประโยชน์เมื่อสอนภาษาที่สองให้เจ้าตัวเล็ก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถสอดแทรกภาษาที่สองผ่านกิจกรรมต่างๆได้ โดยไม่ควรทำให้เป็นเรื่องที่จริงจังเพราะลูกจะเกิดการต่อต้านและจะไม่อยากเรียนรู้ค่ะ ทำกิจกรรมอื่นพร้อมกับสอนภาษาไปด้วยเมื่อทำกิจกรรมพร้อมๆกับการเรียนรู้ภาษา🔤จะทำให้เด็กเรียนรู้และจดจำได้มากกว่า ดังนั้น เมื่อคุณพ่อคุณแม่พาลูกน้อยออกไปข้างนอกลองชวนลูกพูดคุยและลองบอกคำศัพท์ต่างๆ เมื่อพบสิ่งของหรือสิ่งมีชีวิตต่างๆระหว่างทาง หรืออาจเปิดเพลง🎶ภาษาที่สองให้ลูกเต้นตามจังหวะเพลงไปด้วย หรือจะชวนลูกดูหนังที่เป็นภาษาอังกฤษโดยไม่มีซับ เพื่อให้ลูกได้ดูและฟังการกระทำของตัวละคร และจับความหมายของคำพูดนั้นๆอยากให้พูดเก่งต้องให้ลูกคิดเป็นภาษาอังกฤษวิธีทำให้ลูกคิดเป็นภาษาที่สองเทคนิคสำคัญที่ทำให้ลูกเก่งพูดสองภาษาคือการฝึกให้ลูกคิดเป็นภาษาอังกฤษ🔤แล้วสื่อสารออกมาได้ทันทีโดยไม่ต้องแปลกลับจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ โดยพยายามสื่อสารกับลูกด้วยภาษาอังกฤษแบบไม่ต้องแปลความหมายให้ฟัง แม้ว่าในช่วงแรกของการพูดลูกอาจจะไม่เข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่พูดถึงอะไร คุณพ่อ👨คุณแม่👩สามารถบอกใบ้โดยการชี้หรือทำท่าทางประกอบเพื่อให้ลูกเข้าใจ แทนการแปลหรือบอกให้ลูกฟังแล้วลูกจะเข้าใจได้เองค่ะ ใช้ความอดทนการจะฝึกให้ลูกพูดภาษาที่สองนั้น คุณพ่อคุณแม่จะต้องใช้ความอดทน และรอให้ลูกเรียนรู้ คอยพูดคุยกับลูกเป็นภาษาที่สอง และชมเชยเมื่อลูกทำสำเร็จลูกก็จะมีกำลังใจในการพูดและเรียนรู้เองค่ะ 

Content Image

การพัฒนาสมองของลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์เป็นยังไงนะ?

     ทารกในครรภ์มีการก่อตัวของของระบบประสาทและสมอง🧠ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ในครรภ์ และเริ่มมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามช่วงอายุครรภ์ โดยคุณพ่อคุณแม่👫สามารถช่วยกระตุ้นการพัฒนาของลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ไปจนถึงหลังการคลอดของลูกได้เลยค่ะ นับตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์คุณพ่อคุณแม่อาจจะตื่นเต้นและรอวันที่ได้เจอหน้าลูกน้อย ดังนั้นทางเราจึงได้รวบรวมเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการกระตุ้นการพัฒนาสมองของทารกเพื่อให้ทารกมีพัฒนาการที่ดีสมวัยมาให้ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ทราบค่ะการกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ควรเริ่มเมื่อไหร่ดี?นับตั้งแต่กระบวนการปฏิสนธิสมบูรณ์ ไข่กับสเปิร์มจะสร้างเป็นตัวอ่อน ซึ่งตัวอ่อนในท้องของคุณแม่🤰ก็จะเริ่มพัฒนาไปเรื่อยๆ พร้อมกับสร้างอวัยวะรวมทั้งเซลล์สมองที่มีการเพิ่มจำนวนและขนาดอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นเนื้อสมองและเส้นใยประสาทที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายเส้นใยประสาทเพื่อทำหน้าที่ต่างๆ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่👫ควรเริ่มกระตุ้นการพัฒนาการสมองของลูกน้อยตั้งแต่อายุครรภ์ 8 สัปดาห์ ไปจนถึงอายุ 2 ขวบ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่คุณพ่อคุณแม่จะใส่ใจเรื่องการส่งเสริมการพัฒนาของลูกปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นให้ลูกมีพัฒนาการสมองที่ดีการที่ลูกจะมีพัฒนาการที่ดีนั้นมักเกี่ยวข้องกับหลายๆ ปัจจัย โดยปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อการพัฒนาของลูกน้อยในครรภ์ การพัฒนาการของวัยทารก รวมไปถึงการพัฒนาของระดับสติปัญญา🧠✨และการเรียนรู้ตั้งแต่ในครรภ์ไปจนถึงหลังคลอดมีดังนี้พันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาจากคุณพ่อคุณแม่พันธุกรรมของลูกน้อยนอกจากหน้าตา👶 สีผิว และสีผมที่ได้รับการถ่ายทอดมาแล้ว ยีน🧬ทั้งหมดในร่างกายยังมีความเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองและระบบประสาทด้วยการรับประทานอาหารและสารอาหารที่คุณแม่ได้รับในขณะตั้งครรภ์ช่วงตั้งครรภ์คุณแม่ต้องใส่ใจกับสุขภาพมากที่สุด ดังนั้นการใส่ใจเรื่องการรับประทานอาหารในช่วงนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะสารอาหารต่างๆ🥗 ที่คุณแม่รับประทานเข้าไปจะส่งผลกับทารกในครรภ์ ระบบการทำงานของร่างกายคุณแม่เสียงการทำงานของหัวใจ🫀 เสียงการบีบตัวของลำไส้ หรือเสียงการเคลื่อนไหวของกระแสโลหิตล้วนมีความสำคัญ เพราะลูกน้อยในท้องของคุณแม่สามารถได้ยิน👂เสียงพวกนี้ ซึ่งจะกระตุ้นเรื่องการพัฒนาการได้ยินของลูกน้อยอารมณ์ของคุณแม่ช่วงตั้งครรภ์หากคุณแม่มีความเครียดมาก😡ในระหว่างตั้งครรภ์จะส่งผลกระทบกับการพัฒนาสมองของลูกน้อยในครรภ์ด้วยวิธีการช่วยกระตุ้นให้ลูกฉลาดตั้งแต่อยู่ในครรภ์ลูบหน้าท้องกระตุ้นความรู้สึกการที่คุณแม่ลูบหน้าท้องเบาๆ🤰จะทำให้ลูกน้อยรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นระบบประสาทและสมองส่วนความรู้สึกได้ชวนลูกคุยบ่อยๆ หรือเปิดเสียงดนตรีให้ลูกฟังลูกน้อยในครรภ์ของคุณแม่สามารถได้ยินเสียงผ่านผนังหน้าท้อง🎧🤰 ซึ่งทารกในครรภ์จะได้ยินเสียงได้ดีตั้งแต่อายุครรภ์ 5 เดือนขึ้นไป การที่คุณพ่อคุณแม่มีการพูดคุยกับลูกส่งผลให้ทารกมีความคุ้นเคยจากเสียง และคุณแม่สามารถหยิบหนังสือ📖🗣️มาอ่านออกเสียงให้ลูกน้อยฟัง โดยเสียงจากคุณแม่จะกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อสมองที่มีความซับซ้อนของการได้ยิน ตีความเสียง และส่วนความทรงจำ นอกจากนี้การเปิดเพลง🎶ให้ลูกฟังทำให้ทารกในครรภ์มีพัฒนาการที่ดีทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ดีด้วย😄ส่องไฟฉายบริเวณผิวท้องของคุณแม่เพื่อกระตุ้นการมองเห็นคุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการส่วนการมองเห็น👁️ ด้วยการดึงดูดความสนใจของทารกในครรภ์ โดยการส่องไฟฉาย🔦 เลื่อนไป-มา หรือ เปิด-ปิดไฟฉาย พร้อมกับพูดคุยและเล่นกับลูกน้อยไปด้วย แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ทำในที่มืด🌌จะช่วยเรื่องการมองเห็นได้ดีกว่าที่สว่าง และควรเริ่มทำตั้งแต่ทารกเริ่มดิ้นไปจนถึงวันที่คลอด การนั่งโยกเก้าอี้ หรือการออกกำลังกายจะช่วยพัฒนาการเคลื่อนไหวของลูกคุณแม่สามารถนั่งโยกเก้าอี้🪑หน้า-หลัง พร้อมเอามือลูบหน้าท้องไปพรางๆ และเปิดเพลงฟัง🎵 หรือออกกำลังกายเบาๆ จะช่วยกระตุ้นเรื่องการพัฒนาด้านเซลล์ประสาทการทรงตัวและพัฒนาเรื่องระบบประสาทการสัมผัสของทารก     คุณแม่ควรใส่ใจเรื่องการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์🍲 หมั่นดูแลร่างกายให้พร้อมจนถึงวันคลอด และนอกจากการบำรุงร่างกายที่ดีแล้ว คุณแม่ควรออกกำลังกาย🚶‍♀️แต่พอเหมาะ ไม่ควรหักโหมจนเกินไป เพราะอาจจะเกิดอันตรายต่อตัวคุณแม่และทารกในครรภ์ได้ รวมไปถึงการให้ความสำคัญต่อการเสริมพัฒนาการของทารกในครรภ์ เพื่อเป็นการช่วยให้ลูกมีพัฒนาการการเรียนรู้ที่ดี โดยเน้นให้ความสำคัญเกี่ยวกับการกระตุ้นสมอง🧠และระบบประสาทตั้งแต่ลูกน้อยอยู่ในครรภ์ไปจนถึงหลังการคลอด🤱

Content Image

สีเทียนช่วยเสริมสร้างพัฒนาการได้อย่างไร?

ทราบหรือไม่ค่ะว่าสีเทียนนอกจากจะสร้างความเพลิดเพลินให้ลูกแล้วยังเสริมสร้างพัฒนาการและทักษะต่างๆได้อีกด้วยค่ะ โดยสีเทียนมีประโยชน์อะไรกับลูกบ้างนั้นเราไปดูกันเลยค่ะ ประโยชน์ของสีเทียนเมื่อลูกมีอายุ 3 ขวบ หรือเมื่อเข้าสู่วัยกำลังเจริญเติบโต ลูกจะเริ่มสนใจและเริ่มหยิบดินสอต่างๆมาขีดเขียนกัน ซึ่งหากให้ลูกได้ใช้สีเทียนระบายจะมีประโยชน์ต่างๆดังนี้ค่ะ ขั้นแรกของการจับดินสอสีเทียนนั้นมีขนาดใหญ่กว่าดินสอหรือปากกาทั่วไป ดังนั้น สีเทียนจึงเป็นจุดเริ่มต้นในการฝึกจับเขียนที่ดี เพราะขนาดของสีเทียน🖍️จะเต็มพอดีกับมือเล็กๆของลูก และเมื่อลูกเริ่มชินในการจับแล้ว อาจจะลองเปลี่ยนขนาดของสีเทียนให้เล็กลงเพื่อเตรียมพร้อมลูกให้จับปากกาและดินสอได้นั่นเองค่ะการประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อมือและตาการให้ลูกได้ระบายสีเทียนจะช่วยเสริมสร้างการทำง่ายร่วมกันของกล้ามเนื้อมือ✋และตา เพราะเขาจะต้องใช้มือหยิบสีเทียนและนำไปวาดบนกระดาษที่จัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งในช่วงแรกลูกอาจจะยังวาดไม่ค่อยเป็นรูปเป็นร่างเพราะกล้ามเนื้อมือของลูกจะยังไม่แข็งแรงพอ แต่เมื่อลูกโตขึ้นเขาจะค่อยๆขีดเส้นให้เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นเองค่ะทำความคุ้นเคยกับการขีดเขียนการระบายสีด้วยสีเทียน🖍️นั้นนอกจากจะช่วยในเรื่องของการฝึกประสานมือและตาแล้วยังช่วยให้ลูกได้เรียนรู้การลงน้ำหนักบนกระดาษ🎨 เรียนรู้การควบคุมทิศทางในการลงสี และแรงกดแค่ไหนจึงเหมาะสมในการเคลื่อนไหว ซึ่งในการทำเช่นนี้จะเป็นการฝึกทักษะการเขียนให้ลูก และเป็นพื้นฐานให้ลูกก่อนจะเริ่มฝึกเขียนตัวหนังสือโดยใช้ดินสอในอนาคตประโยชน์อื่นๆของสีเทียนเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์เมื่อลูกอยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโตเขาจะมีจินตนาการเป็นของตัวเอง และบางครั้งเราจะเห็นได้ว่าเขาจะอยู่กับจิตนาการของพวกเขา หรืออาจทำกิจกรรมหลายๆอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว ซึ่งการที่ลูกได้ระบายสี🖌️นั้นจะเป็นการเสริมสร้างจินตานาการของเขาให้เขาได้เล่าเรื่องราวที่อยู่ในหัว กลายเป็นรูปร่างที่สามารถมองเห็นได้ โดยเมื่อลูกวาดเสร็จ คุณพ่อคุณแม่สามารถถามถึงความหมายของรูปที่ลูกวาดได้ค่ะเป็นการฝึกสมาธิกิจกรรมการวาดภาพระบายสีนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้ลูกมีสมาธิมากขึ้น โดยเฉพาะถ้าลูกน้อยเป็นเด็กที่ไม่สามารถอยู่นิ่งได้ก็ลองให้ลูกจับดินสอเทียน🖍️ ดูนะคะ เพราะนอกจากที่ลูกจะได้เรียนรู้เรื่องของชื่อสี รูปร่างเรขาคณิตต่างๆแล้ว ยังเป็นการฝึกให้ลูกมีสมาธิได้อีกด้วย หรือคุณแม่อาจหาภาพที่มีการวาดมาให้แล้วเหลือเพียงลงสี เพื่อให้ลูกได้ฝึกความอดทนและความมีสมาธิที่จะระบายให้ครบและระบายไม่ออกนอกเส้นค่ะเรียนรู้เรื่องของสีการระบายสีเป็นการฝึกให้ลูกรู้จักกับชื่อของสีต่างๆ🎨 รวมถึงได้เรียนรู้เกี่ยวกับรูปร่างของภาพวาดที่ตนวาดระบายลงไป โดยคุณแม่สามารถสอดแทรกเนื้อหาเช่นการอาจวาดรูปทรงเรขาคณิตและค่อยๆบอกชื่อให้ลูกฟัง หรือ วาดแล้วนับจำนวนภาพที่วาดลงไปให้ลูกฟังเท่านี้ลูกก็จะได้เรียนรู้ผ่านการเล่นได้แล้วค่ะวิธีคลายเครียดการระบายสี🖍️เป็นกิจกรรมที่นักจิตวิทยาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ความคิด💡ของเด็ก ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็อาจให้กระดาษเปล่ากับลูกและให้ลูกใช้สีเทียนวาดระบายลงไป เพื่อที่ลูกจะได้ปลดปล่อยจินตนาการ ระบายอารมณ์และความเครียดของพวกเขาได้นั่นเองค่ะ 

Content Image

ใช้จุกหลอกดีหรือไม่?

วัยที่สามารถใช้จุกนมหลอกได้ คือทารกที่มีอายุตั้งแต่ 2 – 12 เดือน และห้ามใช้ในทารกแรกเกิดจนถึงช่วง 1 เดือนเพราะอาจทำให้ทารกสับสนระหว่างหัวนมของแม่และจุดหลอกและอาจทำให้ไม่ยอมดูดหัวนมแม่ได้จุกหลอกคืออะไร?✨จุกหลอกคือ?จุกนมปลอมที่ช่วยให้ทารกรู้สึกผ่อนคลายและช่วยเบี่ยงเบนความสนใจได้เวลาที่ทารกร้อง รวมถึงยังช่วยป้องกันทารกดูดนิ้ว👈 โดยมีทั้งวัสดุที่เป็นซิลิโคนและยาง ✨ควรให้ลูกเริ่มใช้จุกหลอกเมื่อไร?ควรจะรอให้ลูกอายุ 3-4 สัปดาห์ก่อนแล้วจึงค่อยให้ลูกใช้จุกหลอกได้ เพื่อให้ลูกได้มีเวลาทำความคุ้นเคยกับการดื่มนมจากอกของคุณแม่ แต่หากป้อนลูกโดยการใช้ขวดนม🍼ตั้งแต่แรกก็ไม่มีปัญหา สามารถเริ่มใช้จุกหลอกได้เลยเพราะมีลักษณะคล้ายกันค่ะ✨ควรให้ลูกหยุดใช้จุกหลอกเมื่อไร?คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกหยุดใช้จุกหลอกเมื่อลูกอายุ 6 เดือน - 1 ปี แต่ส่วนมากเด็กจะหยุดใช้ไปเองเมื่ออายุ 2-4 ปี โดยหากลูกติดจุกหลอกจนไม่สามารถเลิกได้ คุณพ่อคุณแม่จะต้องหาวิธีช่วยให้ลูกเลิกติดจุกหลอก หรืออาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ👩‍⚕️เพื่อหาทางแก้ไขค่ะข้อดีข้อเสียของการใช้จุกนมหลอก✨ข้อดีมีอะไรบ้างหากใช้จุกนมหลอกจะสามารถลดการร้องไห้😭เมื่อลูกร้องกินนมหลังเพิ่งทานนมได้ไม่นาน ทั้งยังช่วยลดการดูดปากและการเล่นน้ำลายได้ รวมถึงยังลดการดูดนิ้วในเวลานอนได้อีกด้วยจุกนมหลอกจะช่วยให้ทารก👶ผ่อนคลายและไม่งอแง ทำให้คุณแม่มีเวลาทำอย่างอื่นมากขึ้นระหว่างที่ลูกเพลินกับจุกนมหลอก และในเด็กที่ร้องโคลิก ก็จะสามารถใช้เพื่อช่วยลดการร้องได้ และยังช่วยลดอัตราการเสี่ยง SIDS ได้ด้วย✨ข้อเสียมีอะไรบ้างทารกอาจติดจุกนมหลอกมากจนทานนมแม่🥛น้อยลง และเมื่อดูดนมแม่น้อยลงอาจทำให้ขาดการดูดกระตุ้นจนทำให้ปริมาณน้ำนมของแม่ลดลงไปด้วย รวมถึงมีโอกาสที่ทารกจะกลับมาดูดนิ้วเหมือนเดิมหลังเลิกจุกนมหลอก และหากติดมากๆ เวลานำไปเก็บ หรือ ทำความสะอาดลูกก็จะร้องไห้งอแงทันที😭หากใช้จุกนมหลอกเพื่อช่วยให้ลูกหลับ💤 เมื่อนมหลอกหลุดออกลูกอาจร้องไห้ทันที รวมถึงมีโอกาสที่จะติดเชื้อจากการใช้จุกนมหลอกหากรักษาความสะอาดไม่ดีพอ เช่น การติดเชื้อในหูชั้นกลางข้อแนะนำในการใช้✨ควรทำสิ่งเหล่านี้หากเลือกที่จะใช้จุกนมหลอกควรเลือกอันที่คล้ายจุกนมยางที่สุดและควรทำความสะอาดให้บ่อยครั้งเหมือนการใช้ขวดนม และพยายามใช้จุกนมหลอกเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น อย่างเวลาลูกงอแง😭มาก หรือ เวลาเข้านอน✨ไม่ควรทำสิ่งเหล่านี้หากลูกน้อย👶ไม่ได้ร้องอยากดูดก็ไม่ควรเสนอให้ลูกดูดก่อน และไม่ควรให้ลูกดูดจุกนมหลอกนานเกินไป ควรให้ลูกน้อยเลิกก่อนอายุครบ 1 ขวบเพราะจะเลิกยากขึ้นหากเกินจากนั้น ให้พยายามหากิจกรรมเบี่ยงเบนความสนใจของลูกน้อยเมื่อลูกน้อยโตขึ้น

👉 List บทความ19-24 เดือน

Content Image

ให้ลูกนอนคนเดียว VS นอนกับพ่อแม่

     คุณแม่หลายๆท่านคงมีความสงสัยว่า ควรแยกห้องนอน🛌ให้เจ้าตัวน้อยนอนคนเดียว หรือควรให้เจ้าตัวน้อยนอนกับพ่อแม่เพื่อที่จะได้รู้สึกถึงความอบอุ่นดีกว่า แต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง เราไปหาคำตอบพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️ควรให้ลูกนอนคนเดียวตั้งแต่เกิดเลยดีไหม?💫ขึ้นอยู่กับช่วงอายุของเด็กสำหรับเด็กแรกเกิดไปจนถึงอายุ 2-3 เดือน แพทย์👩‍⚕️แนะนำให้ลูกควรนอนกับพ่อแม่ เพราะในช่วงกลางคืนเด็กจะนอนหลับได้ และมีอาการตื่นขึ้นในระหว่างคืน รวมไปถึงอาจหิวนมแม่อยู่🤱บ่อยๆนั่นเองค่ะ หากเมื่อลูกโตขึ้นคุณแม่สามารถพูดคุยกับลูกเพื่อพิจารณาว่าอายุเท่าไหร่ที่ลูกจะสามารถนอนคนเดียวและแยกห้องนอนได้โดยไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวข้อดีของการนอนห้องเดียวกันกับลูก✨ลูกรู้สึกถึงความอบอุ่นและปลอดภัยเมื่อลูกน้อยได้นอนห้องเดียวกันกับคุณพ่อคุณแม่ ก็จะรู้สึกถึงความอบอุ่นและการได้รับความรักจากพ่อแม่อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ลูกจะสามารถนอนหลับได้ดี😴และไม่วิตกกังวลใดๆ เมื่อเทียบกับการที่ลูกต้องนอนบนเตียงตามลำพัง✨เป็นการสานสัมพันธ์ในครอบครัวการที่ลูกได้นอนรวมกับคุณพ่อคุณแม่และพี่น้อง ถือเป็นการสานสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวในเชิงบวก ทำให้สุขภาพจิตของเด็กดีขึ้น🥰 และเด็กที่โตมาจะมีนิสัยรักครอบครัว และมีจิตใจโอบอ้อมอารี✨ลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุเมื่อลูกนอนรวมกับพ่อแม่ก็จะเป็นการช่วยลดการเกิดอันตรายต่างๆระหว่างกลางคืนได้🌃 เพราะคุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลลูกน้อยได้อย่างใกล้ชิดนั่นเองค่ะข้อเสียของการนอนห้องเดียวกันกับลูก👉ลูกติดว่าต้องนอนกับพ่อแม่เท่านั้น หากมีเหตุฉุกเฉินที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถนอนรวมกับลูก มีความจำเป็นต้องนำลูกไปฝากกับญาติหรือพี่เลี้ยง อาจจะทำให้ลูกรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง😢 น้อยใจคุณพ่อคุณแม่ และรู้สึกนอนไม่หลับเพราะคิดถึงพ่อแม่👉พ่อแม่อาจเผลอไปทับลูกหากว่าคุณพ่อคุณแม่นอนรวมเตียงเดียวกันกับลูกน้อย อาจมีเหตุที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่นอนกลิ้งไปทับลูก จนทำให้ลูกขาดอากาศหายใจ🤢และอาจจะอันตรายถึงชีวิตได้👉ขึ้นอยู่กับความพร้อมของตัวเด็กหากลูกของคุณแม่มีความพร้อมที่จะแยกห้องนอนได้เร็ว ก็จะเป็นการที่คุณพ่อคุณแม่สามารถฝึกให้ลูกนอนคนเดียวได้ แต่ในกรณีของลูกที่ค่อนข้างงอแง😭และติดการอยู่กับพ่อแม่ เด็กจะมีความพร้อมช้าที่จะแยกห้องนอนและปฏิเสธการแยกห้องนอนอยู่เสมอ     สรุปก็คือ การที่ให้ลูกนอนคนเดียวและการที่ให้ลูกนอนกับพ่อแม่นั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป ล้วนขึ้นอยู่กับการพูดคุยระหว่างพ่อแม่ รวมไปถึงความพร้อมของเด็ก👶แต่ละคน ทั้งนี้คุณแม่ควรพิจารณาว่าถึงในช่วงวัยไหนที่ควรฝึกให้ลูกแยกห้องนอน🛌 เพราะจะเป็นผลดีต่อตัวลูกเองในอนาคตค่ะ

Content Image

รับมือยังไง? เมื่อต้องพาลูกไปที่ทำงาน

     สำหรับคุณแม่หรือคุณพ่อท่านใดที่เป็นแม่หรือพ่อเลี้ยงเดี่ยว แม้กระทั่งครอบครัวที่ทั้งคุณผู้หญิงคุณผู้ชายต่างต้องทำงาน👩‍💻 และไม่มีสมาชิกครอบครัวท่านใดอยู่ดูแลลูกในวัยก่อนเข้าเรียน จะจ้างพี่เลี้ยงเด็กก็ไม่สะดวกใจเท่าไหร่นัก ดังนั้นการพาลูกไปที่ทำงานบ้างก็อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แน่นอนว่าเด็กเล็ก👶มักมีความซุกซนตามธรรมชาติของตนเองอยู่แล้ว ซึ่งอาจไปรบกวนการทำงานของเพื่อนร่วมงานท่านอื่นๆได้ ดังนั้นจะต้องพิจารณาประเด็นไหนก่อนพาลูกไปที่ทำงานบ้าง เราไปดูกันเลยค่ะ💁‍♀️ปัจจัยที่ควรพิจารณาเมื่อต้องพาลูกไปทีทำงาน👉ความเหมาะสมของสถานที่ทำงานอันดับแรกเลยก่อนจะตัดสินใจให้เจ้าตัวน้อยออกนอกสถานที่ ก็ต้องทำการประเมินและตัดสินใจก่อนว่าสถานที่นั้นเหมาะสมหรือไม่ใช่ไหมคะ ความเหมาะสมในที่นี้หมายถึงสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยค่ะ หากคุณพ่อคุณแม่ทำอาชีพที่ต้องอยู่ท่ามกลางเครื่องจักร🚜 เครื่องมือเครื่องใช้ที่ต้องการความสะอาด ห้องที่ต้องใส่เสื้อผ้าป้องกันเชื้อก่อโรค👩‍🔬 ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พนักงานหรือลูกจ้างห้ามพาคนนอกเข้ามาอยู่แล้ว ก็ไม่ควรให้ลูกไปด้วย🙅‍♀️ เพราะเสี่ยงให้เกิดความอันตรายแก่เจ้าตัวน้อยและแสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นมืออาชีพของผู้ปกครองเองค่ะ👉ห้ามพาลูกไปแบบไม่บอกกล่าวเพื่อนร่วมงานหากประเมินแล้วว่าที่ทำงานของผู้ปกครองนั้นเหมาะสมมากพอที่จะให้ลูกเข้าไปได้ สิ่งต่อไปที่ควรทำคือการขออนุญาตเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างาน👩‍💼ค่ะ ด้วยเหตุผลตามที่กล่าวไปก่อนหน้าว่าเด็กมักมาพร้อมกับความซุกซนและเสียงที่ดัง🗣️อยู่แล้ว เพื่อนร่วมงานบางท่านอาจต้องการความเงียบ🤫และสมาธิในการทำงานสูง และหากเพื่อนร่วมงานไม่ยินยอมก็ไม่ควรฝืนค่ะ เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะชอบเด็ก ลูกของเรานั้นอาจไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคนค่ะ👉เลือกวันที่จะพาไปให้เหมาะสมหากเพื่อนร่วมงานให้ความยินยอม👌แล้ว อันดับต่อไปคือการเลือกวันที่จะพาลูกไปสำรวจที่ทำงาน คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกวันที่ไม่มีประชุม และเป็นวันที่งานอาจไม่หนักมาก เพราะการเข้าประชุม📋หรือการต้องสะสางงานยุ่งจะทำให้ผู้ปกครองไม่มีเวลาดูแลเด็ก ต้องปล่อยเด็กไว้ตามลำพัง ซึ่งอาจทำให้เจ้าตัวน้อยไปรบกวนการทำงานของเพื่อนร่วมงานท่านอื่นๆได้ค่ะ👉บอกข้อควรปฏิบัติกับลูกแน่นอนว่าทุกสถานที่ย่อมมีกฎเกณฑ์แม้กระทั่งตอนเด็กอยู่ที่บ้านเองก็เช่นกัน หากจะพาเด็กไปนอกสถานที่ควรทำให้เด็กเข้าใจถึงข้อกำหนดของสถานที่นั้นๆ อะไรทำได้ อะไรห้ามทำ ในครอบครัวที่มีการอบรมและส่งเสริมให้ลูกปฏิบัติตามกฎระเบียบ📝ในบ้านอยู่แล้ว สำหรับข้อนี้ก็จะสบายขึ้นค่ะ เพราะเด็กจะมีพื้นฐานความเข้าใจในการทำตามกฎในระดับหนึ่งอยู่แล้ว👉มีพื้นที่ให้เด็กโดยเฉพาะคำว่าพื้นที่ให้เด็กนี้ไม่ได้หมายถึงมุมของเล่นหรือมุมสันทนาการค่ะ แต่หมายถึงมุมใดก็ตามที่ผู้ปกครองเห็นว่าปลอดภัย สะอาด และเป็นมุมที่จะรบกวนการทำงานของเพื่อนร่วมงานได้น้อยที่สุด ซึ่งควรเป็นมุมที่อยู่ในสายตา👀ผู้ปกครอง มีความใกล้ชิดกับผู้ปกครอง เผื่อว่าเด็กทำอะไรที่ไม่ควรทำก็จะได้ดูแลได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที เพื่อไม่ให้เพื่อนร่วมงานรู้สึกไม่ดีกับทั้งตัวเด็กเองและผู้ปกครองค่ะประโยชน์ของการพาลูกไปทำงานด้วย✨เป็นการเปิดหูเปิดตาลูก เจ้าตัวน้อยจะมีโอกาสได้เห็นอะไรใหม่ๆ👀 ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ บรรยากาศ รวมไปถึงการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ซึ่งเป็นการส่งเสริมพัฒนาการทางด้านการเข้าสังคมให้แก่เด็กโดยตรงค่ะ✨ฝึกให้เด็กรู้จักปรับตัวเป็นการฝึกให้เด็กรู้จักปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมและกฎระเบียบใหม่ๆ📝 แน่นอนว่าหากเปรียบเทียบข้อควรปฏิบัติระหว่างอยู่ที่บ้านกับที่ทำงาน ที่ทำงานล้วนมีกฎระเบียบที่ไม่เหมือนที่บ้านและมีความเคร่งครัดมากขึ้นอยู่แล้ว การเปลี่ยนบรรยากาศจะทำให้เด็กได้เรียนรู้ว่าแต่ละสถานที่นั้นมีแนวทางการอาศัยไม่เหมือนกัน และเติบโตเป็นคนเคารพ🫡กฎในสังคมค่ะ✨เป็นการฝึกความอดทนกับเด็ก เนื่องจากเด็กต้องปฏิบัติตามกฎของที่ทำงาน ต้องอยู่เงียบๆและสงบเรียบร้อย ซึ่งค่อนข้างฝืนธรรมชาติของเด็กในวัยนั้น การกระทำเช่นนี้จะทำให้ลูกรู้ว่าเราไม่สามารถทำตามใจตนเองไปได้ทุกอย่าง ในบางครั้งต้องอดทนกับสิ่งที่ไม่ชอบหรือไม่ได้อยากทำบ้างค่ะ     จะเห็นแล้วนะคะว่าการพาลูกออกนอกสถานที่หรือพาไปที่ทำงาน👩‍💻นั้น แม้จะดูเป็นที่ที่ไม่ได้เหมาะสมสำหรับเด็กเท่าไหร่ แต่ก็จะทำให้เด็กได้เรียนรู้อะไรมากมาย สิ่งสำคัญที่สุดคือความยินยอมจากเพื่อนร่วมงาน และคุณพ่อคุณแม่ต้องมั่นใจว่าสามารถควบคุมความประพฤติของเจ้าตัวน้อยให้อยู่ในกฎระเบียบได้ค่ะ

Content Image

วิธีกระตุ้นให้ลูกพูด

     ประเด็นหนึ่งที่เป็นประเด็นที่น่ากังวลสำหรับคุณพ่อคุณแม่ก็คือการที่เจ้าตัวน้อยอาจมีพัฒนาการที่ช้ากว่าเด็กคนอื่นๆใช่ไหมคะ และหนึ่งในพัฒนาการที่สังเกตได้ง่ายที่สุดก็คือทักษะการพูดนั่นเอง🗣️ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกของเรามีความเร็วในการพัฒนาทักษะการพูดที่ตามเกณฑ์ ไม่ได้ผิดปกติหรือล่าช้าใดๆ ทำไมเด็กจึงพูดไมไ่ด้เสียที และหากต้องการกระตุ้นให้เจ้าตัวน้อยพูดได้เร็วๆจะทำอย่างไรได้บ้าง บทความนี้มีคำตอบให้คุณผู้อ่านค่ะ💁‍♀️พัฒนาการด้านการพูดของเด็กในเกณฑ์ปกติ🌟สำหรับทารกอายุ 1-4 เดือนประมาณ 4 เดือนแรกของเจ้าตัวน้อยจะเป็นช่วงที่ทารกสนใจในเรื่องของเสียง มีการตอบสนองต่อเสียงอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเสียงสิ่งแวดล้อมรอบตัวหรือเสียงสนทนาของผู้คน🗣️ เป็นช่วงที่เด็กยังพูดเป็นคำไม่ได้อย่างแน่นอนค่ะ แต่จะเริ่มต้นทักษะการพูดด้วยการเปล่งเสียงอ้อแอ้ไม่เป็นคำแทน เป็นทักษะที่พัฒนามาจากการส่งเสียงงอแงระหว่างร้องไห้ค่ะ😭🌟สำหรับเด็กเล็กที่มีอายุประมาณ 5-6 เดือนหรือครึ่งปี เจ้าตัวน้อยจะตอบสนองต่อเสียงได้อย่างชัดเจนมากขึ้นผ่านพฤติกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะหันไปหาเวลาโดนเรียก มองหน้าคุณพ่อคุณแม่เวลาคุยด้วย เริ่มเรียนรู้ที่จะใช้ระดับ โทนเสียง🔊 หรือน้ำเสียงที่ต่างกันในแต่ละสถานการณ์เพื่อบ่งบอกว่ากำลังพอใจไม่สบายใจ กำลังมีความสุข🥰 สบายตัวหรือไม่🌟สำหรับเจ้าตัวน้อยที่มีอายุประมาณ 9-12 เดือนหรือประมาณ 1 ปี เด็กจะเริ่มพูดได้โดยเลียนแบบการออกเสียงจากคำที่ได้ยิน👂บ่อยๆ เริ่มเข้าใจประโยคไม่ซับซ้อนที่มาจากผู้ปกครอง มักออกเสียงเป็นคำๆไป เริ่มลอกเลียนแบบโทนเสียงและการออกเสียงของคุณพ่อคุณแม่หรือสมาชิกครอบครัว👨‍👩‍👧‍👦คนอื่นๆที่อยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิด แม้จะยังไม่สามารถเรียบเรียงประโยคหรือพูดคำนั้นๆได้อย่างชัดเจนและคล่องแคล่ว แต่ก็เป็นช่วงอายุที่พอจะสื่อสารเข้าใจแล้วค่ะ🌟สำหรับเด็กที่มีอายุประมาณขวบครึ่งเป็นต้นไปเด็กจะมีการออกเสียงที่ชัดเจนมากขึ้น เริ่มเรียนรู้ที่จะเรียงประโยค🔠ตามคุณพ่อคุณแม่ ทำให้สื่อสารได้เข้าใจมากยิ่งข้ึน ยิ่งในเด็กที่อายุประมาณ 2 ขวบขึ้นไปก็จะสามารถสื่อสารสองทาง🗣️กับคู่สนทนาได้ค่อนข้างดีและเข้าใจง่ายขึ้นแล้วค่ะสาเหตุที่ลูกพูดได้ช้า    จากเกณฑ์พัฒนาการตามปกติของเด็กที่เราได้กล่าวถึงไปในหัวข้อก่อนหน้า หากคุณพ่อคุณม่สังเกตแล้วว่าเจ้าตัวน้อยของเรามีพัฒนาการที่ช้ากว่าเกณฑ์ จะเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้างเราไปดูกันเลยค่ะ💫ฝึกให้ลูกพูดได้หลายภาษามากเกินไป ภาษาของแต่ละประเทศนั้นนอกจากจะมีคำศัพท์และตัวอักษร🔠ที่ต่างกันแล้ว ยังมีโครงสร้างประโยคที่มีผลต่อระบบความคิดของเด็กที่ต่างกันด้วย ดังนั้นการฝึกให้ลูกพูดได้หลายๆภาษาในวัยที่ยังเด็กเกินไปนั้นไม่ได้ส่งผลดีต่อเด็กเลย เพราะจะทำให้เด็กๆงงและไม่สามารถเข้าใจได้ถูกต้องแม้แต่ภาษาเดียวค่ะ💫ขาดการสื่อสารสองทาง คุณพ่อคุณแม่อาจเป็นฝ่ายพูดกับลูกอย่างเดียว ไม่ได้ตั้งคำถามหรือทำอะไรที่แสดงให้เขาเห็นว่าต้องการการตอบสนอง เด็กจึงไม่พยายามสื่อสารกับผู้ปกครองด้วยการพูดค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นหากปล่อยลูกไว้คนเดียว ไม่ค่อยได้พูดกับเด็ก เด็กยังมีโอกาสที่จะมีภาวะออทิสติกเทียมอีกด้วยค่ะ😶จะกระตุ้นพัฒนาการทางการพูดของเด็กได้อย่างไรวิธีที่ 1️⃣เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวน้อยกำลังพยายามออกเสียง🗣️ ให้คุยกับเขาอย่างใส่ใจและใจเย็น สอนเด็กออกเสียงแต่ละคำช้าๆ ลากเสียงยาวๆให้เด็กทำตามค่ะวิธีที่ 2️⃣หากลูกสงสัยและถามว่าสิ่งรอบตัวคืออะไร ให้ตอบคำถามเขาอย่างช้าๆและใจเย็น แม้จะโดนถามซ้ำๆในสิ่งเดิมๆก็ให้ตอบคำเดิมๆ เพราะการที่เขาได้ยินการออกเสียงและได้เห็นรูปปาก👄แบบชัดๆ ซ้ำๆจะทำให้เด็กเลียนแบบได้ง่ายและรวดเร็วขึ้นค่ะวิธีที่ 3️⃣เพิ่มกิจกรรมในการสื่อสารแบบสองทาง พูดง่ายๆก็คือกิจกรรมที่ต้องใช้การพูดคุยโต้ตอบ ยกตัวอย่างเช่นการเล่านิทาน📕ค่ะวิธีที่ 4️⃣ฝึกให้ลูกร้องเพลง🎤 เพราะการร้องเพลงนั้นเป็นการฝึกทักษะการออกเสียงและควบคุมเสียง จะทำให้เด็กพูดเป็นคำที่ชัดเจนได้รวดเร็วมากขึ้นค่ะวิธีที่ 5️⃣ให้โอกาสเด็กๆได้มีสังคม👯‍♀️ ซึ่งก็คือเด็กๆด้วยกันนั่นเอง เมื่อเจ้าตัวน้อยได้เจอเด็กๆคนอื่นก็จะเริ่มเรียนรู้ที่จะสื่อสารกัน เป็นอีกหนึ่งวิธีในการฝึกฝนทักษะการพูดที่เหมาะสมค่ะ     ข้อควรระวังและต้องการการดูแลเป็นพิเศษหนึ่งประเด็น เนื่องจากเป็นช่วงที่เด็กๆกำลังเรียนรู้การออกเสียงและพยายามที่จะเลียนแบบ หากเด็กๆได้ยินคำที่ไม่ดีหรือไม่เหมาะสมกับวัยมา เขาก็มีโอกาสที่จะพูดตามเช่นเดียวกันค่ะ หากคุณพ่อคุณแม่ได้ยินก็ควรตั้งสติและใจเย็นไว้ก่อน เพราะเด็กๆมักจะพูดไปโดยที่ไม่รู้ถึงความหมายและบริบทการใช้งานอย่างชัดเจน คุณพ่อคุณแม่ควรสอนว่าคำนี้ปกติแล้วจะถูกใช้ในสถานการณ์ไหน และลูกๆควรใช้หรือไม่ควรใช้ ก็จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางด้านภาษา🆎และสังคมให้เด็กได้ค่ะ

Content Image

วิธีปฐมพยาบาลเมื่อลูกกลืนสิ่งแปลกปลอมลงคอ

     เด็กเล็กนั้นเป็นวัยที่กำลังซน และเด็กมักจะชอบจับสิ่งของรอบตัวเข้าปาก👄อยู่เสมอ ทำให้คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยเฝ้าระวังไม่ให้คลาดสายตาโดยเด็ดขาด แต่ถ้าหากเกิดอุบัติเหตุเด็กนำสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในปากแล้วไปเกิดการอุดตันทางเดินหายใจ คุณพ่อคุณแม่ควรทำอย่างไรบ้าง ทางเราได้รวบรวมคำตอบมาให้ไว้ที่นี้แล้วค่ะ💁‍♀️วิธีสังเกตว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในปากลูก🔎สังเกตจากอาการที่ผิดปกติของเด็กเด็กจะมีอาการไอ😮‍💨สำลักหายใจไม่ออกและในบางรายอาจจะมีอาการเจ็บคอ ไม่ยอมทานอาหาร ปวดท้อง และอยากอาเจียนอยู่เรื่อยๆ แต่ในเด็กบางรายก็จะไม่แสดงอาการใดๆเลย แต่เมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่ง คุณพ่อคุณแม่จะเริ่มสังเกตเห็นสิ่งปกผิดปกติที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมของลูก ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรตรวจดูร่างกายของลูกอยู่เสมอเมื่อลูกกลืนสิ่งแปลกปลอมลงไปในคอแล้ว ต้องทำอย่างไรบ้าง?👉วิธีปฏิบัติตัวเบื้องต้นหลังจากพบว่าลูกได้กลืนสิ่งแปลกปลอมลงไป มีดังนี้- งดน้ำและอาหารทุกชนิด ก่อนนำลูกไปพบแพทย์- จดจำลักษณะของชิ้นส่วนแปลกปลอมที่หลุดเข้าไปในคอ เพื่อที่จะอธิบายให้แพทย์ฟัง- พาลูกไปทำการเอกซเรย์บริเวณช่องอกและช่องท้อง เพื่อตรวจหาสิ่งแปลกปลอม- ไม่ควรนำมือไปล้วงคอลูกเพื่อนำสิ่งแปลกปลอมออกมา เพราะอาจจะทำให้สิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปในทางเดินหายใจได้- หากเด็กมีอาการที่รุนแรงขึ้น ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุดวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น👶สำหรับเด็กอายุน้อยกว่า 1 ขวบ- ห้ามล้วงคอให้เด็กเด็ดขาด🙅‍♀️ และไม่ควรจับลูกห้อยหัวแล้วตบหลัง เพราะอาจทำให้สิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปจนอุดหลอดลม- จับเด็กนอนคว่ำบนท่อนแขนให้ศีรษะต่ำกว่าลำตัว แล้วใช้มือ✋ข้างที่ไม่ถนัด จับบริเวณขากรรไกรเพื่อประคอง แล้วใช้สันมือที่ถนัดกระแทกบริเวณกึ่งกลางของลูกอย่างแรง- จับเด็กนอนหงายบนท่อนแขนให้ศีรษะต่ำกว่าลำตัว จากนั้นใช้นิ้วชี้👆 และนิ้วกลางกดลงบนกระดูกกึ่งกลางหน้าอกลูกให้ต่ำกว่าหัวนมเล็กน้อย แล้วกดติดต่อกัน 5 ครั้ง- ทำสลับไปมาระหว่างใช้ส้นมือกระแทกหลัง และกดกระแทกหน้าอก สลับกันไปเรื่อย ๆ จนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะหลุดออกมา- หากเด็กหมดสติ ให้รีบพาไปส่งโรงพยาบาล🏥 แล้วกดหน้าอก 30 ครั้งสลับกับช่วยหายใจ 2 ครั้ง จนกว่าจะถึงโรงพยาบาล👦สำหรับเด็กที่มีอายุ 1 ขวบขึ้นไป- หากเด็กยังหายใจได้😮‍💨 ให้ตบหลังเบา ๆ เพื่อกระตุ้นให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกมาจากคอ- หากลูกพูดไม่ได้ ให้ยืนข้างหลังเด็ก แล้วสอดแขนเข้าใต้รักแร้ จากนั้นกำมือ✊ แล้ววางหัวแม่มือบริเวณกึ่งกลางท้องเด็ก สูงกว่าสะดือเล็กน้อย และกระตุกแรง ๆ จนกว่าสิ่งที่ติดคอลูกจะหลุดออกมา- หากเด็กหมดสติ ให้นำตัวส่งโรงพยาบาลทันที🏥 พร้อมกับใช้มือยกคางขึ้น และดันศีรษะเด็กให้แหงนไปข้างหลังมากที่สุด เพื่อเปิดทางเดินหายใจ- ช่วยเด็กให้หายใจด้วยการใช้นิ้วชี้ และนิ้วโป้งบีบจมูก👃 จากนั้นเป่าลมเข้าปาก 2 ครั้ง ถ้ามองเห็นสิ่งแปลกปลอม ให้ใช้นิ้วกวาดสิ่งแปลกปลอมออกมา หากมองไม่เห็นห้ามใช้นิ้วกวาด เพราะอาจทำให้สิ่งแปลกปลอมเข้าไปอุดกั้นทางเดินหายใจ- กดหน้าอก และช่วยให้ลูกหายใจต่อเนื่อง โดยกดหน้าอก 30 ครั้ง และช่วยหายใจ 2 ครั้ง ทำซ้ำกันประมาณ 5 รอบ จนกว่าแพทย์👩‍⚕️จะมาช่วยเหลือ หรือจนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะหลุดออกมา     อันตรายจากการที่ลูกหยิบสิ่งของแปลกปลอมเข้าไปในปากแล้วลงคอนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรให้การระมัดระวัง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของที่มีขนาดเล็กหรือสิ่งของที่มีขนาดใหญ่ เมื่อติดคอเข้าไปอาจไปอุดตันทางเดินหายใจจนทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรสอนลูกไม่ให้นำสิ่งของที่ไม่ใช่อาหารเข้าปาก👄 และไม่ควรปล่อยให้ลูกเล่นคนเดียว เพราะอันตรายสามารถเกิดขึ้นได้เสมอค่ะ

Content Image

วิธีสังเกตว่าลูกเสี่ยงเป็น "เด็กออทิสติก"

     เชื่อว่าการเจ็บป่วยของลูกน้อยเป็นสิ่งหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ไม่อยากให้เกิดขึ้นใช่ไหมคะ ไม่ว่าจะป่วยด้วยไข้หวัดธรรมดาหรือโรคที่ร้ายแรงก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ร้อยเปอร์เซนต์ค่ะ🙅‍♀️ เพราะว่าบางกรณีเวลาที่ลูกน้อยป่วยก็ไม่สามารถสังเกตอาการได้ แต่บางกรณีก็มีความผิดปกติทางร่างกายที่ชัดเจน ซึ่งในที่นี้เราจะพูดถึงอาการของเด็กออทิสติกกันค่ะ คุณพ่อคุณแม่ย่อมต้องการให้แน่ใจว่าลูกน้อยจะมีการเริ่มต้นชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ต้องพิจารณาคือการทำความเข้าใจสัญญาณและอาการของโรคออทิสติกสเปกตรัม (ASD) ที่ลูกน้อยของเราอาจแสดงออกมานะคะ เพื่อว่าคุณพ่อคุณแม่จะสามารถดูแลลูกน้อยได้อย่างสมควรค่ะ💁‍♀️ออทิสติกคืออะไรออทิสติกหรือที่รู้จักกันในชื่อโรคออทิสติกสเปกตรัม (ASD) เป็นโรคพัฒนาการที่ส่งผลต่อวิธีที่บุคคลสื่อสาร🗣️ มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และรับรู้โลกรอบตัวพวกเขา โดยมีลักษณะอาการที่หลากหลาย รวมถึงความยากลำบากในการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม พฤติกรรมซ้ำๆ และความท้าทายในการสื่อสารทั้งทางวาจาและอวัจนภาษาออทิสติก มีความแตกต่างกันไปอย่างมากในด้านความรุนแรงและผลกระทบต่อบุคคล โดยบางคนต้องการความช่วยเหลือที่สำคัญ ในขณะที่บางคนอาจมีชีวิตอิสระมากกว่า สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าคนออทิสติกแต่ละคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีจุดแข็งและความท้าทายที่แตกต่างกัน การแทรกแซง การบำบัด และการสนับสนุนตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยออทิสติกได้อย่างมากค่ะสัญญาณและอาการสิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าออทิสติกเป็นความผิดปกติของสเปกตรัม ซึ่งหมายความว่าอาการอาจมีตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึง รุนแรง แม้ว่าอาการอาจแตกต่างกันไปนะคะ แต่อาการที่พบบ่อยได้แก่ การขาดรอยยิ้มระหว่างเล่น เด็กออทิสติกอาจไม่แสดงพฤติกรรมทางสังคมโดยทั่วไป เช่น การยิ้ม😊หรือการแสดงความสุขระหว่างทำกิจกรรม บางคนก็อาจขาดความสนใจในผู้อื่น เด็กออทิสติกอาจดูเหมือนไม่แยแสหรือไม่ตอบสนองต่อปฏิสัมพันธ์ทางสังคม พวกเขาจะไม่สบตา แสดงความสนใจผู้อื่นเพียงเล็กน้อย หรือมีปัญหาในการทำความเข้าใจและตอบสนองต่อสัญญาณทางสังคมค่ะ หรือแม้กระทั่งการจำกัดหรือไม่มีการตอบสนองต่อชื่อ เด็กออทิสติกอาจไม่ตอบสนองเมื่อถูกเรียกชื่อ😐 เนื่องจากอาจมีปัญหาในการประมวลผลและทำความเข้าใจสัญญาณทางวาจา หรือการพูดล่าช้าหรือขาดหายไป เด็กออทิสติกบางคนอาจพัฒนาการพูดล่าช้าหรืออาจพูดไม่ได้เลย พวกเขายังอาจขาดความสามารถในการสื่อสารความต้องการ หรือความรู้สึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอีกอย่างคือเรื่องของการหลีกเลี่ยงการสัมผัสทางกายภาพ เด็กออทิสติกอาจไม่สนใจที่จะถูกอุ้มหรืออาจต่อต้านการสัมผัสทางกายภาพอย่างแข็งขัน พวกเขาอาจมีความไวต่อประสาทสัมผัสที่ทำให้การสัมผัสบางประเภทอึดอัดหรือล้นหลามสำหรับพวกเขาค่ะปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคออทิสติกในขณะที่ยังอยู่ระหว่างการวิจัยสาเหตุที่แท้จริงของออทิสติก แต่ปัจจัยบางประการอาจเพิ่มความเสี่ยงซึ่งรวมถึงปัจจัยทางพันธุกรรม ประวัติครอบครัวเป็นออทิสติกหรือภาวะทางพันธุกรรม🧬บางอย่างอาจเพิ่มโอกาสที่เด็กจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค ASD ค่ะพ่อแม่มีลูกตอนอายุเยอะ ผลการศึกษาพบว่าทั้งอายุมารดาและบิดา👩‍❤️‍👨ที่มีบุตรตอนอายุมากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการที่ลูกจะเป็นออทิสติกเล็กน้อยค่ะปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม การได้รับสารเคมีบางชนิดก่อนคลอด การติดเชื้อ🦠 หรือภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์อาจส่งผลต่อพัฒนาการของออทิสติกในบางกรณีนะคะ     ในแง่ของผลกระทบที่ออทิสติกส่งผลต่อเด็ก อาจส่งผลต่อพัฒนาการโดยรวม รวมถึงความสามารถทางปัญญา ทักษะทางภาษา และการทำงานแบบปรับตัวค่ะ การแทรกแซงตั้งแต่เนิ่นๆ และการบำบัดแบบกำหนดเป้าหมายสามารถช่วยให้เด็กออทิสติกพัฒนาทักษะและจัดการกับความท้าทายได้ ในขณะเดียวกันสำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นออทิสติก พวกเขาอาจยังคงเผชิญกับปัญหาทางสังคมและการสื่อสาร แม้ว่าปัญหาเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ผู้ใหญ่ที่เป็นออทิสติกบางคนอาจใช้ชีวิตอย่างอิสระและประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน💼 ในขณะที่คนอื่นๆ อาจต้องการการสนับสนุนและความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องในด้านต่างๆ ของชีวิต สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือด้วยการสนับสนุนและการอำนวยความสะดวกที่เหมาะสม ผู้ที่เป็นออทิสติกสามารถมีชีวิตที่สมบูรณ์และมีความหมายได้ค่ะ

Content Image

ทำอย่างไรดีเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมติดคอลูก!

เด็กวัยซนมักจะชอบนำของเข้าปาก เข้าจมูก เข้าหู ซึ่งเป็นความอยากรู้อยากเห็นตามวัยของลูก แต่หากคุณพ่อคุณแม่คลาดสายตาเพียงไม่กี่วินาทีก็อาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงกับลูกได้ ดังนั้นวันนี้เราจึงนำข้อมูลวิธีดูแลเจ้าตัวน้อยมาฝากกันค่ะ เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมในคอของลูก อาการเพื่อมีสิ่งแปลกปลอมในช่องปาก👄หากพบสิ่งแปลกปลอมในคอหรือช่องปากเช่น ก้างปลา🐟 เข็มกลัด ไม้จิ้มฟัน เม็ดถั่ว ถ่าย เหรียญ เด็กมักจะมีการไอ สำลัก มีเสียงแหบ หอบเหนื่อย หายใจดัง หายใจผิดปกติ อาจ อาเจียน รู้สึกเจ็บขณะกลืน กลืนลำบาก ซึ่ง อาการอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าอาหารที่หล่นลงไปนั้นหล่นเข้าไปในทางเดินอาหารหรือหลอดลมของลูก และอยู่ที่ตำแหน่งใดค่ะ การดูแลเบื้องต้นเมื่อพบสิ่งแปลกปลอมในปากในเด็กเล็กหากพบว่าลูกกำลังนำวัสดุแปลกปลอมเข้าปากให้นำสิ่งนั้นออกมาอย่างช้าๆ ไม่ควรทักเสียงดัง เพราะจะทำให้เด็กตกใจและอาจกลืนเข้าไปได้ หากลูกกลืนเข้าไปแล้วและหายใจไม่ออก🤢 สามารถช่วยเบื้องต้นได้โดยจับให้ลูกนอนคว่ำพาดที่ตัก ให้อกของลูกอยู่บนมือ✋ และท้องอยู่บนแขน ให้ศรีษะต่ำ จากนั้นใช้สันฝ่ามืออีกข้างหนึ่งตบไปที่ระหว่างสะบักทั้งสองข้างกลางหลังแรงๆ จนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะออกมาในเด็กโตถ้าเป็นเด็กโตให้คุกเข่าหรือยืนหลังเด็กแล้วใช้มือโอบจากด้านหลังจากนั้นกำมือเป็นกำปั้นอยู่ใต้ลิ้นปี่เหนือสะดือ วางมืออีกด้านทับบนกำปั้น👊แล้วออกแรงกดเข้าไปในท้องจนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะหลุดออกมาหากลูกมีการหายใจติดขัด🤢 หรือ ทำการช่วยเหลือแล้วแต่สิ่งแปลกปลอมยังไม่ยอมออกให้รีบพาส่งโรงพยาบาลโดยด่วนค่ะ ข้อควรระวังเมื่อทำการช่วยเหลือไม่ควรทำสิ่งนี้หากยังไม่เห็นสิ่งแปลกปลอมหรือเห็นไม่ชัดเจนไม่ควรล้วงมือ✋ เข้าช่องปากของลูก หรือ จับลูกห้อยศีรษะแล้วตบหลัง เพราะมีโอกาสที่จะทำให้สิ่งแปลกปลอมเข้าไปลึกขึ้นและเกิดภาวะการทางเดินหายใจอุดตันมากขึ้น โดยทางที่ดีควรจะพาลูกส่งโรงพยาบาล🏥ให้เร็วที่สุดจะดีกว่าคอยระมัดระวังความที่ลูกยังเล็ก👶และยังไร้เดียงสาลูกก็อาจจะหยิบจับอะไรใส่ปากใส่หูบ้าง ซึ่งของบางอย่างสามารถหลุดเข้าไปในปากของลูกได้ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรจะดูและตรวจสอบให้ดีว่ามีชิ้นส่วนไหนที่สามารถหลุดเข้าไปหรือไม่ซึ่งหากมีสิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปในปาก👄  คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความร่วมมือกับแพทย์ในการดูและคอยสังเกตว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของลูกหรือไม่ และคุณพ่อคุณแม่ควรคอยเก็บชิ้นส่วนเล็กๆต่างๆออกไปเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกหยิบเข้าปากและกลืนได้ค่ะ 

Content Image

วิธีกล่อมลูกนอน ทำแบบนี้ลูกหลับง่าย สบายทั้งคืน!

     กิจกรรมหนึ่งที่ถือเป็นสิ่งที่ท้าทายคุณผู้ปกครองอย่างมากก็คือการส่งเด็กๆเข้านอน😴 ด้วยความที่เจ้าตัวน้อยของเรานั้นมีอุปนิสัยที่แตกต่างกันออกไป บางคนหลับง่าย บางคนมีพลังงานล้นเหลือ แม้จะส่งเข้านอนแล้วก็ยังไม่ยอมนอนหลับเสียที วันนี้บทความของเราจึงพาคุณผู้อ่านมาดูถึงกิจกรรมที่มีส่วนช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ส่งเด็กๆเข้านอนได้ง่ายมากยิ่งขึ้น จะมีกิจกรรมอะไรบ้างนั้น เราไปดูพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️บรรยากาศของห้องนอนปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้เจ้าตัวน้อยของเรารวมถึงตัวเราเองนอนหลับได้ดี นั่นก็คือบรรยากาศของห้องนอนค่ะ🛌 โดยบรรยากาศที่ทำให้ห้องนอนของเราน่านอน ประกอบไปด้วยสิ่งต่างๆดังนี้ห้องนอนต้องเงียบ🤫 ขึ้นชื่อว่าห้องนอนแล้วสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือความเงียบ เพื่อทำให้ร่างกายของเราเข้าสู่สภาวะสงบได้มากที่สุด ความเงียบในที่นี้ไม่นับรวมถึงเสียงอื่นๆที่สร้างขึ้นเพื่อกล่อมเด็กนอน อย่างเสียงเล่านิทานของพ่อแม่ หรือเพลงบรรเลงเบาๆเพื่อกล่อมนอน คุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกใช้เสียงใน 2 ลักษณะที่กล่าวมาแบบเบาๆได้ค่ะห้องนอนต้องมืด🌌 แม้อาจจะมีหลายๆท่านที่โดยปกติแล้วนอนเปิดไฟ แต่จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์หลายๆอย่างนั้นก็ยืนยันว่าการนอนหลับในที่มืด นอนหลับแบบไม่มีแสงรบกวนนั้นทำให้ผู้นอนมีประสิทธิภาพในการนอนที่เต็มที่มากกว่า หากเจ้าตัวน้อยของเรากลัวความมืดจริงๆจนนอนไม่หลับ ก็อาจแก้ปัญหาโดยการเปิดไฟแสงส้มสลัวๆแทนการเปิดไฟแสงขาวจ้าๆค่ะใช้น้ำมันหอมระเหย🪻 เพื่อสร้างกลิ่นที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย บางบ้านอาจใช้เทียนหอมก็ไได้เช่นเดียวกัน แต่หากกลัวอันตรายจากการจุดไฟก็สามารถใช้น้ำมันหอมระเหยที่มาในรูปแบบของ Diffuser ไม่ว่าจะเป็นแบบเสียบก้านหอมหรือใส่เข้าไปในเครื่องพ่นความชื้นก็ได้เช่นเดียวกันค่ะ    ทำกิจกรรมต่างๆให้เป็นกิจวัตร    การฝึกฝนให้ร่างกายของเราได้ทำอะไรเหมือนเดิมทุกวันจนเป็นกิจวัตร จะเป็นการฝึกและบอกร่างกายว่า ณ เวลานี้เรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในช่วงใดของวัน หากเข้าสู่ช่วงเวลาที่ทำกิจกรรมเดิมๆก่อนนอนในแต่ละวัน ก็จะเป็นการบอกร่างกายว่าหากได้ทำกิจกรรมนี้ แปลว่าใกล้ได้เวลาที่จะเข้านอนแล้ว ร่างกายของเราก็จะเริ่มเข้าสู่สภาวะสงบและง่วงนอนไปเอง กิจกรรมเหล่านั้นจะมีอะไรบ้าง ไปดูกันต่อเลยค่ะรับประทานอาหารก่อนนอน🍽️ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการรับประทานอาหารก่อนนอนแบบกะทันหัน เช่น การรับประทานอาหารก่อนนอนเพียง 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะการกระทำเช่นนี้เป็นบ่อเกิดของโรคกรดไหลย้อนในอนาคตได้ ควรเว้นระยะห่างไว้อย่างต่ำประมาณ 2 ชั่วโมงก่อนนอนค่ะอาบน้ำก่อนนอน🛀 การอาบน้ำจะทำให้ร่างกายของเรารู้สึกสดชื่นและผ่อนคลาย เมื่ออาบน้ำเสร็จและเตรียมตัวนอนทันที ร่างกายของเราจะเข้าสู่สภาวะสงบ พร้อมนอนได้ไม่ยากนัก เช่นเดียวกับเจ้าตัวน้อยของเรานั่นเองค่ะทำโยคะก่อนนอน🧘‍♀️ โยคะในที่นี้ไม่จำเป็นต้องต้องเป็นท่ายากๆเลยค่ะ จะนับว่าเป็นการยืดเส้นยืดสายเงียบๆก่อนนอนก็ได้ เพราะหลังยืดเส้นยืดสาย กล้ามเนื้อของเด็กๆจะผ่อนคลายมากขึ้น และระหว่างที่ยืดเส้นยืดสายก็จะทำให้ร่างกายเข้าสูสภาวะสงบ ง่ายต่อการนอนหลับเช่นเดียวกันค่ะกล่อมเด็กๆด้วยตัวเองโดยปกติแล้ว เด็กๆที่ยังถือว่าเป็นเด็กเล็ก ยังไม่แยกห้องนอนหรือพึ่งเริ่มต้นแยกห้องนอนได้ไม่นาน จะมีอาการติดผู้ปกครองอยู่แล้ว ดังนั้นหากไม่มีคุณพ่อคุณแม่อยู่ใกล้ๆก็อาจนอนไม่หลับ คุณผู้ปกครองอาจสามารถใช้วิธีการกล่อมเด็กๆให้เข้านอนได้ดังนี้ค่ะเล่านิทานก่อนนอน📖การเล่านิทานให้ลูกฟังบ่อยๆก่อนนอนจะช่วยให้ลูกรู้สึกผ่อนคลาย แถมยังเป็นการทำให้ลูกสนิทมากขึ้นกับคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะคะร้องเพลงหรือเปิดเพลงกล่อมเด็กคลอตามเบาๆ🎶เปิดเสียงบรรยากาศบางอย่างที่ก่อให้เกิดความผ่อนคลายคลอตามเบาๆ บางท่านอาจรู้จักเสียงเหล่านี้ในชื่อ ASMR หรือ white noise นับเป็นเสียงที่มีความถี่สม่ำเสมอ สร้างความผ่อนคลายและความเพลิดเพลินได้ ยกตัวอย่างเช่น เสียงพัดลม เสียงน้ำตก💦 เสียงน้ำไหลเบาๆ     อ่านมาถึงตรงนี้ คุณผู้อ่านก็จะเห็นแล้วนะคะว่ามีวิธีส่งเด็กๆเข้านอน😴ที่หลากหลายมากให้ทุกท่านเลือกใช้ เจ้าตัวน้อยแต่ละคนก็อาจชื่นชอบหรือเหมาะสมกับวิธีการที่แตกต่างกันไป หากเป็นครอบครัวที่ยังไม่แยกห้องนอน คุณผู้ปกครองยังนอนกับเด็กๆอยู่ก็อาจเลือกใช้เป็นวิธีที่ตนเองชื่นชอบส่วนตัวได้เช่นเดียวกันค่ะ

Content Image

4 ขั้นตอนรับมือลูกโกรธแล้วขว้างปาสิ่งของ

     เชื่อว่ามีคุณแม่หลายๆท่านที่ต้องรับมือกับนิสัยของลูกที่โยนขว้างสิ่งของไปมาเมื่อรู้สึกโกรธ🤬หรือไม่พอใจ จึงถึงขั้นทนไม่ไหวถึงพฤติกรรมเหล่านี้ บทความนี้จะพาคุณแม่ไปทราบถึง 4 ขั้นตอนของการรับมือเมื่อลูกโกรธแล้วขว้างปาสิ่งของใส่ ควรแก้ปัญหายังไงบ้าง เราไปหาคำตอบพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️ทำไมลูกถึงชอบขว้างปาสิ่งของเมื่อรู้สึกโกรธ?✨ลูกจัดการกับความเครียดไม่เป็นด้วยความที่เด็ก👶อย่างไร้เดียงสาและไม่สามารถแยกแยะพฤติกรรมต่างๆในช่วงที่กำลังเรียนรู้ เด็กมีเพียงพัฒนาการด้านร่างกาย เช่น ทักษะทางด้านการจับสิ่งของต่างๆที่อยู่ใกล้มือ✋ และโยนสิ่งของออกไปนอกตัวเป็นสาเหตุว่าทำไมเมื่อลูกรู้สึกโกรธหรือไม่พอใจ ถึงทำการปล่อยสิ่งของนั้นออกจากมือ4 วิธีแก้นิสัยลูกชอบขว้างปาสิ่งของ👉วิธีที่ 1 ทำความเข้าใจในตัวเด็กคุณแม่ควรต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเด็กไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิด ดังนั้นจึงค่อยๆสอนเด็กอย่างใจเย็นโดยไม่ดุ🤫 หรือใช้เสียงสูงในการสอน สอนให้ลูกรู้จักว่าเมื่อรู้สึกไม่พอใจ หรือรู้สึก ไม่ควรโยนสิ่งของต่างๆ 👉วิธีที่ 2 ฝึกให้เด็กหยิบจับสิ่งของคุณแม่สามารถประยุกต์ใช้เกณฑ์ต่างๆมาเพื่อให้ลูกเข้าใจว่าเมื่อโยนหรือปาสิ่งของใดๆออกไปแล้ว ลูกต้องเป็นคนเก็บสิ่งของนั้นขึ้นมาเข้ามาอยู่ที่เดิม เช่น สร้างเกมเก็บของให้ลูกเก็บของเล่น🪀ที่เล่นแล้ว หรือสามารถให้ลูกเรียนรู้ผ่านทางสื่อออนไลน์เกี่ยวกับเกมที่ต้องเก็บไอเทมต่างๆ👉วิธีที่ 3 ให้รางวัลเมื่อลูกทำดีคุณแม่ควรให้รางวัลและชมเชย👏เมื่อลูกไม่โยนสิ่งของ หรือเก็บสิ่งของตามพื้นขึ้นด้วยตัวเอง เพราะการชมเชยนั้นจะทำให้เด็กรู้สึกได้ว่าพฤติกรรมที่ทำนั้นเป็นพฤติกรรมที่ถูกต้องและได้รับการสนับสนุนจากคุณพ่อคุณแม่👨‍👩‍👧นั่นเองค่ะ👉วิธีที่ 4 ลงโทษเมื่อทำผิด หากลูกได้ทำการขว้างปาสิ่งของลงพื้นและมีพฤติกรรมที่รุนแรง คุณแม่ควรแสดงออกอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และยืนกรานอยู่เสมอว่าหากเขาทำแบบนี้จะได้รับการลงโทษ🙅‍♀️ จนกว่าลูกจะหยุดพฤติกรรมดังกล่าวค่ะ     คุณแม่ควรค่อยๆบอกกล่าวและสอนลูก โดยเน้นพูดคุย🗣️เพื่อทำความเข้าใจ และงดการใช้อารมณ์ หรือการลงโทษลูกด้วยการตีลูก เพราะการใช้ความรุนแรง อาจส่งผลเสียต่อพฤติกรรมของลูก อาจทำให้ลูกมีนิสัยที่ก้าวร้าวมากขึ้นเมื่อโตไปค่ะ

Content Image

ระวัง! โรคลำไส้อักเสบรุนแรงในลูกเล็ก

     ประเด็นสุขภาพสำคัญสำหรับทารกแรกเกิดไปจนถึงเด็กเล็ก👶นั้นคงหนีไม่พ้นประเด็นปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายในร่างกายใช่ไหมคะ บทความนี้จะพาคุณผู้อ่านมาทำความรู้จักกับโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารโรคหนึ่ง ซึ่งก็คือ “โรคลำไส้อักเสบ” ว่ามีความสำคัญอย่างไรในเด็กเล็ก เจ้าตัวน้อยของเรามีโอกาสเป็นโรคดังกล่าวหรือไม่ สามารถป้องกันและรักษาได้อย่างไร💁‍♀️ทำความรู้จักโรคลำไส้อักเสบในเด็กโรคลำไส้อักเสบนั้นมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อก่อโรค ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัส🦠 เช่นไวรัสกลุ่มโรตา ที่ติดต่อได้ผ่านการสัมผัสกับสารคัดหลั่งผู้ติดเชื้อ เช่น เลือด🩸 น้ำลาย น้ำตา💧 ปัสสาวะ อุจจาระ💩 ที่อาจปนเปื้อนในสิ่งของเครื่องใช้หรือของเล่นของเด็กหากต้องเล่นกับเด็กคนอื่น ในกลุ่มของแบคทีเรียก่อโรค เช่นแบคทีเรียในกลุ่มซัลโมเนลลาที่ยังเป็นสาเหตุของโรคไข้ไทฟอยด์ แบคทีเรียในกลุ่มชิเกลลาที่ยังเป็นสาเหตุของโรคบิดไม่มีตัว ซึ่งแบคทีเรียในกลุ่มเหล่านี้ก็มักจะปนเปื้อนมากับอาหาร🍝และน้ำดื่มค่ะประเภทของโรคลำไส้อักเสบในเด็ก👉ลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อ สาเหตุมาจากการติดเชื้อในกลุ่มตามที่กล่าวไปก่อนหน้าค่ะ อาการของเด็กที่เป็นโรคนี้ได้แก่ อุจจาระ💩เหลวเป็นน้ำ อาจรุนแรงถึงขั้นมีเลือด🩸ปนออกมา บางรายอาจมีอาการไอ😮‍💨 มีน้ำมูกไหล😪ควบคู่ไปด้วย อาการถ่ายเหลวนำมาซึ่งภาวะขาดน้ำตามมา เด็กจะมีอาการปากแห้ง ซีด น้ำลายน้อย เบ้าตาลึกเข้าไป ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ เซื่องซึม และมีอุณหภูมิร่างกายที่ลดลงค่ะ👉ลำไส้อักเสบจากการแพ้โปรตีน มีสาเหตุมาจากการแพ้โปรตีนที่รับประทานเข้าไปบางชนิด ยกตัวอย่างเช่นโปรตีนในนม🥛 โปรตีนจากถั่วเหลือง ไข่🥚 รวมไปถึงโปรตีนจากอาหารทะเล🦐 ซึ่งเป็นปัญหาด้านการทำงานของเอนไซม์หรือความผิดปกติจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเด็กเองค่ะวิธีดูแลรักษาโรคลำไส้อักเสบ▶️สำหรับโรคลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อก่อโรคเมื่อสังเกตได้ว่าเจ้าตัวน้อยมีภาวะการสูญเสียน้ำซึ่งต่อเนื่องมาจากอาการท้องเสีย💩 ควรให้ลูกดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ (ที่ไม่ใช่สำหรับออกกำลังกาย) โดยจิบทีละน้อยๆ ถี่ๆ หากเด็กสามารถดื่มได้ ไม่ได้อาเจียนออกมาในระยะเวลา 4 ชั่วโมง อาจให้เด็กรับประทานอาหารอ่อนๆ ย่อยง่ายๆ อย่างเช่นอาหารในกลุ่มข้าวต้มหรือโจ๊ก🥣เพื่อเพิ่มพลังงานกับร่างกาย แต่หากเด็กรับประทานไม่ได้เลย มีอาการอาเจียน🤮ออกมาตลอดและยังมีอาการท้องเสียอย่างต่อเนื่อง ควรรีบพบแพทย์โดยด่วนค่ะ▶️สำหรับโรคลำไส้อักเสบจากการแพ้โปรตีนที่รับประทานเข้าไปให้สังเกตว่าลูกแพ้โปรตีนอะไร โดยสังเกตว่าลูกรับประทานอาหารอะไรจึงทำให้เกิดอาการแพ้ ให้งดการรับประทานอาหารชนิดนั้นโดยทันที และควรรีบไปพบแพทย์👨‍⚕️อย่างเร็วที่สุดเพื่อวินิจฉัยและยืนยันว่าเด็กแพ้อาหารชนิดนั้นจริงหรือไม่ เพื่อขอคำแนะนำในการรับประทานอาหาร🍽️สำหรับตัวเด็กเองในอนาคตค่ะจะป้องกันอย่างไรไม่ให้ลูกเป็นโรคลำไส้อักเสบ✨สอนให้ลูกรักษาสุขอนามัยสิ่งสำคัญที่สุดที่จะปกป้องเจ้าตัวน้อยจากโรคนี้ได้ คือการสอนให้เด็กรักษาสุขอนามัยค่ะ เริ่มได้ง่ายๆจากการสอนให้ลูกล้างมือบ่อยๆ🤲 ล้างมืออย่างถูกวิธี รับประทานอาหารที่ปรุงสุก สดใหม่ ผ่านการแปรรูปค่อนข้างน้อย ไม่ใช้ของร่วมกับผู้อื่นมากนักหากไม่จำเป็น ในขณะเดียวกัน คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องรักษาความสะอาดในตนเองเหมือนกัน และต้องรักษาความสะอาดในขั้นตอนของการชงนม🍼 การดูแลความสะอาดของร่างกายเด็ก🛁ด้วยค่ะ สำหรับคุณแม่แล้ว การให้ลูกรับประทานนมแม่ในระยะเวลาที่เหมาะสมก็เป็นอีกหนึ่งหนทางในการป้องกันได้ เพราะนมแม่มีส่วนช่วยพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันของเด็กค่ะ     ถึงแม้ว่าโรคลำไส้อักเสบจะดูเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้ค่อนข้างง่าย อาการมีหลายระดับตั้งแต่เบาจนไปถึงรุนแรง แต่วิธีป้องกันนั้นไม่ได้ยากเกินความสามารถของคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านที่กำลังอ่าน👫อยู่แน่นอนค่ะ สิ่งสำคัญคือ เมื่อเด็กมีอาการที่น่าสงสัยหรือเข้าข่ายว่าจะเป็นโรคลำไส้อักเสบ ผู้ปกครองควรพาเด็กเข้ารับการตรวจร่างกายและคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ👨‍⚕️ทันที ไม่ควรมองข้ามจนเด็กมีอาการรุนแรงข้ึนค่ะ

Content Image

ทำไมหนูถึงอมข้าว?

ปัญหาที่สามารถพบได้บ่อยๆ ในเด็กอายุระหว่าง 1-5 ขวบ คือลูกจะชอบอมข้าว ไม่ค่อยเคี้ยว หรือเคี้ยวช้าเวลาป้อนข้าว อะไรคือสาเหตุที่ลูกอมข้าวเราไปดูกันเลยค่ะสาเหตุที่ลูกชอบอมข้าว✨อิ่มแล้วหรือลูกน้อยอาจอมข้าวเพราะอิ่มแล้วและไม่อยากทานต่อ หากทานมาสักพักแล้วลูกอมข้าวนั่นแปลว่าลูกอาจจะอิ่มแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรบังคับหลอกล่อให้ทานต่อค่ะ❌✨มีสิ่งรบกวนอื่นๆ ลูกอาจอมข้าวเพราะมีสิ่งที่ดึงความสนใจของลูกไป ให้คุณพ่อคุณแม่พยายามตัดสิ่งรบกวนต่างๆ ที่ดึงความสนใจของลูกจากโต๊ะอาหารไป เช่น โทรทัศน์📺 หรือขวดนมที่ชงรอไว้ เป็นต้น✨ไม่ชอบการถูกบังคับสาเหตุที่เป็นไปได้ที่ลูกชอบอมข้าว🍚คือ ลูกไม่ชอบการถูกบังคับให้ทานข้าว จึงต่อต้านด้วยการอมข้าว ดังนั้นคุณพ่อคุณไม่ไม่ควรไปบังคับให้ลูกทานข้าว เพราะเขาจะยิ่งต่อต้านมากขึ้น และทำให้ไม่มีความสุขในการกิน✨บรรยากาศน่าเบื่ออีกสาเหตุหนึ่งที่เป็นไปได้คือ ลูกอมข้าวเพราะเบื่อบรรยาบนโต๊ะอาหาร โดยคุณพ่อคุณแม่อาจสร้างสีสันโดยการทำอาหารให้เป็นรูปทรงต่างๆ เช่น ดาว หัวใจ เลือกจานชาม🍽️ที่มีตัวการ์ตูนที่ลูกชอบ และไม่จับผิดหรือกดดันลูกให้ทานข้าว ให้ลูกรู้สึกสนุกและผ่อนคลายเมื่อทานอาหาร✨ไม่ได้ฝึกมาก่อนคุณพ่อคุณแม่อาจไม่ได้ฝึกให้ลูกทานข้าวมาก่อนจึงทำให้ลูกอมข้าว🍚 ให้คุณพ่อคุณแม่นั่งทานอาหารกับลูกน้อย และโชว์วิธีการเคี้ยวข้าวให้ดู จากนั้นก็กลืน แล้วให้ลูกทำตาม ลูกอาจพบว่าการเคี้ยวอาหารนั้นยากกว่าการกลืนนมได้ ก็ต้องค่อยๆทำความคุ้นเคยกันไปค่ะลองทำตามนี้ ✨ลองจัดจานอาจลองให้ลูกเลือกซื้อจานอาหารด้วยตนเอง โดยมีลายและสีสันที่ลูกชอบ รวมถึงอาจลองจัดรูปแบบของอาหารให้มีความน่ากินและน่ารัก ลองจัดเป็นรูปหัวใจ รูปดาว⭐ หรือตัวการ์ตูนที่ลูกชอบก็ได้ค่ะ ✨เริ่มจากอาหารที่ลูกคุ้นเคยลองให้ลูกทานอาหารที่คุ้ยเคยก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มอาหารใหม่ๆเข้ามาในจานพร้อมกับเมนูที่ลูกคุ้น เด็กบางคนอาจใช้เวลาปรับตัวมากหน่อยแต่เพื่อให้ลูกได้รู้จักกับเมนูที่หลากหลาย🥘ขึ้นก็ให้ค่อยๆลองเสนอเมนูใหม่อื่นๆไปเรื่อยๆนะคะ✨สลับเปลี่ยนเมนูเช่นในมื้อนี้เมื่อให้ลูกทานข้าวแล้วก็อาจเปลี่ยนเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว สลับไปเป็น ขนมปัง🍞 สปาเก็ตตี้ ลูกจะได้ไม่เบื่อค่ะ✨ให้ลูกหยิบอาหารด้วยตนเองลองให้ความอิสระกับลูกให้ลูกได้หยิบอาหารเข้าปากด้วยตนเอง แม้ว่าจะเลอะเทอะหน่อยและอาจจะต้องวุ่นวายกับการทำความสะอาดหน่อย🧹 แต่นี่คือหนึ่งในการเรียนรู้ (แนะนำให้ทำความสะอาดหลังลูกทานเสร็จเรียบร้อยแล้วนะคะ ไม่เช่นนั้นอาจเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ลูกไม่ทานได้ค่ะ)✨ไม่ควรให้ลูกดูโทรทัศน์ข้อห้ามคือ ไม่ควรเปิดทีวี📺หรือวีดีโอขณะทานข้าวไปด้วย เพราะจะทำให้ลูกจดจ่ออยู่กับรายการทีวีจนไม่เป็นอันกินนั่นเองค่ะ✨ทานร่วมกับคนอื่นการได้ทานร่วมกับคนในบ้าน หรือเพื่อนๆวัยเดียวกัน จะเป็นการสร้างบรรยากาศที่สนุกสนานในการกิน และจะทำให้ลูกอยากกินมากขึ้นค่ะ

Village Baby Co., Ltd.

4F, 83 Uisadang-daero, Yeongdeungpo-gu, Seoul, Republic of Korea

Partnership inquiries babybilly.global@villagebaby.kr

|

|

Language

Copyright Baby Billy. All rights reserved.