Baby Image

ที่แอป Baby Billy คุณสามารถดูเนื้อหาเพิ่มเติมได้!

📖 บทความที่ถูกอ่านมากที่สุด

Content Image

สารให้ความหวานในน้ำอัดลมก่อให้เกิดมะเร็ง?

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ยืนยันการจำแนกสารให้ความหวานเทียม แอสปาร์แตมเป็นสารที่ 'มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' หรือ 'Possibly carcinogenics to humans' ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้  📢 ในขณะที่ข้อโต้แย้งด้านความปลอดภัยยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็กล่าวได้ว่าแอสปาร์แตมสามารถพบได้ในอาหารและเครื่องดื่มหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มลดน้ำหนัก เจลาติน หมากฝรั่ง ไอศกรีม ยาสีฟัน ยาอมแก้ไอ ผลิตภัณฑ์จากนม แล้วแบบนี้เราจะมีโอกาสเป็นมะเร็งหรือไม่ สารนี้จะหายไปจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเลยหรือไม่ คุณแม่หลายๆท่านกำลังสับสนกับเรื่องนี้🤰🏻 บิลลี่ จึงขออาสามาเช็กข้อเท็จจริงค่ะ!😉ทำความรู้จักกับแอสปาร์แตม🍹แอสปาร์แตม.....มีรสหวานกว่าน้ำตาล 200 เท่า แทบไม่มีแคลอรีเลย🙅🏻‍♀️ หลายๆท่านอาจจะยังไม่คุ้นกับชื่อของแอสปาร์แตม ซึ่งความจริงแล้วเราสามารถพบเจ้าแอสปาร์แตมนี้ในชีวิตประจำวันของเราได้ โดยสารนี้ใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากได้รับการอนุมัติในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2524 จึงเป็นสารปรุงแต่งอาหารที่ถูกนำมาใช้เพื่อให้อาหารมีรสหวาน 👅 ในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกโดยปัจจุบันยังคงมีการใช้ในอาหารและเครื่องดื่มแคลอรี่ต่ำ อย่าง Coke Zero, Diet Coke หมากฝรั่ง ลูกอม โยเกิร์ต ไอศรีม ซอส และขนมอีกหลากหลายชนิด แต่ไม่นานมานี้องค์กรอนามัยโลกหรือ WHO ประกาศให้เจ้าสารที่ถูกใช้ในเชิงเพื่อสุขภาพ กลายเป็นสารก่อมะเร็งแทน ข่าวนี้ทำให้ผู้อ่านหลายๆท่านหนักใจ เพราะเราต่างต้องเคยบริโภคสารนี้กันทั้งนั้น รู้จักประเภทของสารก่อมะเร็งองค์การระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง (IARC) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ WHO ได้ประกาศให้แอสปาร์แตมเป็นสารที่ 'มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' หรือ 'Possibly carcinogenics to humans'💥 ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้  โดย IARC ได้ระบุให้แอสปาร์แตมเป็นสารก่อมะเร็งในระดับ 2B ซึ่งการนิยามสารก่อมะเร็งของ IARC สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระดับใหญ่ๆดังนี้ระดับที่ 1 เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานบ่งชี้มากพอในเชิงสถิติ ว่าก่อให้เกิดโรคมะเร็งในมนุษย์ สารกลุ่มนี้ตามกฎหมายและข้อกำหนดขององค์กรอาหารและยาในแต่ละประเทศ จะต้องไม่ถูกเติมหรือมีการปนเปื้อนในอาหารอยู่แล้ว มักเป็นสารที่ถูกใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและวัสดุอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า ตัวอย่างสารในกลุ่มนี้ได้แก่ สารหนูหรืออาร์เซนิค หรือสารในกลุ่มเบนซีนค่ะระดับที่ 2A เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานงานวิจัยออกมายืนยันเช่นกันว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ยังถือว่ามีจำนวนงานวิจัยที่น้อย จึงได้แต่ใช้คำว่า 'มีแนวโน้มที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' แทน ยังไม่สามารถยืนยันได้เพราะยังมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือไม่เพียงพอค่ะ อย่างไรก็ตามสารในกลุ่มนี้ก็ยังมีหลักฐานบ่งชี้เพียงพอว่าก่อมะเร็งได้ในสัตว์ทดลองค่ะ ยกตัวอย่างเช่นซิลิกาที่ใช้ทำซองดูดความชื้นนั่นเองค่ะระดับที่ 2Bเป็นสารที่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ส่วนหนึ่งบ่งชี้ว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะยืนยัน ในกรณีของการก่อมะเร็งในสัตว์ก็มีแต่ยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าสามารถก่อมะเร็งได้เช่นเดียวกันค่ะ ซึ่งเจ้าแอสปาร์แตมเองก็อยู่ในกลุ่มนี้ นั่นทำให้เราสามารถตีความได้ว่า ทางองค์กรอนามัยโลกให้ข้อมูลว่าแอสปาร์แตมอาจจะก่อมะเร็งทั้งในสัตว์และในคน แต่ยังเป็นหลักฐานที่มีจำนวนน่าเชื่อถือไม่เพียงพอ เมื่อคำนวณความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติค่ะระดับที่ 3 เป็นสารที่ยังไม่มีข้อมูลว่าสามารถก่อมะเร็งได้ทั้งในร่างกายมนุษย์เองและร่างกายของสัตว์ค่ะสรุปแล้วแอสปาร์แตมอันตรายแค่ไหนแอสปาร์แตมก่อมะเร็งจริงหรือไม่?โดยความจริงแล้วสารระดับ 2B นั้นสามารถพบได้ในส่วนผสมในของที่เรารับประทานหรือใช้กันในชีวิตประจำวัน🍽️ อย่าง กรดคาเฟอิกในกาแฟ ว่างหางจระเข้ น้ำมันมะพร้าว รวมถึงกิมจิและผักดองอื่นๆด้วย ซึ่งคนไม่ได้ให้ความสำคัญเท่ากับสารทดแทนความหวาน หลักฐานจึงยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าแอสปาร์แตมจะทำให้เราเป็นมะเร็งจริงๆ แม้กระทั่งหลักฐานในสัตว์ทดลองเองก็ยังไม่ได้มีจำนวนมากพอที่จะยืนยันได้ จึงสามารถสรุปได้ว่า ไม่ได้ห้ามบริโภคเป็นอาหาร และไม่ได้หมายความว่าการรับประทานแอสปาร์แตมจะทำให้เกิดมะเร็ง แต่มีความจำเป็นที่จะต้องจำกัดปริมาณในการรับประทานสารให้ความหวานเทียมค่ะ🙌🏻  ยังสามารถรับประทานน้ำอัดลม 0% ได้หรือไม่?ยังสามารถรับประทานได้ค่ะ โดยค่าที่ปลอดภัยในการรับประทานแอสปาร์แตมจะอยู่ที่ไม่เกิน 40 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม👀 หากจะพูดให้เห็นภาพ หากคุณผู้อ่านมีน้ำหนักตัวประมาณ 50 กิโลกรัมนั่นหมายความว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานแอสปาร์แตมได้ในปริมาณที่ปลอดภัยไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ในน้ำอัดลมที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลหนึ่งกระป๋อง มักใส่แอสปาร์แตมไม่เกิน 300 มิลลิกรัม นั่นแปลว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานน้ำอัดลมชนิดนั้นได้ประมาณ 6-7 กระป๋องโดยประมาณเลย ซึ่งนับเป็นปริมาณที่ค่อนข้างเยอะมากต่อวัน หากไม่ได้ติดน้ำอัดลมกลุ่มนี้ เรามักจะกินไม่ถึงปริมาณที่มีความเสี่ยงว่าจะก่อมะเร็งอยู่แล้วค่ะ🫡 ข้อควรระวังสำหรับผู้ปกครอง🍹สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์จากการศึกษาที่ประกาศโดย American Society for Reproductive Medicine ในปี 2559 📑 สารให้ความหวานเทียมในเครื่องดื่ม 0% จะลดความสามารถของผู้หญิงในการปฏิสนธิและส่งผลต่อสุขภาพของเซลล์ไข่ โดยหากบริโภคในระหว่างตั้งครรภ์ ว่ากันว่าอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์และทำให้เด็กเสี่ยงเป็นโรคอ้วนได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มอัดลมที่มีระดับน้ำตาลสูงหากเป็นไปได้นะคะ!🙅🏻‍♀️🍹 แล้วคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังเลี้ยงลูกอยู่ล่ะ?หากคุณมีโรคทางพันธุกรรมที่เรียกว่าฟีนิลคีโตนูเรีย (PKU) ซึ่งไม่สามารถเผาผลาญแอสปาร์แตมได้ ก็ควรจะหลีกเลี่ยงการรับประทานสิ่งที่มีแอสปาร์แตม 🚫 โดยไม่ใช่เพียงคุณแม่และลูกน้อยเท่านั้นที่ควรเลี่ยง แต่ยังรวมถึงแม่ที่วางแผนหรือกำลังตั้งครรภ์ด้วย ในกรณีของทารกแรกเกิด ทารกจะได้รับการทดสอบที่โรงพยาบาลหลังคลอด ดังนั้นหากมีความผิดปกติก็สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนั้นไม่ต้องกังวลจนมากเกินไปนะคะ!แม้ว่ากระทรวงความปลอดภัยด้านอาหารและยาจะได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยของสารให้ความหวาน แต่คุณพ่อคุณแม่บางคนก็ยังคงกังวล ท่ามกลางความขัดแย้งเรื่องแอสปาร์แตม หัวหน้าสำนักโภชนาการและความปลอดภัยด้านอาหารของ WHO แนะนำว่าควรพิจารณา 'การดื่มน้ำแทนเครื่องดื่มที่มีรสหวาน🥛' แทนที่จะมองหาของหวานอื่นทดแทน ลองเลิกนิสัยชอบความหวานและพึ่งพาอาหารแปรรูป แล้วหันมาใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพกันดูนะคะ 💖

Content Image

เคล็ดลับฝึกให้ลูกพูดสองภาษาตั้งแต่เด็ก

ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวไกลทำให้เรามีโอกาสได้พูดคุยจากคนต่างชาติได้ง่ายขึ้น รวมถึงเมื่อทำงานก็มีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร ดังนั้นการสอนให้ลูกพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษาก็จะทำให้ลูกได้เปรียบ ซึ่งเราจะมีวิธีสอนลูกอย่างไรให้ลูกสามารถพูดสองภาษาได้อย่างเป็นธรรมชาติและเรียนรู้อย่างรวดเร็ว เราไปดูกันเลยค่ะ กลยุทธ์การสอนภาษาที่สองให้ลูกควรจะสอนลูกพูดภาษาที่สองตั้งแต่เมื่อไหร่ดี?คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนให้ลูกพูดภาษาที่สอง🔤ได้ตั้งแต่ลูกยังอยู่ในครรภ์ได้เลยค่ะ โดยอาจอ่านนิทาน หรือ เปิดเพลงให้ฟังโดยใช้ภาษาที่สองก็จะทำให้ลูกทำความคุ้นเคยและเริ่มรับรู้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เพราะหากคุณแม่พูดกับลูกในครรภ์🤰บ่อยๆ ลูกก็จะเกิดการเรียนรู้และมีความคุ้นเคยกับมันค่ะ หลังคลอด คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถสอนต่อได้เลยจนลูกอายุ 7 ขวบ เพราะหลังจากนั้นลูกจะมีความคิดเป็นของตนเองและอาจต่อต้าน หรือ อาจรู้สึกสับสน รวมถึงยังเป็นวัยที่เข้าเรียนและได้รับการเรียนจากโรงเรียน🏫แล้วด้วยค่ะ คุณพ่อคุณแม่คือกุญแจสำคัญเทคนิคที่ดีที่สุดในการสอนลูกพูดสองภาษาคือตัวคุณพ่อ👨และคุณแม่👩เองค่ะ เพราะหากคุณพ่อคุณแม่พูดภาษาที่สองกับลูกในชีวิตประจำวันทุกๆวันๆ ทำให้เป็นเรื่องปกติลูกก็จะสามารถพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นอีกหนึ่งภาษา🔤ที่ใช้ในทุกๆวัน โดยเวลาคุยกับลูกก็ไม่ควรแปลให้ลูก ให้เริ่มพูดคำง่ายๆก่อนเช่น Dog, Go, Yes, No แล้วค่อยพูดยาวๆเป็นประโยคก็จะทำให้ลูกค่อยๆเข้าใจเองค่ะ วิธีทำให้ลูกจดจำได้ง่ายขึ้นเปิดการ์ตูนให้ลูกดู📺คุณพ่อคุณแม่สามารถเปิดการ์ตูนที่เป็นภาษาที่สองให้ลูกฟัง เพื่อให้ลูกซึมซึบสำเนียงและการออกเสียงที่ถูกต้อง อาจเปิดเพลงที่เป็นภาษาที่สอง หรือ อ่านนิทานภาษาที่สองให้ลูกฟัง เมื่อลูกได้ฟังบ่อยๆก็จะทำให้ลูกจดจำคำศัพท์ต่างๆได้ดีขึ้นค่ะ โปสเตอร์ภาษา หนัง หนังสืออ่าน📖ก็เป็นอีกตัวช่วยที่เป็นประโยชน์เมื่อสอนภาษาที่สองให้เจ้าตัวเล็ก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถสอดแทรกภาษาที่สองผ่านกิจกรรมต่างๆได้ โดยไม่ควรทำให้เป็นเรื่องที่จริงจังเพราะลูกจะเกิดการต่อต้านและจะไม่อยากเรียนรู้ค่ะ ทำกิจกรรมอื่นพร้อมกับสอนภาษาไปด้วยเมื่อทำกิจกรรมพร้อมๆกับการเรียนรู้ภาษา🔤จะทำให้เด็กเรียนรู้และจดจำได้มากกว่า ดังนั้น เมื่อคุณพ่อคุณแม่พาลูกน้อยออกไปข้างนอกลองชวนลูกพูดคุยและลองบอกคำศัพท์ต่างๆ เมื่อพบสิ่งของหรือสิ่งมีชีวิตต่างๆระหว่างทาง หรืออาจเปิดเพลง🎶ภาษาที่สองให้ลูกเต้นตามจังหวะเพลงไปด้วย หรือจะชวนลูกดูหนังที่เป็นภาษาอังกฤษโดยไม่มีซับ เพื่อให้ลูกได้ดูและฟังการกระทำของตัวละคร และจับความหมายของคำพูดนั้นๆอยากให้พูดเก่งต้องให้ลูกคิดเป็นภาษาอังกฤษวิธีทำให้ลูกคิดเป็นภาษาที่สองเทคนิคสำคัญที่ทำให้ลูกเก่งพูดสองภาษาคือการฝึกให้ลูกคิดเป็นภาษาอังกฤษ🔤แล้วสื่อสารออกมาได้ทันทีโดยไม่ต้องแปลกลับจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ โดยพยายามสื่อสารกับลูกด้วยภาษาอังกฤษแบบไม่ต้องแปลความหมายให้ฟัง แม้ว่าในช่วงแรกของการพูดลูกอาจจะไม่เข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่พูดถึงอะไร คุณพ่อ👨คุณแม่👩สามารถบอกใบ้โดยการชี้หรือทำท่าทางประกอบเพื่อให้ลูกเข้าใจ แทนการแปลหรือบอกให้ลูกฟังแล้วลูกจะเข้าใจได้เองค่ะ ใช้ความอดทนการจะฝึกให้ลูกพูดภาษาที่สองนั้น คุณพ่อคุณแม่จะต้องใช้ความอดทน และรอให้ลูกเรียนรู้ คอยพูดคุยกับลูกเป็นภาษาที่สอง และชมเชยเมื่อลูกทำสำเร็จลูกก็จะมีกำลังใจในการพูดและเรียนรู้เองค่ะ 

Content Image

สีเทียนช่วยเสริมสร้างพัฒนาการได้อย่างไร?

ทราบหรือไม่ค่ะว่าสีเทียนนอกจากจะสร้างความเพลิดเพลินให้ลูกแล้วยังเสริมสร้างพัฒนาการและทักษะต่างๆได้อีกด้วยค่ะ โดยสีเทียนมีประโยชน์อะไรกับลูกบ้างนั้นเราไปดูกันเลยค่ะ ประโยชน์ของสีเทียนเมื่อลูกมีอายุ 3 ขวบ หรือเมื่อเข้าสู่วัยกำลังเจริญเติบโต ลูกจะเริ่มสนใจและเริ่มหยิบดินสอต่างๆมาขีดเขียนกัน ซึ่งหากให้ลูกได้ใช้สีเทียนระบายจะมีประโยชน์ต่างๆดังนี้ค่ะ ขั้นแรกของการจับดินสอสีเทียนนั้นมีขนาดใหญ่กว่าดินสอหรือปากกาทั่วไป ดังนั้น สีเทียนจึงเป็นจุดเริ่มต้นในการฝึกจับเขียนที่ดี เพราะขนาดของสีเทียน🖍️จะเต็มพอดีกับมือเล็กๆของลูก และเมื่อลูกเริ่มชินในการจับแล้ว อาจจะลองเปลี่ยนขนาดของสีเทียนให้เล็กลงเพื่อเตรียมพร้อมลูกให้จับปากกาและดินสอได้นั่นเองค่ะการประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อมือและตาการให้ลูกได้ระบายสีเทียนจะช่วยเสริมสร้างการทำง่ายร่วมกันของกล้ามเนื้อมือ✋และตา เพราะเขาจะต้องใช้มือหยิบสีเทียนและนำไปวาดบนกระดาษที่จัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งในช่วงแรกลูกอาจจะยังวาดไม่ค่อยเป็นรูปเป็นร่างเพราะกล้ามเนื้อมือของลูกจะยังไม่แข็งแรงพอ แต่เมื่อลูกโตขึ้นเขาจะค่อยๆขีดเส้นให้เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นเองค่ะทำความคุ้นเคยกับการขีดเขียนการระบายสีด้วยสีเทียน🖍️นั้นนอกจากจะช่วยในเรื่องของการฝึกประสานมือและตาแล้วยังช่วยให้ลูกได้เรียนรู้การลงน้ำหนักบนกระดาษ🎨 เรียนรู้การควบคุมทิศทางในการลงสี และแรงกดแค่ไหนจึงเหมาะสมในการเคลื่อนไหว ซึ่งในการทำเช่นนี้จะเป็นการฝึกทักษะการเขียนให้ลูก และเป็นพื้นฐานให้ลูกก่อนจะเริ่มฝึกเขียนตัวหนังสือโดยใช้ดินสอในอนาคตประโยชน์อื่นๆของสีเทียนเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์เมื่อลูกอยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโตเขาจะมีจินตนาการเป็นของตัวเอง และบางครั้งเราจะเห็นได้ว่าเขาจะอยู่กับจิตนาการของพวกเขา หรืออาจทำกิจกรรมหลายๆอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว ซึ่งการที่ลูกได้ระบายสี🖌️นั้นจะเป็นการเสริมสร้างจินตานาการของเขาให้เขาได้เล่าเรื่องราวที่อยู่ในหัว กลายเป็นรูปร่างที่สามารถมองเห็นได้ โดยเมื่อลูกวาดเสร็จ คุณพ่อคุณแม่สามารถถามถึงความหมายของรูปที่ลูกวาดได้ค่ะเป็นการฝึกสมาธิกิจกรรมการวาดภาพระบายสีนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้ลูกมีสมาธิมากขึ้น โดยเฉพาะถ้าลูกน้อยเป็นเด็กที่ไม่สามารถอยู่นิ่งได้ก็ลองให้ลูกจับดินสอเทียน🖍️ ดูนะคะ เพราะนอกจากที่ลูกจะได้เรียนรู้เรื่องของชื่อสี รูปร่างเรขาคณิตต่างๆแล้ว ยังเป็นการฝึกให้ลูกมีสมาธิได้อีกด้วย หรือคุณแม่อาจหาภาพที่มีการวาดมาให้แล้วเหลือเพียงลงสี เพื่อให้ลูกได้ฝึกความอดทนและความมีสมาธิที่จะระบายให้ครบและระบายไม่ออกนอกเส้นค่ะเรียนรู้เรื่องของสีการระบายสีเป็นการฝึกให้ลูกรู้จักกับชื่อของสีต่างๆ🎨 รวมถึงได้เรียนรู้เกี่ยวกับรูปร่างของภาพวาดที่ตนวาดระบายลงไป โดยคุณแม่สามารถสอดแทรกเนื้อหาเช่นการอาจวาดรูปทรงเรขาคณิตและค่อยๆบอกชื่อให้ลูกฟัง หรือ วาดแล้วนับจำนวนภาพที่วาดลงไปให้ลูกฟังเท่านี้ลูกก็จะได้เรียนรู้ผ่านการเล่นได้แล้วค่ะวิธีคลายเครียดการระบายสี🖍️เป็นกิจกรรมที่นักจิตวิทยาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ความคิด💡ของเด็ก ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็อาจให้กระดาษเปล่ากับลูกและให้ลูกใช้สีเทียนวาดระบายลงไป เพื่อที่ลูกจะได้ปลดปล่อยจินตนาการ ระบายอารมณ์และความเครียดของพวกเขาได้นั่นเองค่ะ 

Content Image

พัฒนาการของเด็ก 7 ขวบ มีอะไรบ้าง?

     คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเข้าสู่อายุ 7 ขวบ ซึ่งถือว่าเป็นวัยที่กำลังจะเข้าเรียน ป. 1 พอดี🤓 อาจมีความสงสัยว่าเด็กในวัยนี้ควรจะได้รับการส่งเสริมทางด้านพัฒนาการทางด้านอะไรบ้าง เพื่อที่ลูกจะได้เตรียมตัวเข้าสู่โรงเรียนและปฏิบัติตัวต่อสังคมได้อย่างเหมาะสม ทางเราได้รวบรวมคำตอบมาไว้ให้ในบทความนี้แล้วค่ะ💁‍♀️ เด็กวัย 7 ขวบ มีพัฒนาการที่มากขึ้นในด้านต่อไปนี้พัฒนาการทางด้านสติปัญญาเด็กวัย 7 ขวบ จะเริ่มเข้าเรียนชั้น ป. 1 ซึ่งลูกจะได้เริ่มเรียนวิชาพื้นฐานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น คณิตศาสตร์🧮 วิทยาศาสตร์🧪 ภาษาไทย และภาษาต่างประเทศ🔤 เช่น ภาษาอังกฤษเบื้องต้น ลูกจะเริ่มสามารถจดจำคำศัพท์และรูปภาพได้ สามารถเรียนรู้คำที่มีความหมายเหมือนกัน แต่ใช้คำคนละคำกัน รวมไปถึงสามารถเริ่มอ่านหนังสือออก และแต่งประโยคขั้นพื้นฐานอย่างสมบูรณ์ได้เช่นกันค่ะพัฒนาการทางด้านร่างกายเด็กช่วงอายุ 7 ปี จะมีการเจริญเติบโตของร่างกายที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเรื่องส่วนสูง ซึ่งจะเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 6 เซนติเมตรต่อปี ส่วนน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นประมาณ  1-3 กิโลกรัม รวมไปถึงลูกอาจจะประสบกับปัญหาอาการเจ็บกล้ามเนื้อต่างๆได้ เช่น อาการปวดขา🦵 ปวดแขน หรือปวดบริเวณหน้าท้องมากยิ่งขึ้น และในวัยนี้ฟันน้ำนมจะเริ่มหลุด และมีฟันแท้งอกขึ้นมาและรวมไปถึงพัฒนาการในด้านนี้อีกด้วยพัฒนาการทางด้านอารมณ์เมื่อลูกได้เริ่มเรียนรู้การเข้าสังคม ทำให้ลูกได้พบเจอกับคุณครู👩‍🏫 เพื่อน👧 และบุคคลภายนอกในสังคม ทำให้ลูกได้เรียนรู้การจัดการกับอารมณ์และความซับซ้อนของความรู้สึกมากยิ่งขึ้น ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรค่อยๆปลูกฝังจริยธรรมแก่ลูกด้วยนะคะ ยกตัวอย่างเช่น ลูกจะเริ่มมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากยิ่งขึ้น จะสามารถพัฒนาความสัมพันธ์และสร้างมิตรภาพใหม่ๆกับเพื่อนและบุคคลแปลกหน้า รวมไปถึงยังได้เรียนรู้เรื่องเหตุและผล การยอมรับในตนเองและความคิดเห็นที่แตกต่างของผู้อื่นด้วยเช่นกัน     ทราบกันแล้วใช่ไหมคะถึงการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กอายุ 7 ขวบ เด็กวัยนี้ดูเหมือนจะเป็นวัยที่เข้าถึงได้ยาก เพราะลูกเริ่มมีระบบความคิดที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น💭 แต่ในความเป็นจริงแล้วก็แค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น เพราะว่าลูกกำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แถมยังต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเพื่อให้อยู่ในสังคมได้อย่างเหมาะสม เพราะตอนนี้ในโลกของลูกไม่ได้มีเพียงครอบครัวเท่านั้น แต่จะรวมไปถึง เพื่อนๆที่โรงเรียน คุณครู คุณป้าที่โรงอาหาร ภารโรง และบุคคลอื่นๆที่พวกลูกต้องพบเจอ คุณพ่อคุณแม่ควรให้เวลากับลูกได้ปรับตัว และต้องคอยอยู่เคียงข้างลูก🫂 เพื่อแก้ไขปัญหาไปด้วยกันนะคะ 

Content Image

ใช้จุกหลอกดีหรือไม่?

วัยที่สามารถใช้จุกนมหลอกได้ คือทารกที่มีอายุตั้งแต่ 2 – 12 เดือน และห้ามใช้ในทารกแรกเกิดจนถึงช่วง 1 เดือนเพราะอาจทำให้ทารกสับสนระหว่างหัวนมของแม่และจุดหลอกและอาจทำให้ไม่ยอมดูดหัวนมแม่ได้จุกหลอกคืออะไร?✨จุกหลอกคือ?จุกนมปลอมที่ช่วยให้ทารกรู้สึกผ่อนคลายและช่วยเบี่ยงเบนความสนใจได้เวลาที่ทารกร้อง รวมถึงยังช่วยป้องกันทารกดูดนิ้ว👈 โดยมีทั้งวัสดุที่เป็นซิลิโคนและยาง ✨ควรให้ลูกเริ่มใช้จุกหลอกเมื่อไร?ควรจะรอให้ลูกอายุ 3-4 สัปดาห์ก่อนแล้วจึงค่อยให้ลูกใช้จุกหลอกได้ เพื่อให้ลูกได้มีเวลาทำความคุ้นเคยกับการดื่มนมจากอกของคุณแม่ แต่หากป้อนลูกโดยการใช้ขวดนม🍼ตั้งแต่แรกก็ไม่มีปัญหา สามารถเริ่มใช้จุกหลอกได้เลยเพราะมีลักษณะคล้ายกันค่ะ✨ควรให้ลูกหยุดใช้จุกหลอกเมื่อไร?คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกหยุดใช้จุกหลอกเมื่อลูกอายุ 6 เดือน - 1 ปี แต่ส่วนมากเด็กจะหยุดใช้ไปเองเมื่ออายุ 2-4 ปี โดยหากลูกติดจุกหลอกจนไม่สามารถเลิกได้ คุณพ่อคุณแม่จะต้องหาวิธีช่วยให้ลูกเลิกติดจุกหลอก หรืออาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ👩‍⚕️เพื่อหาทางแก้ไขค่ะข้อดีข้อเสียของการใช้จุกนมหลอก✨ข้อดีมีอะไรบ้างหากใช้จุกนมหลอกจะสามารถลดการร้องไห้😭เมื่อลูกร้องกินนมหลังเพิ่งทานนมได้ไม่นาน ทั้งยังช่วยลดการดูดปากและการเล่นน้ำลายได้ รวมถึงยังลดการดูดนิ้วในเวลานอนได้อีกด้วยจุกนมหลอกจะช่วยให้ทารก👶ผ่อนคลายและไม่งอแง ทำให้คุณแม่มีเวลาทำอย่างอื่นมากขึ้นระหว่างที่ลูกเพลินกับจุกนมหลอก และในเด็กที่ร้องโคลิก ก็จะสามารถใช้เพื่อช่วยลดการร้องได้ และยังช่วยลดอัตราการเสี่ยง SIDS ได้ด้วย✨ข้อเสียมีอะไรบ้างทารกอาจติดจุกนมหลอกมากจนทานนมแม่🥛น้อยลง และเมื่อดูดนมแม่น้อยลงอาจทำให้ขาดการดูดกระตุ้นจนทำให้ปริมาณน้ำนมของแม่ลดลงไปด้วย รวมถึงมีโอกาสที่ทารกจะกลับมาดูดนิ้วเหมือนเดิมหลังเลิกจุกนมหลอก และหากติดมากๆ เวลานำไปเก็บ หรือ ทำความสะอาดลูกก็จะร้องไห้งอแงทันที😭หากใช้จุกนมหลอกเพื่อช่วยให้ลูกหลับ💤 เมื่อนมหลอกหลุดออกลูกอาจร้องไห้ทันที รวมถึงมีโอกาสที่จะติดเชื้อจากการใช้จุกนมหลอกหากรักษาความสะอาดไม่ดีพอ เช่น การติดเชื้อในหูชั้นกลางข้อแนะนำในการใช้✨ควรทำสิ่งเหล่านี้หากเลือกที่จะใช้จุกนมหลอกควรเลือกอันที่คล้ายจุกนมยางที่สุดและควรทำความสะอาดให้บ่อยครั้งเหมือนการใช้ขวดนม และพยายามใช้จุกนมหลอกเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น อย่างเวลาลูกงอแง😭มาก หรือ เวลาเข้านอน✨ไม่ควรทำสิ่งเหล่านี้หากลูกน้อย👶ไม่ได้ร้องอยากดูดก็ไม่ควรเสนอให้ลูกดูดก่อน และไม่ควรให้ลูกดูดจุกนมหลอกนานเกินไป ควรให้ลูกน้อยเลิกก่อนอายุครบ 1 ขวบเพราะจะเลิกยากขึ้นหากเกินจากนั้น ให้พยายามหากิจกรรมเบี่ยงเบนความสนใจของลูกน้อยเมื่อลูกน้อยโตขึ้น

👉 List บทความ25 เดือนขึ้นไป

Content Image

ทำอย่างไรดี!? ลูกเข้าสู่วัยขี้หวง

เมื่อลูกเต็บโตขึ้น และเข้าสู่ช่วงวัย 1 ขวบครึ่ง - 3 ขวบ ลูกน้อยจะกลายเป็นคนขี้หวง และติดคุณแม่มากๆเลยล่ะคะ ในวัยนี้เขาจะเริ่มรับรู้ว่าตัวเองเป็นอีกคนหนึ่งๆ และจะเริ่มสร้างเอกลักษณ์ของตนเอง โดยลูกน้อยจะเริ่มประกาศความเป็นเจ้าของไม่ว่าจะเป็นของเล่นต่างๆที่เขาชอบ หรือแม้แต่คุณแม่ด้วยค่ะ วิธีการรับมือเมื่อลูกขี้หวงบอกทุกคนในบ้านให้เข้าใจตรงกันก่อนจะเริ่มการฝึกลูกน้อย ให้บอกคนในครอบครัวเพื่อให้เข้าใจว่าหากลูกน้อยเกิดอาการหวงก็ไม่ควรไปดุ เพราะจะทำให้ลูกตกใจกลัว😢 แถมเขาก็ยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจได้ และผู้ใหญ่ก็ไม่ควรไปบังคับให้เด็กแบ่งของค่ะ บอกลูกก่อนหากคุณแม่จะนำของเล่นหรือตุ๊กตาตัวโปรดของเจ้าตัวเล็กไปทำความสะอาด🚿 ให้บอกลูกล่วงหน้าเพื่อให้ลูกเข้าใจและไม่ร้องไห้โวยวาย เพราะหากไม่ได้บอกลูกจะเข้าใจว่าเข้าได้สูญเสียสิ่งนั้นไปตลอดกาล โดยเวลาที่บอกอาจจะกล่าวเป็นเรื่องราวว่า วันนี้คุณแม่พาพี่หมี🧸ไปอาบน้ำก่อนนะจ้ะ เดี๋ยวตอนเย็นก็กลับมาแล้ว ทำสัญลักษณ์ให้เห็นๆ ทำสัญลักษณะบนของต่างๆ ที่เป็นของลูก อาจนำสติ๊กเกอร์หรือปากกา🖊️มาขีดบนของเพื่อให้ลูกทราบว่าของชิ้นไหนเป็นของเขา และสิ่งไหนที่เป็นของคุณพ่อคุณแม่ เพื่อที่เขาจะได้แยกแยะออกว่าอันไหนเป็นของใคร และไม่แสดงความเป็นเจ้าของไปซะหมด วิธีการรับมือเมื่อลูกขี้หวงเตือนย้ำว่าสิ่งนี้เป็นของคุณพ่อคุณแม่หากเจ้าตัวเล็กยังคงเคลมว่าของต่างๆ เป็นของตนเองอยู่ให้ลองพูดย้ำว่าสิ่งนี้คือของของเรา เช่น เมื่อคุณพ่อคุณแม่กำลังดูทีวีอยู่📺 แล้วอยู่ๆ เจ้าตัวเล็กก็มาแย่งรีโมตทีวีไป ให้บอกลูกอย่างตรงไปตรงมาว่าที่รีโมตนี้ไม่มีสัญลักษณ์ของหนูนะจ้ะ อันนี้ของคุณพ่อคุณแม่ แต่หากอยากดูเรามาแบ่งกันดูนะ เมื่อเป็นอย่างนี้เขาจะค่อยๆเข้าใจเรื่องของการแบ่งปันหากิจกรรมอื่นๆขั้นเวลาเมื่อฝึกลูกบ่อยๆลูกก็จะรู้จักการรอคอย และจะไม่ร้องโวยวายเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ เช่น เมื่อไปเล่นในสนามเด็กเล่น เขาจะก็รู้จักรอ🕐ให้คนด้านหน้าเล่นเสร็จก่อนจะถึงคิวของเขา โดยคุณพ่อคุณแม่อาจหากิจกรรมอื่นให้ลูกเล่นข้ามเวลา หรืออาจชวนคุยนู่นนี่ เพื่อที่จะให้ลูกไม่เบื่องอแงระหว่างที่รอเล่นนั่นเองค่ะ 

Content Image

วิธีป้องกันปัญหาสายตาให้ลูกน้อยของคุณ

ดวงตา เป็นอวัยวะที่สำคัญและบอบบางมาก ซึ่งเป็นบริเวณที่จะต้องได้รับการระมัดระวังและรักษาทันทีเมื่อมีความผิดปกติ ปัญหาสายตาในเด็กก็ควรได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างยิ่ง เพราะมีปัจจัยหลายๆอย่างที่อาจทำให้เกิดความผิดปกติได้ จึงควรพาลูกน้อยไปประเมินและวินิจฉัยกับจักษุแพทย์อย่างเหมาะสมนั่นเองค่ะ วิธีป้องกันปัญหาสายตาในเด็กคุณพ่อคุณแม่สามารถป้องกันปัญหาสายตาให้ลูกได้ดังนี้✨คอยบอกให้ลูกรักษาระยะห่างหน้าจอทีวี คอมพิวเตอร์🖥️ หรือ กระดานเรียนให้เหมาะสม✨อย่าให้อยู่หน้าจอนานจนเกินไป ส่งเสริมให้ลูกเล่นกลางแจ้ง เพราะการได้ออกไปนอกบ้านจะทำให้ตา👀เคลื่อนไหวตลอดเวลา และการสัมผัสกับแสงแดดก็ช่วยป้องกันสายตาสั้นได้บางกรณีอีกด้วย✨ให้ทานผักใบเขียว และ อาหารที่มีกรดอะมิโน และโปรตีน✨ตรวจตาเป็นประจำ✨ทานอาหารเพื่อสุขภาพ🥗✨หากสงสัยว่าลูกมีปัญหาทางสายตาให้พาไปตรวจทันที✨ไม่ให้ลูกสัมผัสดวงหน้าด้วยมือที่สกปรกและให้ลูกล้างมือทุกครั้งที่กลับจากข้างนอก✋✨หากตามีการติดเชื้อ เช่น ตาแดง ควรให้หยุดเรียนเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค ✨หากลูกมีอาการ ปวดหัว กะพริบตาถี่ๆ หรือ ตาเหล่ควรพาไปตรวจสายตาโดยเร็วที่สุดการตรวจสายตาตามวัยแรกเกิดในทารกแรกเกิด👶 แพทย์จะทำการทดสอบการสะท้อนสีแดงจากจอประสาทตาของทารกเพื่อประเมินการมองเห็น และดูว่ามีความผิดปกติหรือไม่ รวมถึงตรวจความผิดปกติของดวงตาและเปลือกตาภายนอก ประเมินลักษณะของรูม่านตา 6 เดือน – 1 ปีประเมินโดยการทดสอบการมองเห็น👀 ลักษณะของรูม่านตา ตรวจสุขภาพตาและตรวจหาโรคตาที่พบบ่อยในเด็กเป็นต้น3 ปี – 3 ปี ครึ่งในช่วงวัยนี้เด็กจะโตพอที่จะให้ความร่วมมือในการตรวจวัดสายตา👓ได้ ดังนั้นควรพาลูกไปตรวจวัดเพื่อดูว่ามีสายตาสั้น ยาว เอียงหรือไม่ และควรตรวจภาวะตาสองข้างไม่มองในทิศทางเดียวกัน เช่น ตาเหล่ ตาเข ตาขี้เกียจ เป็นต้นเด็กวัยเรียนเมื่อเข้าสู่วัยเรียน และหากสงสัยว่าลูกมีปัญหาทางสายตา ผู้ปกครองก็ควรพาน้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจวัดสายตา โดยปัญหาทางสายตาที่พบได้บ่อยๆในวัยนี้คือสายตาสั้นนั่นเอง ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการตัดแว่นใส่ ซึ่งหากสงสัยว่ามีปัญหาทางสายตาอื่นๆ ก็ควรให้จักษุแพทย์👨‍⚕️ตรวจดวงตาอย่างละเอียดซึ่งหากผู้ปกครองสังเกตเห็นอาการผิดปกติแล้ว ก็ควรให้ลูกได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ทั้งนั้นโรคเกี่ยวกับตาบางอย่างก็จะต้องอาศัยการปลูกฝังพฤติกรรมที่ดีให้ลูกน้อยเพื่อป้องกันโรคตาต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้นั่นเองค่ะ

Content Image

วิธีรับมือกับอาการคันทั้งในอากาศหนาวและร้อน

ไม่ว่าจะเป็นการคันจากผิวแห้งในฤดูหนาว หรือการคันจากการแพ้เหงื่อในฤดูร้อนก็ล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการคันในเด็กได้ทั้งนั้นเลยค่ะ ซึ่งเราจะสามารถรับมือและป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไรบ้างเราไปดูกันเลยค่ะ รับมือกับอาการคันเมื่ออากาศเย็นอากาศเย็นในฤดูหนาว หรือการเปิดแอร์ให้เย็นฉ่ำก็สามารถเป็นต้นเหตุให้ผิวของลูกแห้งได้ ซึ่งหากไม่ดูแลผิวอย่างถูกต้อง เช่น อาบน้ำอุ่น ก็จะทำให้เกิดอาการคันและระคอยเคืองได้ค่ะ เราจะมีวิธีการดูแลผิวในช่วงที่อากาศเย็นเพื่อป้องกันอาการคันได้ดังนี้ค่ะไม่ควรอาบน้ำอุ่นมากเกินไปเมื่ออากาศหนาวและต้องอาบน้ำ🚿ให้เจ้าตัวเล็กคุณพ่อคุณแม่อาจจะอยากใช้น้ำอุ่นเพื่อให้ร่างกายของลูกอบอุ่นเวลาอาบ แต่ทราบหรือไม่ค่ะว่า การอาบน้ำอุ่นบ่อยๆ จะมีโอกาสทำให้ผิวของลูก👶เสียได้มากกว่าการอาบน้ำธรรมดา เพราะน้ำอุ่นจะทำลายไขมันบนผิวหนังที่คอยปกป้องผิวอยู่ออกไป ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกมีอาการคันนั่นเองค่ะทาครีมให้ความชุ่มชื้นหาซื้อครีมสำหรับเด็ก👶ที่มีส่วนผสมที่ปลอดภัยไร้เคมี โดยสามารถทาครีมให้ลูกได้หลังอาบน้ำเสร็จทันทีเพื่อการอาบน้ำจะทำให้ผิวของลูกแห้ง แต่ก็ไม่ควรทาหนาจนเกินไป ให้ทา🧴แบบบางๆก็เพียงพอ หรือระหว่างที่อาบน้ำอาจใช้เบบี้ออยล์ผสมกับน้ำเพื่อบรรเทาอาการผิวแห้งได้ค่ะเลือกเสื้อผ้าให้ดีลดระคายเคืองได้หลีกเลี่ยงเสื้อผ้า👕ที่มีส่วนผสมของใยสังเคราะห์ ควรจะเลือกเสื้อผ้าที่มีความนุ่มเพื่อลดการระคายเคือง รวมถึงเลือกเสื้อผ้าที่มีความอบอุ่นเพียงพอ ให้ลูกดื่มน้ำมากขึ้นในฤดูหนาวอากาศหนาวจะทำให้ผิวของลูกสูญเสียน้ำ🌊เป็นพิเศษจึงทำให้ผิวแห้งและเกิดอาการคันในที่สุด ดังนั้นควรให้ลูกดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน หากลูกยังคงมีอาการระคายเคืองผิว และยังคงมีอาการคัน ก็ควรที่จะพาลูกไปพบกับแพทย์ทางผิวหนังเพื่อรักษาอย่างถูกต้องค่ะรับมือกับอาการคันเมื่ออากาศร้อนเมื่ออากาศร้อน เราก็มักจะเหงื่อออก ซึ่งการแพ้เหงื่อก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ลูกเกาไม่หยุดในช่วงหน้าร้อน การแพ้เหงื่อ เป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบที่จะเกิดได้จาก ผื่นลมพิษจากการแพ้เหงื่อโดยตรง หรือ การกำเริบของผิวหนังที่อักเสบจากเหงื่อ ซึ่งเราจะสามารถรับมือได้ดังนี้ค่ะสถานที่ออกกำลังกายหากทราบว่าลูกมีอาการแพ้เหงื่อ💦 ก็ควรระวังเรื่องของการออกกำลังกายในหน้าร้อน เพราะเหงื่อจะออกได้ง่าย พยายามให้ลูกออกกำลังกายในที่ที่มีอากาศถ่ายเท หรือออกกำลังกายในร่ม เพื่อลดการเกิดเหงื่อและอาการคัน รวมถึงหากเหงื่อออกก็ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน ให้เช็ด หรือเป็นไปได้ควรจะอาบน้ำ🚿หนังเสร็จกิจกรรมทันทีค่ะ ระวังอาหารเผ็ด การที่ลูกทานอาหารที่มีรสชาติเผ็ด🍲ก็จะเป็นการเพิ่มโอกาสให้เหงื่อออกมากขึ้น เพราะเด็กส่วนใหญ่ยังไม่สามารถรับรสเผ็ดได้เท่ากับวัยผู้ใหญ่นั่นเองค่ะ อาบน้ำเมื่อมีเหงื่อมากการมีเหงื่อออกจะทำให้เกิดอาการคัน ดังนั้นเมื่อเหงื่อออกการอาบน้ำทำความสะอาดจะทำให้ปัญหาการคันบรรเทาลงได้ แต่ไม่ควรอาบน้ำอุ่นนะคะ หลังอาบแล้วควรเช็ดผิวให้แห้งและทาโลชั่น🧴 เพิ่มความชุ่มชื้นค่ะ ให้ความสำคัญกับเสื้อผ้าแน่นอนว่าในหน้าร้อนเสื้อผ้า👕 ที่ใส่ควรจะมีการระบายอากาศได้ดี และใส่สบายเพื่อลดความร้อนค่ะ หากยังคงมีอาการอักเสบและมีการแพ้อย่างต่อเนื่องสามารถพบแพทย์ได้เพื่อรับยาทานและยาทาอย่างเหมาะสมค่ะ 

Content Image

วาดรูปมีประโยชน์อย่างไร?

การวาดรูปเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของลูกทำให้ลูกมีความคิดสร้างสรรค์และยังเป็นกิจกรรมที่ทำให้ลูกได้มีเวลาร่วมกันกับคุณพ่อคุณแม่ซึ่งการวาดรูปนั้นมีข้อดีอะไรอีกบ้างเราไปดูกันเลยค่ะมารู้จักการวาดรูปให้มากกว่านี้กันเถอะ การวาดรูปคือ?การวาดรูป🎨 หมายถึง การถ่ายทอดความรู้สึก อารมณ์และจิตนาการออกมาเป็นรูปภาพ โดยอาจจะวาดลงบนกระดาษธรรมดา หรือ ผ้า หรือของสิ่งอื่นๆ ซึ่งการวาดของแต่ละคนก็จะมีความแตกต่างกันออกไป นักวาดศิลปินบางคนก็จะมีลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์🖌️ และหากมีความสามารถก็จะสามารถนำผลงานไปขายได้ทำไมถึงควรวาดรูปกับลูกทุกๆวันนอกจากจะเป็นการใช้เวลาว่างให้ทำกิจกรรมสร้างสรรค์แล้ว ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และสร้างความสนิทสนมภายในครอบครัว ซึ่งหากลูกชอบวาดรูป🎨ก็สามารถชวนมาวาดได้บ่อยๆค่ะสามารถช่วยเหลือลูกได้ดังนี้ประคองมือของลูกหากลูกยังเล็กสามารถช่วยประคองมือ✋ของลูกเพื่อส่งเสริมพัฒนาการการใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็กของลูก เมื่อวาดรูปลูกจะได้เรียนรู้การจับดินสอ🖌️ และเรียนรู้การเคลื่อนไหว ซึ่งในการจับดินสออาจมีการจับไม่ถนัดมือ ซึ่งเราสามารถช่วยประคองให้ลูกจับให้ถูกวิธีได้แต่อย่าช่วยตลอดนะคะ ให้ช่วยประคองเพียงบางครั้งก็พอ เพื่อให้ลูกได้ฝึกการจับด้วยตนเองค่ะ จุดประกายศิลปินในตัวการวาดรูป🎨 จะทำให้เด็กๆได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ และหากเด็กคนไหนที่มีพรสวรรค์ มีความคิดสร้างสรรค์ที่ดี วาดรูปเก่ง ก็จะสามารถวาดรูปภาพ🖼️ออกมาได้มากมาย ซึ่งหากปลูกฝังลูกตั้งแต่เล็ก ลูกก็จะชอบศิลปะ และหากพบว่าลูกมีความถนัดในด้านนี้เราก็จะสามารถสนับสนุนลูกได้อย่างเต็มที่ซึ่งแรกๆลูกอาจจะวาดไม่เป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่ แต่หากได้ฝึกวาดไปเรื่อยๆ🖌️ ลูกก็จะค่อยๆเก่งมากขึ้นเองค่ะส่งเสริมให้ลูกเรียนรู้ฝึกให้ลูกเรียนรู้เด็กแต่ละคนมีความสามารถและความถนัดที่แตกต่างกัน เด็กบางคนถนัดในการมองภาพ มองแผนผัง🖼️ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถฝึกให้ลูกเกิดไอเดียได้ โดยอาจให้ลูกวาดเกี่ยวกับการ์ตูน อาหาร หรือของเล่นที่ชอบ หรืออาจจะเป็นสถานที่ที่ลูกเคยไป หรืออาจฝึกภาษาไปพร้อมๆกับการวาดรูป🎨ก็ได้ค่ะ การวาดรูปเป็นการสื่ออารมณ์และความคิดหากลูกพูดน้อย สื่อสารทางคำพูดไม่ค่อยเก่ง คุณพ่อคุณแม่อาจกระตุ้นให้น้องๆ แสดงออกผ่านทางภาพวาดได้ ซึ่งสังเกตได้ว่าลูกวาด🎨อะไร ใช้ลายเส้นแบบไหน เพราะภาพที่วาดออกมามักจะสะท้อนอารมณ์🙂 ความรู้สึก และความคิดของคนเรานั่นเองค่ะ หากไม่สามารถบอกได้ว่าภาพวาดสื่ออะไร ก็อาจจะต้องปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาคำตอบค่ะ ร่วมทำกิจกรรมกับลูกลองสร้างสรรค์บนสิ่งของอื่นๆดูคุณพ่อคุณแม่สามารถให้ลูกวาด🎨ลงบนอย่างอื่นที่ไม่ใช่กระดาษก็ได้ เช่นวาดภาพที่สามารถนำไปประดับบนผลังบ้าน ออกแบบและใช้ไอเดียจากความคิดสร้างสรรค์ อาจวาดลงบนของต่างๆ เช่น แก้ว จาน หรือของอื่นๆ🍶 ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยได้ในบางขั้นตอนแต่ควรให้ลูกได้แสดงความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ของตนเองค่ะ ฝึกความรับผิดชอบหากลูกอยู่ในวัยที่กำลังเตรียมเข้าโรงเรียนและสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในระดับหนึ่ง คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนให้ลูกมีความรับผิดชอบได้ โดยอาจจะให้จัดกระเป๋า เก็บจาน กวาดบ้านง่ายๆ ซึ่งเมื่อลูกวาดรูป🎨 หรือ สร้างสรรค์ศิลปะเสร็จแล้วคุณพ่อคุณแม่สามารถบอกให้ลูกเก็บอุปกรณ์วาดรูป จานสี และทำความสะอาดพื้นที่เพื่อฝึกให้ลูกทำอะไรเองตั้งแต่เนิ่นๆค่ะ ให้มีสมาธิมากขึ้น เด็กบางคนมีสมาธิสั้น ดื้อและซน ซึ่งเราสามารถชวนลูดมาวาดรูปได้🖌️ เพราะการวาดรูป🎨จะเป็นการฝึกให้ลูกได้ใช้สมาธิจดจ่อ ทำให้เด็กที่จดจ่อกับอะไรนานๆไม่ค่อยได้ได้รับการฝึกให้มีสมาธิกับการวาดเส้นและระบายสีนั่นเองค่ะ 

Content Image

น้ำยาปรับผ้านุ่มทั่วไป ใช้ซักผ้าเด็กได้ไหม?

     คุณผู้อ่านหลายๆท่านคงเคยได้ยินหรือเคยรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก👶มาบ้างใช่ไหมคะ สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆสำหรับเด็กมักมีจุดประสงค์ที่มีความเฉพาะตัว วันนี้บทความของเราก็จะพาคุณผู้อ่านมาดูถึงผลิตภัณฑ์ประเภทหนึ่งสำหรับเด็ก นั่นก็คือน้ำยาปรับผ้านุ่มนั่นเอง🧴 น้ำยาปรับผ้านุ่มสำหรับเด็กจะแตกต่างกับน้ำยาปรับผ้านุ่มทั่วไปหรือไม่ ใช้แบบทั่วไปแทนได้หรือไม่ หรือทำไมจึงต้องใช้ของเด็กโดยเฉพาะ เราไปดูกันเลยค่ะ💁‍♀️ทำไมจึงต้องมีน้ำยาปรับผ้านุ่มสำหรับเด็กโดยเฉพาะ    อย่างที่เราต่างทราบกันดีว่าร่างกายของเจ้าตัวน้อย ระบบอวัยวะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะภายในร่างกายหรือภายนอกร่างกาย ล้วนแล้วแต่มีความบอบบาง🍃และอ่อนไหวกว่าวัยผู้ใหญ่ทั้งสิ้น รวมไปถึงอวัยวะปกคลุมร่างกายอย่างผิวหนังด้วย พูดง่ายๆก็คือ ในการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มชนิดเดียวกัน ยี่ห้อเดียวกัน ที่ปริมาณเดียวกันและความเข้มข้นเท่ากัน เด็กก็ยังมีโอกาสแพ้😷น้ำยาปรับผ้านุ่มมากกว่าผู้ใหญ่ค่ะน้ำยาปรับผ้านุ่มสำหรับเด็กต่างจากแบบทั่วไปอย่างไร👉ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กมักใช้ส่วนผสมที่มีความอ่อนโยนกับผู้ใช้งานมากกว่าด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลดความเข้มข้นของสารเคมีที่มีแนวโน้มตกค้างแล้วก่ออันตรายลง☠️ หรือเลือกใช้สารสกัดจากธรรมชาติเข้ามาทดแทนการใช้สารสังเคราะห์ ซึ่งทำให้ผลิตภัณฑ์มีแนวโน้มที่จะปลอดภัยมากขึ้นหรือมีความออแกนิค☘️มากขึ้นนั่นเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอันตรายหลงเหลืออยู่เลยนะคะ เพราะในกระบวนการผลิตก็ยังต้องใช้สารเคมีต่างๆเป็นองค์ประกอบในการสกัดและสังเคราะห์ในปริมาณที่คอนข้างมากอยู่ดี เพียงแต่ว่าผลิตภัณฑ์มีแนวโน้มที่จะก่ออันตรายน้อยลงค่ะ👉น้ำยาปรับผ้านุ่มสำหรับเด็กนั้นปราศจากการใช้สารในกลุ่มฟอร์มัลดีไฮด์ ซึ่งก่อให้เกิดความเป็นพิษ☠️และความระคายเคืองกับหลายๆระบบ ทั้งระบบผิวหนังและระบบหายใจ🙊เมื่อได้รับการสูดดม👉น้ำยาปรับผ้านุ่มสำหรับเด็กลดการใส่สีสังเคราะห์🎨เพื่อเพิ่มความสวยงาม และลดการใส่น้ำหอมเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม เนื่องจากเป็นกลุ่มสารที่ไม่ได้มีความจำเป็นในแง่ของการใช้งานค่ะ หากลดสารในกลุ่มเหล่านี้ลงก็จะเป็นลดโอกาสที่เด็กจะแพ้สารองค์ประกอบในน้ำยาปรับผ้านุ่มค่ะ👉น้ำยาปรับผ้านุ่มสำหรับเด็กมักใช้สารองค์ประกอบที่ค่อนข้างซักล้างออกง่าย🧼 อาจเป็นสารเคมีสังเคราะห์ที่สังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ให้ล้างออกง่ายโดยเฉพาะ หรือเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ☘️ ทำให้ซักล้างง่าย ลดปริมาณและความเข้มข้นของสารตกค้างในเส้นใยผ้า จึงเป็นการลดโอกาสในการแพ้น้ำยาปรับผ้านุ่มสำหรับเด็กไปในตัวค่ะ👉น้ำยาปรับผ้านุ่มสำหรับเด็กออกแบบมาเพื่อลดความสากหรือความหยาบกร้านของเส้นใยเนื้อผ้า👕 ทำให้เนื้อผ้ามีความอ่อนโยนกับผิวของเจ้าตัวน้อยมากขึ้น ลดโอกาสในการเกิดความระคายเคืองจากการที่ผิวหนังต้องเสียดสีกับเส้นใยผ้าทั้งวันค่ะความเสี่ยงหากใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มทั่วไปกับเสื้อผ้าเด็กเนื่องจากน้ำยาปรับผ้านุ่ม🧴สูตรทั่วไปนั้นไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองจุดประสงค์ในด้านความอ่อนโยนต่อผิวโดยเฉพาะ และทุกครั้งที่มีการใช้งานนั้น ล้วนมีโอกาสที่จะเกิดสารตกค้างในเนื้อผ้าอยู่แล้ว ไม่ว่าเราจะคิดว่าเสื้อผ้าผ่านการซักล้างมาดีเพียงใด เมื่อสารตกค้างนั้นไม่ได้ถูกออกแบบหรือถูกสังเคราะห์มาให้มีความอ่อนโยนต่อร่างกาย เจ้าตัวน้อยจึงมีโอกาสแพ้ค่ะ😷💫อาการแพ้น้ำยาปรับผ้านุ่มที่สังเกตได้เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับเสื้อผ้า สารตกค้างในน้ำยาปรับผ้านุ่มจะมีโอกาสสัมผัสกับผิวหนังของเด็กโดยตรง ดังนั้นระบบที่มีโอกาสจะตอบสนองเป็นระบบแรกๆก็คือระบบผิวหนังนั่นเองค่ะ เจ้าตัวน้อยมักจะมีผื่นแดง🥴ขึ้นตามร่างกายอย่างชัดเจนค่ะอวัยวะภายนอกเริ่มบวม ไม่ว่าจะเป็นบวมเพราะระคายเคืองที่ผื่นขึ้นแล้วเกาควบคู่ หรือเป็นการบวมจากปฏิกิริยาภายในร่างกายเองก็ตาม แต่อาการบวมจะสังเกตได้อย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นบวมตามผิวหนังจนทำให้ทั้งแขนทั้งขา🦵ดูบวม หรือบวมตามใบหน้า บวมที่ดวงตา👁️ก็เกิดขึ้นได้ค่ะ     อ่านมาถึงตรงนี้ คุณผู้อ่านก็จะเห็นความสำคัญของผลิตภัณฑ์ที่ทำมาเพื่อเด็ก👶อย่างน้ำยาปรับผ้านุ่มสำหรับเด็กกันแล้วนะคะ ดังนั้นหากจะถามว่า แล้วจริงๆแล้วสามารถใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มทั่วไปแทนได้หรือไม่ บทความของเราขออนุญาตไม่แนะนำแล้วกันค่ะ เพราะเป็นการแลกกับความเสี่ยงทางด้านสุขภาพของเจ้าตัวน้อยมากเกินไป อย่างไรก็ตามแม้คุณพ่อคุณแม่จะใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม🧴สำหรับเด็กแล้ว เจ้าตัวน้อยก็ยังมีโอกาสแพ้อยู่ดี ดังนั้นผู้ปกครองควรหมั่นสังเกตว่าลูกของเราสามารถใช้น้ำยายี่ห้อใดได้ ไม่เกิดอาการแพ้ และหากแพ้ควรพาเจ้าตัวน้อยเข้ารับการดูแลจากแพทย์👨‍⚕️ทันที ไม่ควรมองข้ามหรือคิดว่าจะหายเองได้ค่ะ

Content Image

แนะนำกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงโควิด

ในยุคที่โควิดระบาดทำให้การออกจากบ้านนั้นเป็นเรื่องอันตราย แต่ช่วงหลังนี้ก็เริ่มสามารถที่จะทำกิจกรรมกลางแจ้งได้บ้างแล้ว ซึ่งวันนี้เรามีกิจกรรมแนะนำที่สามารถทำได้และยังไม่ควรทำมาให้กันค่ะ จะมีอะไรบ้างนั้นเราไปดูกันเลย!กิจกรรมนอกบ้านมีประโยชน์อย่างไรบ้าง?เพราะการแพร่กระจายของโควิด ทำให้เด็กๆจะต้องอยู่ในบ้านและอดออกไปข้างนอก ทำให้อยู่ติดกับหน้าจอ📱ตลอดเวลา การเคลื่อนไหวที่น้อยลงอาจกระทบต่อสุขภาพของเด็กๆได้ ดังนั้นเพื่อรักษาสมดุลของการใช้ชีวิต ก็อาจจะต้องพาลูกไปทำกิจกรรมข้างนอกในบ้างค่ะ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆการจ้องจอนานๆ จะทำให้ลูกเสียสายตา👀 และเสียบุคลิกรวมถึงก่อนให้เกิดโรคมากมาย เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือด โรคหืบหอบและอื่นๆ ซึ่งการที่ให้ลูกน้อยได้สัมผัสกับแสงแดดได้บ้างก็จะเป็นการเพิ่มภูมิคุ้มกันทางร่างกายได้มากขึ้นค่ะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางร่างกายการให้ลูกเล่นกิจกรรมกลางแจ้งจะทำให้ลูกสามารถพัฒนาการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ดี เพราะว่ากลางแจ้งนั้นมีพื้นที่กว้างมากกว่าในบ้านและมีพื้นที่อิสระในการจะวิ่ง🏃 กระโดด ขว้างปา ปีนป่าย เป็นต้นช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงกิจกรรมกลางแจ้งยังช่วยส่งเสริมกล้ามเนื้อให้แข็งแรงเพราะเด็กจะสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การวิ่ง🏃  การกระโดดแนะนำกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงโควิดการพาเด็กที่มีอายุน้อยออกจากบ้านยังถือว่าเป็นอันตราย เพราะลูกอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แต่หลังๆมานี้สถานการณ์ก็เริ่มคลี่คลายและเด็กๆ👶สามารถออกไปทำกิจกรรมได้บ้างได้ ซึ่งจะมีกิจกรรมใดที่เหมาะจะทำในยุคของโควิดบ้างเราไปดูกันค่ะ💨เดิน วิ่ง ในที่ที่คนไม่เยอะ💨สามารถพาปั่นจักรยาน💨เล่นสกูตเตอร์ หรือ สเก็ตบอร์ด 💨ปิกนิก💨แคมป์ปิ้ง💨ปลูกผัก💨ตกปลา💨ตีกอล์ฟ💨ล่องเรือ หรือ พายเรือทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรให้ลูกสวมหน้ากากอนามัย และหมั่นล้างมือให้สะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิดนะคะ ซึ่งก็ยังมีกิจกรรมที่ควรเลี่ยง อย่างกิจกรรมที่ต้องสัมผัสกับผู้อื่น หรือ กิจกรรมที่ลงน้ำกิจกรรมเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงกิจกรรมกลางแจ้งที่ไม่ควรให้ลูกร่วมในช่วงโควิดระบายคือกิจกรรมที่ต้องใกล้ชิดกับผู้อื่นหรือรวมตัวของคนจำนวนมากอย่างเช่นค่ายต่างๆแม้ว่าบางโรงเรียนจะเริ่มมีการเปิดเรียน🏫และเริ่มมีการจัดกิจกรรมการรวมกลุ่ม หรือ มีการจัดค่ายเยาวชนต่างๆ แต่เราก็ควรละงดเว้นกิจกรรมเหล่านี้ไปก่อนจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้นกว่านี้สนามเด็กเล่นผู้ปกครองหลายๆคนอาจจะคิดว่าสามารถให้ลูก👶ไปเล่นสนามเด็กเล่นได้ตอนไม่มีคน หรือคนน้อยๆ แต่ความจริงแล้วการที่มีเด็กคนก่อนหน้าสัมผัสกับเครื่องเล่นต่างๆ อาจทิ้งเชื้อโรคไว้กับเครื่องเล่น และเมื่อลูกไปสัมผัสต่อแล้วนำมาจับหน้าจับตา ก็จะทำให้เชื้อโรค🦠 เข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัวนั่นเองค่ะงานประเพณีงานประเพณีของไทยนั้นแม้ส่วนใหญ่จะจัดในกลางแจ้ง แต่ก็มีผู้คนเข้าร่วมมากมาย ซึ่งเราก็ไม่สามารถทราบได้เลยว่ามีผู้ที่มีเชื้อ🦠อยู่หรือไม่ ดังนั้นควรที่จะหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมงานประเพณีไปก่อนจะดีกว่าค่ะ 

Content Image

หนังสือภาพมีประโยชน์อย่างไร?

การอ่านหนังสือตั้งแต่เด็กจะส่งเสริมให้ลูกสามารถอ่านหนังสือออกได้ไวกว่าเพื่อนวัยเดียวกันเมื่อเข้าเรียน ซึ่งหนังสือภาพนั้นก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับเด็กๆ เพราะนี่จะเป็นตัวช่วยให้ลูกได้คุ้นเคยกับหนังสือและได้หัดอ่าน ซึ่งในบทความนี้เราจะไปดูกันว่าประโยชน์ของหนังสือภาพนั้นมีอะไรบ้างค่ะ หนังสือภาพ📖หนังสือภาพ คืออะไร?หนังสือภาพ คือ หนังสือที่มีภาพวาดหรือรูปภาพ🖼️เป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่ หรือบางครั้งก็มีประโยคสั้นๆ หรืออาจไม่มีตัวหนังสือเลย ซึ่งหนังสือภาพเหล่านี้เหมาะสำหรับทารก👶ที่ยังอ่านหนังสือไม่ได้ แต่จะช่วยให้ลูกได้มีทักษะการคิด ปลูกฝังให้ลูกชอบการอ่านหนังสือค่ะ📖สามารถให้ลูกเริ่มอ่านหนังสือภาพเมื่ออายุเท่าไหร่?มีคุณพ่อคุณแม่หลายๆท่านที่อ่านหนังสือ📚ให้ลูกฟังตั้งแต่อยู่ในท้องจนถึงตอนคลอดออกมา ซึ่งการอ่านหนังสือให้ลูกบ่อยๆจะเป็นการปลูกฝังที่ดีและช่วยให้ลูกชอบการอ่านหนังสือ ซึ่งอายุส่วนใหญ่ที่เหมาะแก่การอ่านหนังสือด้วยตนเองนั้นคืออายุระหว่าง 6 ถึง 9 เดือน ซึ่งเป็นช่วงอายุที่เหมาะกับการอ่านหนังสือภาพ เพราะในวัยนี้ลูกจะเริ่มจดจำภาพและสีได้ และจะชอบจับนู่นจับนี่✋นั่นเองค่ะประโยชน์ของหนังสือภาพ📖เรียนรู้พฤติกรรมต่างๆลูกจะเรียนรู้พฤติกรรมของตัวละครในหนังสือภาพ ซึ่งแต่ละตัวละครก็จะมีนิสัยที่แตกต่างกันไป ซึ่งลูกๆจะซึมซับนิสัยเหล่านั้น ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรเลือกเนื้อหาที่เหมาะสม เพื่อให้ลูกมีพฤติกรรมที่ดีนั่นเองค่ะ😀📖เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆในหนังสือภาพบางเล่มจะมีประโยค หรือคำศัพท์สั้นๆเขียนไว้ คุณพ่อคุณแม่สามารถอ่านออกเสียงและชี้ไปที่รูปภาพในหนังสือบ่อยๆ เพื่อให้ลูกจำคำศัพท์🔤เหล่านั้นได้ค่ะ📖สามารถคิดไตร่ตรองหากลูกมีการอ่านหนังสือภาพบ่อยๆ ตั้งแต่เด็ก ลูกจะมีสมาธิและจะสามารถจดจ่อได้ดีเมื่อโตขึ้น รวมถึงลูกจะเป็นผู้ฟัง👂ที่ดี เมื่อได้ยินคนมาเล่าอะไรก็จะสามารถคิดกลั่นกรองได้เช่นเดียวกับตอนที่อ่านหนังสือนั่นเองค่ะ📖ปลูกฝังให้ลูกชอบศิลปะด้วยความที่หนังสือภาพนั้นมีภาพที่มีสีสันสวยงามอยู่เยอะ ดังนั้นหนังสือภาพเหล่านี้จึงช่วยให้ลูกซึมซับและทำให้ลูกชอบศิลปะ🎨เมื่อโตขึ้นได้ค่ะ วิธีปลูกฝังให้ลูกชอบอ่านหนังสือ📖เสริมสร้างจินตนาการ หนังสือภาพส่วนใหญ่จะไม่มีคำพูดดังนั้นลูกๆ จะสร้างจินตนาการขึ้นมาจากภาพ รวมถึงการอ่านหนังสือให้ลูกฟัง ลูกก็จะจินตนาการเรื่องราวตามที่เขาได้ยิน ซึ่งเป็นการเสริมสร้างทักษะการคิด และฝึกให้ลูกมีจิตนาการ🎨ที่ดีนั่นเองค่ะ📖อ่านหนังสือให้ลูกฟังแต่เล็กในเด็กแรกเกิด แม้ว่าลูกอาจจะยังไม่สามารถเข้าใจภาษาได้🔤 เราสามารถนำหนังสือมาอ่านให้ลูกฟังทุกคืนก่อนนอนเพื่อเป็นการปลูกฝังให้ลูกคุ้นเคยตั้งแต่เด็กค่ะ 📖คติสอนใจหนังสือภาพของเด็กมักจะมีคติสอนใจสอดแทรกเข้ามาเพื่อให้เด็กๆได้เรียนรู้จากบทเรียนต่างๆในเรื่อง ซึ่งจะช่วยขัดเกลาให้ลูกอยู่ในบรรทัดฐานและเข้าใจว่าอะไรควรหรือไม่ควรทำ❌📖ชวนลูกคุยเกี่ยวกับนิทานที่อ่านเมื่อลูกโตขึ้น คุณพ่อคุณแม่สามารถชวนลูกมาอ่านหนังสือ และเมื่ออ่านนิทานเสร็จแล้ว ให้ชวยคุยถึงนิทานเรื่องนั้น📚 ว่าฟังแล้วเป็นอย่างไร มีข้อคิดอะไรบ้าง และพฤติกรรมได้ควรทำตามหรือไม่ทำตาม ก็จะทำให้ลูกรู้สึกสนุกกับการอ่านนิทานมากขึ้นค่ะ📖เพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้หลายๆคน อาจเคยได้ยินมาว่าคนเราจะจดจำภาพได้ดีกว่าตัวหนังสือใช่ไหมคะ ซึ่งหนังสือภาพจะช่วยให้ลูกเข้าใจและเรียนรู้เนื้อหาได้ไวขึ้น เพราะภาพและสี🖼️ที่อยู่ในหนังสือภาพจะช่วยให้สมองของลูกจดจำข้อมูลได้ดีนั่นเองค่ะ 📖เรียนรู้คำศัพท์ เมื่ออ่านหนังสือให้ลูกฟัง คุณพ่อคุณแม่สามารถบอกคำศัพท์ให้ลูกฟังและชี้ภาพในหนังสือ เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้และจดจำคำศัพท์🔤ใหม่ๆระหว่างที่ดูหนังสือนั่นเองค่ะ

Content Image

น้ำหนักทารกในแต่ละเดือน

     ประเด็นหนึ่งที่สามารถบ่งบอกพัฒนาการทางด้านร่างกายของเด็กนั้นก็คือเรื่องน้ำหนัก แต่เราจะทราบได้อย่างไรว่าเจ้าตัวน้อย👶ของเรามีน้ำหนักที่เป็นไปตามเกณฑ์ปกติหรือไม่ น้ำหนักน้อยหรือมากเกินไปหรือเปล่า จำเป็นไหมที่ต้องปรับโภชนการ🍲ให้ลูก บทความนี้มีคำตอบให้คุณผู้อ่านค่ะ แต่ก่อนที่เราจะทราบว่าน้ำหนักตัวของเด็กน้อยเกินไปหรือมากเกินไป เราควรทราบน้ำหนักตัวตามเกณฑ์มาตรฐานที่ควรจะเป็นในแต่ละช่วงอายุเสียก่อน เราไปดูพร้อมกันเลยค่ะ💁‍♀️ทารกในแต่ละเดือนควรมีน้ำหนักตัวเท่าไร?🌟ในทารกแรกคลอดโดยทั่วไปจะมีน้ำหนักตัวอยู่ที่ประมาณ 2.5 กิโลกรัม ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไรตั้งแต่อยู่ในท้องของคุณแม่ค่ะ และในช่วงภายใน 3 เดือนแรกก็จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มประมาณ 600-900 กรัม แต่หากคลอดมาแล้วมีน้ำหนักตัวมากกว่า 4 กิโลกรัมทันที มีความเสี่ยงที่จะทำให้เจ้าตัวน้อยมีโอกาสเป็นเบาหวานและโรคอ้วนมากกว่าคนปกติในอนาคต สาเหตุมักจะมาจากการที่คุณแม่มีน้ำหนักตัวมากหรือเป็นโรคเบาหวานอยู่แล้ว ไม่ว่าจะก่อนตั้งครรภ์หรือช่วงตั้งครรภ์🤰พอดี รวมถึงคุณแม่ที่ตั้งครรภ์มาแล้วหลายครรภ์ ลูกๆที่เกิดจากครรภ์หลังๆก็มีโอกาสที่จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นค่ะ🌟ในทารกที่มีอายุตั้งแต่ 4-6 เดือน น้ำหนักของเด็กๆจะเพิ่มประมารเดือนละ 450-600 กรัม เนื่องจากดื่มนมคุณแม่ได้มากขึ้นเพราะมีกิจวัตรประจำวันหรือเวลาในการตื่น กิน และนอนที่ชัดเจน ในช่วงวัยนี้ยังเป็นวัยที่สามารถรับประทานอาหารอื่นๆนอกจากดื่มน้ำนม🍼ของคุณแม่ได้แล้วอีกด้วยค่ะ ดังนั้นเมื่อเจ้าตัวน้อยมีอายุประมาณ 6 เดือน ก็จะมีน้ำหนักประมาณ 2 เท่าของช่วงแรกคลอดค่ะ🌟ในทารกที่มีอายุ 7-9 เดือน เด็กๆจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณเดือนละ 300-400 กรัมค่ะ จะสังเกตว่าอัตราการเพิ่มน้ำหนักนั้นลดลงกว่าช่วงก่อนหน้า เนื่องจากเป็นช่วงที่ระบบเผาผลาญของเจ้าตัวน้อยทำงานดีขึ้น เพราะมีกิจกรรมทางด้านร่างกายที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการคลาน🚼 หัดตั้งไข่ เริ่มเกาะเดิน น้ำหนักที่เพิ่มในแต่ละเดือนจึงมีอัตราที่ลดลงค่ะ🌟ในทารกที่มีอายุประมาณ 10-12 เดือนหรือเกือบขวบปี เด็กๆจะมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นประมาณเดือนละ 300 กรัม ซึ่งก็อาจจะลดลงกว่าช่วงก่อนหน้าเล็กน้อย แต่ก็เป็นเหตุผลเดียวกับช่วงก่อนหน้าเลย ก็คือการที่ระบบเผาผลาฐของเจ้าตัวน้อยทำงานดีขึ้น ประกอบกับเป็นช่วงที่ฟันน้ำนม🦷ของเด็กจะเริ่มขึ้นด้วย ทำให้เด็กๆอาจมีอาการระคายเคืองบริเวณเหงือก จึงไม่ค่อยอยากรับประทานอาหารนั่นเองค่ะ🌟เด็กๆที่มีอายุ 1 ขวบขึ้นไป น้ำหนักของเด็กจะเพิ่มขึ้นประมาณเดือนละ 200 กรัมค่ะ แต่จะเป็นช่วงที่อัตราการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวในแต่ละเดือนไม่ค่อยคงที่แล้ว ขึ้นอยู่กับกิจกรรมทางด้านร่างกายและพฤติกรรมการกินอาหาร🍽️ รวมถึงชนิดของอาหารที่กินด้วยค่ะลูกมีน้ำหนักไม่เป็นไปตามเกณฑ์ควรทำอย่างไร🔽ในกรณีที่เจ้าตัวน้อยมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ หากเป็นช่วงที่ลูกยังดื่มน้ำนม🤱ของคุณแม่อยู่ อาจแก้ปัญหาได้ด้วยการให้น้ำนมบ่อยขึ้น พยายามให้เด็กดูดจนอิ่มและคายจุกออกมาเอง ไม่บังคับไม่ลูกคายก่อนหน้านั้น ส่วนเด็กๆที่มีการดื่มนมผงแทนก็อาจค่อยๆเพิ่มปริมาณนมผงขึ้น และควรดื่มให้หมดตามปริมาณที่แนะนำในแต่ละครั้งค่ะ ในส่วนของเด็กที่มีอายุต้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปซึ่งเป็นวัยที่สามารถรับประทานอย่างอื่นมากกว่าการดื่มนมแม่ได้แล้ว คุณแม่อาจจัดมื้ออาหารของลูกให้ถี่ขึ้นได้ค่ะ อีกสิ่งที่สำคัญนอกไปจากการดื่มนม🍼และการรับประทานอาหาร คือการทำให้เจ้าตัวน้อยได้พักผ่อนด้วยการนอนหลับ😴อย่างเพียงพอค่ะ🔼ในกรณีที่ลูกมีน้ำหนักมากกว่าเกณฑ์ สิ่งที่คุณแม่ควรทำคือเริ่มควบคุมโภชนาการ🥦ของลูกในแต่ละมื้อค่ะ พยายามอย่าให้นมบ่อยเกินไป หากรับประทานอาหารอื่นๆได้แล้วก็ต้องควบคุมปริมาณไม่ให้มากเกินไป และอย่าแก้ปัญหาด้วยการให้นมหรืออาหารทุกครั้งที่เด็กร้อง😭ค่ะ เพราะบางทีเด็กๆอาจต้องการเพียงความสนใจของคุณพ่อคุณแม่เฉยๆแต่ไม่ได้หิวค่ะ สิ่งที่ควรระวังคือยังไม่ควรให้เด็กในวัยนี้ได้กินอาหารขยะหรือจั๊งค์ฟู้ด🍟 รวมไปถึงอาหารรสจัด ไม่ว่าจะเป็นอาหารหวานจัด เค็มจัด หรือเปรี้ยวจัด งดของทอดและของหมักดองค่ะ     อ่านมาถึงตรงนี้ คุณผู้อ่านก็จะทราบเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะคะว่า น้ำหนักตามเกณฑ์มาตรฐานของทารกในแต่ละช่วงวัยควรอยู่ที่เท่าไหร่ เจ้าตัวน้อยของเรามีน้ำหนักเป็นไปตามเกณฑ์หรือไม่ หากไม่เป็นไปตามเกณฑ์สามารถแก้ไขอย่างไรได้บ้าง แค่หากพยายามแก้ไขด้วยตนเองแล้วยังไม่ได้ผล ควรเข้ารับคำปรึกษาและคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ👩‍⚕️ เพื่อตรวจสอบว่าทารกมีความผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนใดเกิดขึ้นกับร่างกายหรือไม่ มีแนวทางการรักษาและปรับโภชนาการอย่างไรค่ะ

Content Image

ลูกไม่หันเมื่อเรียกชื่อ ทำยังไงดี?

     คุณแม่หลายๆท่านคงรู้สึกแปลกใจที่เมื่อเวลาเรียกชื่อ🗣️ลูก แต่ลูกกลับไม่มีการตอบสนองหรือหันหน้ามาเมื่อถูกเรียก จึงเกิดความกังวลว่าลูกเป็นโรคอะไรหรือเปล่า วันนี้เราจะมาหาคำตอบไปพร้อมๆกัน ว่าควรทำยังไงเมื่อลูกไม่ตอบสนองเวลาคุณแม่เรียกชื่อ ไปหาคำตอบพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️ลูกไม่หันเมื่อคุณแม่เรียก บ่งบอกอะไรได้บ้าง?💫ลูกเสี่ยงเป็นออทิสติกเวลาที่คุณแม่เรียกชื่อลูก แต่เขากลับเมินเฉย😐และไม่ยอมหันมาหาคุณแม่ จึงทำให้คุณแม่หลายๆท่านเกิดความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกกันแน่ ซึ่งนี่เป็น 1 สัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกของคุณแม่อาจเสี่ยงเป็นโรคออทิสติก เพราะโลกออทิสติกจะเกิดขึ้นจากความผิดปกติทางด้านการสื่อสาร🗣️ และการพัฒนาทางด้านสังคม หากคุณแม่สงสัยว่าเจ้าตัวน้อยจะเสี่ยงเป็นโรคนี้ ไม่ควรรอช้าและควรเข้าปรึกษาแพทย์ทันทีค่ะวิธีการสังเกตว่าลูกเข้าข่ายเป็นโรคออทิสติก👉ลูกไม่พูดสักทีหากคุณแม่สังเกตว่าลูกไม่ยอมพูดสักที หรือพูดช้ากว่าเด็ก👶ทั่วไปในอายุเท่าๆกัน เป็นหนึ่งในสัญญาที่บ่งบอกว่าลูกคุณแม่อาจจะเป็นโรคออทิสติกได้ค่ะ👉ไม่แสดงท่าทีหรือส่งเสียงดังเด็กๆชอบเล่นและส่งเสียงแสดงความรู้สึกดีใจ🥳 เสียใจ และร้องไห้เป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าหากคุณแม่เล่นกับลูกแล้วลูกไม่ส่งเสียงหรือมีการตอบสนองใดๆ อาจหมายความว่าลูกของคุณแม่เป็นโรคออทิสติกได้เช่นกัน👉ชอบทำอะไรเดิมๆซ้ำๆหากลูกของคุณแม่ชอบเล่นอะไรเดิมๆซ้ำๆ🧸เป็นเวลาหลายครั้ง และหมกมุ่นอยู่กับสิ่งๆนั้น ทั้งที่สิ่งนั้นไม่ได้น่าสนใจเลย เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าลูกกำลังป่วยเป็นโรคออทิสติกแน่นอนค่ะ👉ไม่สนใจสิ่งรอบข้างเด็กๆมักถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้ารอบข้าง และผู้คนรอบตัวอยู่เสมอ แต่ถ้าหากลูกของคุณแม่ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง และมีลักษณะเป็นเด็กที่นิ่งต่างจากเด็กทั่วไป มีแนวโน้มสูงที่ลูกจะป่วยเป็นโรคออทิสติก💯👉ไม่แสดงพฤติกรรมลอกเลียนแบบเด็กๆมักชอบเลิกเรียนพฤติกรรมของพ่อแม่👨‍👩‍👧และบุคคลรอบข้างอยู่เสมอ แต่ถ้าหากลูกของคุณแม่ไม่ชอบทำอะไรเลียนแบบ และยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรกลับมา ก็อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าลูกมีโอกาสเป็นโรคออทิสติกเทคนิคทำให้ลูกพูดคุยกับคุณแม่มากขึ้น✨พูดถึงสิ่งของทุกชนิดที่ลูกจับเมื่อลูกหยิบจับสิ่งของใดๆ คุณแม่ควรพูดชื่อสิ่งของนั้นๆในทุกครั้งที่ลูกจับ เพื่อเป็นการทำให้เด็กได้จดจำคำศัพท์🔠ได้ง่ายขึ้น และยังกระตุ้นการทำให้เด็กพูดคุยกับคุณแม่นั่นเองค่ะ✨ใช้น้ำเสียงหลายๆโทนคุณแม่สามารถพูดคุยโดยใช้น้ำเสียงหลายๆ ตั้งแต่ทนต่ำไปจนถึงโทนสูง🔊 เพราะน้ำเสียงที่แตกต่างกันไปจะไปดึงดูดความสนใจของเด็กให้รู้สึกอยากพูดคุยมากขึ้น✨ให้ลูกมีส่วนร่วมในการสนทนาคุณแม่ควรฝึกพูดกับลูกอยู่บ่อยๆ🗣️ และใช้เวลาอยู่กับลูกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะการสนทนาบ่อยๆนั้นจะทำให้ลูกพูดได้เร็วขึ้นและยังเป็นการฝึกฝนให้ลูกพูดเก่งได้อีกด้วยเช่นกัน✨ให้ลูกฝึกร้องเพลงการร้องเพลง🎤ถือเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้เด็กๆรู้สึกอยากพูดและอยากแสดงออก เพราะเด็กๆจะรู้สึกเพลิดเพลินไปกับการร้องเพลงและทำให้ช่วยฝึกให้เด็กๆพูดกับคุณแม่ได้เร็วขึ้น✨อ่านนิทานให้ลูกฟังเพลงคุณแม่อ่านนิทาน📚ให้ลูกฟังทุกๆคืนก่อนนอน ก็จะทำให้เด็กมีความสนใจในนิทานและสิ่งที่คุณแม่อ่าน เด็กๆจะอยากตอบสนองและคุยกับคุณแม่ทุกครั้งที่ได้รับฟังเรื่องราวต่างๆผ่านทางนิทานค่ะ     สรุปก็คือ คุณแม่ควรหมั่นสังเกตพฤติกรรมของลูก👶ดูว่าเข้าข่ายพฤติกรรมที่กล่าวมาข้างต้นหรือไม่ หากคุณแม่พบว่าลูกของเรามีความผิดปกติและแตกต่างจากเด็กคนอื่น ควรเข้าไปปรึกษาแพทย์👨‍⚕️เพื่อรับคำแนะนำ และแนวทางการรักษาค่ะ

Content Image

ลูกกินไม่อิ่มเสียที ผิดปกติหรือไม่

     ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องอาหารในประเทศไทยนั้น ถือเป็นสิ่งที่ค่อนข้างเลื่องชื่อทั้งกับชาวต่างชาติและคนไทยด้วยกันเองว่ามีรสชาติดี สามารถหารับประทานได้เรื่อยๆเมื่อหิว แต่ไม่ว่าจะอร่อยแค่ไหน หากเรารับประทานอาหารอิ่มแล้ว ความอยากอาหารนั้นก็มักจะหายเป็นปลิดทิ้งได้ด้วยตนเอง แต่เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเด็กๆบางคนค่ะ เจ้าตัวน้อยบางคนสามารถรับประทานอาหารมื้อหลักได้เยอะมาก นอกจากนี้ยังสามารถรับประทานอาหารว่างหรือขนมจุกจิกได้ทั้งวันโดยไม่รู้จักอิ่มเสียทีอีกด้วย โดยที่น้ำหนักอาจเพิ่มขึ้นตามปริมาณอาหารหรือไม่เพิ่ม ในทางตรงกันข้ามอาจน้ำหนักลดก็ได้ หากลูกๆของเรามีอาการแบบนี้ ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ หรือเป็นสัญญาณของโรคอะไรหรือไม่ วันนี้บทความของเราจึงพาคุณผู้อ่านมารู้จักกับโรคที่เกี่ยวข้องกับการรับประทานอาหารกันค่ะ💁‍♀️เสี่ยงเป็นโรคกินไม่หยุด?โรคกินไม่หยุด หรือ Binge Eating Disorder หรือที่ถูกเรียกเป็นชื่อย่อว่า BED เป็นโรคที่ผู้ป่วยมีอาการรับประทานอาหารในปริมาณกว่าคนปกติ โดยไม่สามารถควบคุมตนเองได้ รับประทานอาหารได้ตลอดเวลาแม้ไม่ได้กำลังรู้สึกหิว😋 ควบคุมปริมาณอาหารที่ตนเองรับประทานเข้าไปไม่ได้ สำหรับโรคกินไม่หยุดที่พบในเด็กนั้น มีแนวโน้มว่าสามารถเกิดจากปัจจัยดังต่อไปนี้ได้ค่ะเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม หากพบว่าคนในครอบครัว👨‍👩‍👧ที่เกี่ยวข้องทางสายเลือดกับเด็กเคยเป็นโรคกินไม่หยุด เด็กก็จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคดังกล่าวเช่นเดียวกันเด็กที่เป็นโรคอ้วนเด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับความมั่นใจในรูปร่างหรือลักษณะภายนอกของตนเองเด็กที่ผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงที่สะเทือนใจมาเด็กที่มีภาวะอื่นๆทางจิตควบคู่ไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น โรคเครียด โรคซึมเศร้า🥲 โรคกลัวสิ่งต่างๆ ไบโพลาร์ หรือถูกวิเคราะห์ว่าเป็นผู้ป่วยทางจิตหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงมาค่ะสัญญาณของโรคกินไม่หยุด✨รับประทานอาหารได้ในปริมาณปกติ หรือมากกว่าปกติ แม้ไม่ได้รู้สึกหิว✨แม้จะอิ่มแล้ว ก็ยังอยากที่จะรับประทานอาหารต่อเรื่อยๆ✨สามารถรับประทานอาหารปริมาณต่อครั้งได้มากๆอย่างรวดเร็ว✨แม้จะได้รับประทานอาหาร แต่ผู้ป่วยไม่ได้มีความสุขกับการรับประทาน มักมารู้สึกผิดและละอายใจต่อตัวเองหลังรับประทานอาหารขึ้นไป🍽️✨มีอาการทั้งหมดตามหัวข้อดังกล่าวตั้งแต่ 1-3 ครั้งต่อสัปดาห์✨โรคกินไม่หยุดนั้นสามารถนำไปสู่โรคอื่นๆตามมาได้อีกด้วย และโรคที่พ่วงมากับโรคกกินหยุด หนึ่งในนั้นก็คือโรคเบาหวานนั่นเอง แต่โรคเบาหวานเองก็มีหลายประเภท วันนี้บทความของเราจึงจะพาคุณผู้อ่านไปทำความเข้าใจถึงโรคเบาหวานประเภทที่อาจเกี่ยวข้องกับโรคกินไม่หยุดได้ นั่นก็คือโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ค่ะทำความรู้จักโรคเบาหวานชนิดที่ 2✨เป็นเบาหวานที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการรับประทานอาหารของผู้ป่วยโดยตรง✨มักเกิดได้กับเด็กที่มีน้ำหนักตัวมาก เป็นโรคอ้วน🐷 รับประทานอาหารที่มักจะเน้นไปที่แป้งและน้ำตาลในปริมาณมาก✨เด็กที่มีประวัติว่าคนในครอบครัวที่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเป็นเบาหวาน ก็จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น สัญญาณที่บ่งชี้ว่าเด็กอาจเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2✨ปัสสาวะบ่อยกว่าคนทั่วไป🚽✨ปัสสาวะมีกลิ่นหวานเหมือนน้ำผลไม้ หรือเหมือนไวน์🍷✨ดื่มน้ำเยอะ✨รับประทานอาหารได้ค่อนข้างจุ✨บางรายอาจมีกลิ่นลมหายใจคล้ายกลิ่นผลไม้ร่วมด้วย✨ลำคอหนาดำ แม้จะอาบน้ำและขัดขี้ไคลให้เด็กแล้วก็ไม่ได้ช่วยให้หายคล้ำ สามารถเกิดได้กับบริเวณข้อพับส่วนอื่นๆได้เช่นเดียวกัน     คุณผู้อ่านได้อ่านมาถึงตรงนี้ ก็จะมองภาพรวมเห็นแล้วนะคะ ว่าหากเด็กๆของเรารับประทานอาหารเยอะเกินไป หรือจุกจิกเกินไป และเราไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมการรับประทานอาหารของพวกเขาได้ เจ้าตัวน้อยของเราเสี่ยงที่จะเป็นโรคอะไรได้บ้าง หากพบว่ามีสัญญาณที่เข้าข่าย 2 โรคเหล่านี้ ก็ไม่ควรมองข้ามเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กและอาจจะหายไปเองเมื่อเด็กโตขึ้น ควรเข้ารับการประเมินจากแพทย์ทันทีค่ะ👨‍⚕️ ว่าเด็กๆของเรากำลังเผชิญกับความผิดปกติใดหรือไม่

Village Baby Co., Ltd.

4F, 83 Uisadang-daero, Yeongdeungpo-gu, Seoul, Republic of Korea

Partnership inquiries babybilly.global@villagebaby.kr

|

|

Language

Copyright Baby Billy. All rights reserved.