Baby Image

ที่แอป Baby Billy คุณสามารถดูเนื้อหาเพิ่มเติมได้!

📖 บทความที่ถูกอ่านมากที่สุด

Content Image

ท้องแล้วฉีดน้ำหอมอยู่ระวัง! อันตรายกับลูกในครรภ์

น้ำหอมหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่หลายๆคนใช้ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจและเสน่ห์ให้กับเรา แต่เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์แล้วจะสามารถใช้น้ำหอมต่อไปได้หรือไม่ จะมีผลกระทบอะไรต่อทารกในครรภ์หรือเปล่า เราไปดูกันเลยค่ะท้องแล้วยังสามารถใช้น้ำหอมได้ไหม?หลีกเลี่ยงน้ำหอม?จากงานวิจัยพบว่าคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ควรหลีกเลี่ยงน้ำหอม เทียนหอม สเปร์หอม ไมโครเวฟ รวมถึงการใช้พลาสติก👃หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ผสมน้ำหอมไม่เพียงเท่านั้นคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงน้ำหอมที่ถูกผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น สบู่🧼 ผงซักฟอง น้ำยาซักผ้า ของใช้ในครัวเรือนและของใช้ต่างๆงานวิจัยบ่งบอกว่าอย่างไร?งานวิจัยจาก University Of Illinois พบว่าสารเคมีที่อยู่ในน้ำหอมนั้นมีผลต่อการพัฒนาสมอง🧠 โดยได้ทำการทดลองในหนูที่ตั้งครรภ์ และพบว่าหนูที่ใช้ชีวิตอยู่กับน้ำหอมและพลาสติกนั้น ลูกหนูที่เกิดมามีระดับปัญญาที่แย่กว่าโดยการทดลองยังสรุปได้ว่าแม้ว่าแม่หนู🐁จะไม่ได้รับผลกระทบแต่ลูกหนูนั้นได้รับผลกระทบโดยตรง ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงน้ำหอม สเปรย์ต่างๆ และพลาสติกนั่นเองค่ะหลังคลอดล่ะ ใช้น้ำหอมได้ไหม?หลังจากที่คุณแม่คลอดลูกแล้วก็ยังไม่ควรใช้น้ำหอมเพราะผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำหอม โคโลญจน์ สเปรย์ฉีดตัวหลายๆตัวมีส่วนผสมของสารเคมีที่สามารถเป็นอันตรายต่อสุขภาพของลูกน้อยได้ โดยหายลูกยังอ่อน👶อยู่ก็จะมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับสารเคมีที่เป็นอันตรายจากน้ำหอมเหล่านี้โดยการศึกษาของสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในปี 1991 พบว่าสารเคมี 95% ในน้ำหอมเป็นสารประกอบที่ทำมาจากปิโตเลียม รวมถึง Greenpeace ยังพบว่าแบรนด์น้ำหอมชื่อดังกว่า 36 แบรนด์ มีส่วนประกอบของสารเคมีที่สามารถก่อให้เกิดอันตรายได้ อย่างพาทาเลต และ มัสค์สังเคราะห์ ซึ่งสารเคมีสองตัวนี้สามารถมีผลกระทบต่อกระแสเลือด🩸ในสมอง🧠  รวมถึงยังทำให้เกิดอาการปวดไมเกรนได้สุดท้ายนี้สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมยังพบว่าสารเคมี Linalool ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในน้ำหอมสามารถกระทบต่อระบบหายใจและยังก่อให้เกิดอาการง่วงและซึมเศร้าได้อีกด้วย😴 (ขอบคุณข้อมูลจาก Anna O'rourke,her)ทราบอย่างนี้แล้วหากเป็นไปได้ก็ควรเลี่ยงการฉีดน้ำหอมกันไปก่อนเพื่อพัฒนาการและสุขภาพที่แข็งแรงของลูกน้อยนะคะ

Content Image

พาลูกตากแสงแดดยามเช้าดีไหม?

คุณพ่อคุณแม่หลายๆคน ไม่กล้าพาลูกไปตากแดดข้างนอกเพราะกลัวว่าแสงแดดจะเป็นตัวทำร้ายผิวของลูก เพราะทารกยังมีผิวที่บอบบาง แต่ความจริงแล้วหากเลือกช่วงเวลาการพาลูกน้อยออกไปตากแดดได้อย่างเหมาะสม แสงแดดก็สามารถเป็นประโยชน์ให้กับลูกน้อยได้นะคะ ข้อดีของการตากแดดยามเช้าช่วงไหนที่ควรพาลูกตากแดด?แม้ว่าผู้ปกครองหลายๆท่านอาจจะกังวลอยู่ว่าจะพาลูกน้อยตากแดด⛅ได้จริงหรอ แต่ผิวของลูกบอบบางนะ แต่จริงๆแล้ว หากเลือกที่จะตากแดดในยามเช้าซึ่งมีแสงแดดอ่อนๆ ก็จะมีประโยชน์ต่อทารกได้นะคะ แสงแดดดีอย่างไร?🌞วิตามินดีหากพาลูกน้อยตากแดดในยามเช้าลูกก็จะได้รับวิตามินดีค่ะ ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายของทารกจะต้องการโดนรังสียูวีอย่างน้อย 15 นาทีแต่ไม่ควรเกิน 30 นาทีในแต่ละวัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสีโทนผิวของทารกโดยในทารกที่มีผิวคล้ำก็จะต้องการเวลาในการตากแดด⛅มากกว่าค่ะ ข้อดีเมื่อลูกน้อยได้รับวิตามินดีคือ มันจะช่วยในการดูดซึมแคลเซียมที่เป็นตัวช่วยในการเสริมสร้างกระดูก🦴และฟัน รวมถึงเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย🌞ลดอาการตัวเหลืองในทารกแสงแดดจะสามารถช่วยลดอาการตัวเหลืองในทารก👶ที่เกิดจากการเจริญเติบโตของบิลิรูบินเมื่อแรกเกิด หากผู้ปกครองพาลูกไปรับแสงแดดประมาณ 15-20 ต่อวันในช่วงเช้า จะสามารถลดอาการตัวเหลืองของลูกได้🌞ช่วยควบคุมระดับอินซูลินแม้ว่าแสงแดดจะไม่ได้เป็นตัวช่วยให้ระดับของอินซูลินดีโดยตรง แต่วิตามินดีที่ได้รับมาจากแสงแดดสู่ร่างกายนั้นจะเป็นตัวช่วยควบคุมระดับของอินซูลิน📉 ฉะนั้นหากลูกได้รับแสงแดดตั้งแต่เมื่ออายุยังน้อยจะสามารถช่วยป้องกันภาวะโรคเบาหวานได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็ต้องออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็จะช่วยในการป้องกันโรคเบาหวานได้ค่ะ🌞ฮอร์โมนเซโรโทนินนอกจากนั้นแสงแดดยังช่วยในเรื่องของการผลิตเซโรโทนินให้ดีขึ้น ซึ่งฮอร์โมนเซโรโทนินเป็นที่รู้จักกันในนามของฮอร์โมนแห่งความสุขนั่นเอง ซึ่งจะช่วยควบคุมการย่อยอาหาร และการนอนหลับในทารก💤อีกด้วยค่ะ 🌞เพิ่มระดับพลังงานแสงแดดธรรมชาติจะเป็นตัวควบคุมการผลิตเมลาโทนินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับและตื่นนอน เมื่อทารกได้รับแสงแดด⛅ระหว่างวันก็จะทำให้ระดับของเมลาโทนินลดลงและเพิ่มระดับพลังงานในที่สุดค่ะพาทารก 0-6 เดือนตากแดดอย่างไรดีช่วงเวลาที่เหมาะสมช่วงเวลาที่เหมาะสมในการพาลูกน้อยแรกเกิดถึง 6 เดือนการเดินเล่นคือช่วงเวลาก่อน 10 โมงเช้า🕐 หรือช่วงเวลาหลังบ่าย 4 โมง แต่ไม่ควรให้ลูกโดนแสงโดยตรง ให้ใช้รถเข็นเด็กที่มีผ้าคลุมกันแดด และไม่ควรทาครีมกันแดดให้ลูก เพราะผิวของทารกจะไม่สามารถขับเคมีในครีมกันแดดได้ วิธีเตรียมตัวเมื่อพาลูกไปเดินตากแดดควรสวมใส่ชุดมีความเบาบางเพื่อให้หายใจได้สะดวก โดยควรจะใส่หมวกเพื่อป้องกันแสงแดดโดนใบหน้า หู คอ และศรีษะของลูกน้อย👶โดยตรง รวมถึงใส่เสื้อผ้าที่มีความยาวคลุมแขนและขาของทารกรวมถึงควรซื้อแว่นกันแดดที่สามารถป้องกันยูวีเอและยูวีบีได้ เพื่อลดการสัมผัสของแสงยูวี⛅กับดวงตาของลูกน้อย การป้องกันตั้งแต่ยังเล็กจะลดโอกาสจอประสาทตาถูกทำลาย ต้อกระจกและปัญหาอื่นๆเกี่ยวกับดวงตาเมื่อออกไปข้างนอกให้กางร่ม☂️ให้ลูก หรือเปิดร่มในรถเข็นเด็ก รวมถึงเมื่อให้ลูกนั่งรถยนต์ส่วนตัวก็ควรจะมีที่บังแสงแดดแบบตาข่าย รวมถึงควรใช้ฟิมล์หน้าต่างที่สามารถกรองยูวีได้มากที่สุดหากเป็นไปได้พาทารก 6-12 เดือนตากแดดอย่างไรดีช่วงเวลาที่เหมาะสมผู้เชี่ยวชาญแนะนำช่วงเวลาในการพาทารกออกแสงแดดไว้คือช่วงเวลา 7 ถึง 10 โมงเช้า โดยควรตากแดดเวลาประมาณ 10-15 นาที🕐 ซึ่งช่วงเวลาที่ทารกจะได้รับประโยชน์สูงที่สุดคือช่วงหลังพระอาทิตย์ขึ้นหนึ่งชั่วโมงและช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกหนึ่งชั่วโมง โดยไม่ควรให้ลูกตากนานเกิน 30 นาที เพราะหากเกินกว่านั้นอาจทำให้ลูกเกิดอาการแสบร้อน ระคายเคือง เกิดรอยแดงได้ค่ะ วิธีเตรียมตัวเมื่อพาลูกไปเดินตากแดด⛅ ควรจะยังใส่เสื้อผ้า หมวก ร่มตามข้างต้นเพื่อป้องกันลูกน้อย👶อยู่แต่ให้เพิ่มครีมกันแดดให้ลูกด้วย โดยตอนนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถทาครีมกันแดดให้ลูกน้อยได้แล้ว ซึ่งควรเลือกครีมกันแดดสำหรับทารกโดยเฉพาะ และควรมีค่า SPF อย่างน้อย 30 และสามารถป้องกันรังสียูวีเอและยูวีบีได้ค่ะ

Content Image

สารให้ความหวานในน้ำอัดลมก่อให้เกิดมะเร็ง?

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ยืนยันการจำแนกสารให้ความหวานเทียม แอสปาร์แตมเป็นสารที่ 'มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' หรือ 'Possibly carcinogenics to humans' ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้  📢 ในขณะที่ข้อโต้แย้งด้านความปลอดภัยยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็กล่าวได้ว่าแอสปาร์แตมสามารถพบได้ในอาหารและเครื่องดื่มหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มลดน้ำหนัก เจลาติน หมากฝรั่ง ไอศกรีม ยาสีฟัน ยาอมแก้ไอ ผลิตภัณฑ์จากนม แล้วแบบนี้เราจะมีโอกาสเป็นมะเร็งหรือไม่ สารนี้จะหายไปจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเลยหรือไม่ คุณแม่หลายๆท่านกำลังสับสนกับเรื่องนี้🤰🏻 บิลลี่ จึงขออาสามาเช็กข้อเท็จจริงค่ะ!😉ทำความรู้จักกับแอสปาร์แตม🍹แอสปาร์แตม.....มีรสหวานกว่าน้ำตาล 200 เท่า แทบไม่มีแคลอรีเลย🙅🏻‍♀️ หลายๆท่านอาจจะยังไม่คุ้นกับชื่อของแอสปาร์แตม ซึ่งความจริงแล้วเราสามารถพบเจ้าแอสปาร์แตมนี้ในชีวิตประจำวันของเราได้ โดยสารนี้ใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากได้รับการอนุมัติในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2524 จึงเป็นสารปรุงแต่งอาหารที่ถูกนำมาใช้เพื่อให้อาหารมีรสหวาน 👅 ในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกโดยปัจจุบันยังคงมีการใช้ในอาหารและเครื่องดื่มแคลอรี่ต่ำ อย่าง Coke Zero, Diet Coke หมากฝรั่ง ลูกอม โยเกิร์ต ไอศรีม ซอส และขนมอีกหลากหลายชนิด แต่ไม่นานมานี้องค์กรอนามัยโลกหรือ WHO ประกาศให้เจ้าสารที่ถูกใช้ในเชิงเพื่อสุขภาพ กลายเป็นสารก่อมะเร็งแทน ข่าวนี้ทำให้ผู้อ่านหลายๆท่านหนักใจ เพราะเราต่างต้องเคยบริโภคสารนี้กันทั้งนั้น รู้จักประเภทของสารก่อมะเร็งองค์การระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง (IARC) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ WHO ได้ประกาศให้แอสปาร์แตมเป็นสารที่ 'มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' หรือ 'Possibly carcinogenics to humans'💥 ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้  โดย IARC ได้ระบุให้แอสปาร์แตมเป็นสารก่อมะเร็งในระดับ 2B ซึ่งการนิยามสารก่อมะเร็งของ IARC สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระดับใหญ่ๆดังนี้ระดับที่ 1 เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานบ่งชี้มากพอในเชิงสถิติ ว่าก่อให้เกิดโรคมะเร็งในมนุษย์ สารกลุ่มนี้ตามกฎหมายและข้อกำหนดขององค์กรอาหารและยาในแต่ละประเทศ จะต้องไม่ถูกเติมหรือมีการปนเปื้อนในอาหารอยู่แล้ว มักเป็นสารที่ถูกใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและวัสดุอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า ตัวอย่างสารในกลุ่มนี้ได้แก่ สารหนูหรืออาร์เซนิค หรือสารในกลุ่มเบนซีนค่ะระดับที่ 2A เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานงานวิจัยออกมายืนยันเช่นกันว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ยังถือว่ามีจำนวนงานวิจัยที่น้อย จึงได้แต่ใช้คำว่า 'มีแนวโน้มที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' แทน ยังไม่สามารถยืนยันได้เพราะยังมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือไม่เพียงพอค่ะ อย่างไรก็ตามสารในกลุ่มนี้ก็ยังมีหลักฐานบ่งชี้เพียงพอว่าก่อมะเร็งได้ในสัตว์ทดลองค่ะ ยกตัวอย่างเช่นซิลิกาที่ใช้ทำซองดูดความชื้นนั่นเองค่ะระดับที่ 2Bเป็นสารที่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ส่วนหนึ่งบ่งชี้ว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะยืนยัน ในกรณีของการก่อมะเร็งในสัตว์ก็มีแต่ยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าสามารถก่อมะเร็งได้เช่นเดียวกันค่ะ ซึ่งเจ้าแอสปาร์แตมเองก็อยู่ในกลุ่มนี้ นั่นทำให้เราสามารถตีความได้ว่า ทางองค์กรอนามัยโลกให้ข้อมูลว่าแอสปาร์แตมอาจจะก่อมะเร็งทั้งในสัตว์และในคน แต่ยังเป็นหลักฐานที่มีจำนวนน่าเชื่อถือไม่เพียงพอ เมื่อคำนวณความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติค่ะระดับที่ 3 เป็นสารที่ยังไม่มีข้อมูลว่าสามารถก่อมะเร็งได้ทั้งในร่างกายมนุษย์เองและร่างกายของสัตว์ค่ะสรุปแล้วแอสปาร์แตมอันตรายแค่ไหนแอสปาร์แตมก่อมะเร็งจริงหรือไม่?โดยความจริงแล้วสารระดับ 2B นั้นสามารถพบได้ในส่วนผสมในของที่เรารับประทานหรือใช้กันในชีวิตประจำวัน🍽️ อย่าง กรดคาเฟอิกในกาแฟ ว่างหางจระเข้ น้ำมันมะพร้าว รวมถึงกิมจิและผักดองอื่นๆด้วย ซึ่งคนไม่ได้ให้ความสำคัญเท่ากับสารทดแทนความหวาน หลักฐานจึงยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าแอสปาร์แตมจะทำให้เราเป็นมะเร็งจริงๆ แม้กระทั่งหลักฐานในสัตว์ทดลองเองก็ยังไม่ได้มีจำนวนมากพอที่จะยืนยันได้ จึงสามารถสรุปได้ว่า ไม่ได้ห้ามบริโภคเป็นอาหาร และไม่ได้หมายความว่าการรับประทานแอสปาร์แตมจะทำให้เกิดมะเร็ง แต่มีความจำเป็นที่จะต้องจำกัดปริมาณในการรับประทานสารให้ความหวานเทียมค่ะ🙌🏻  ยังสามารถรับประทานน้ำอัดลม 0% ได้หรือไม่?ยังสามารถรับประทานได้ค่ะ โดยค่าที่ปลอดภัยในการรับประทานแอสปาร์แตมจะอยู่ที่ไม่เกิน 40 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม👀 หากจะพูดให้เห็นภาพ หากคุณผู้อ่านมีน้ำหนักตัวประมาณ 50 กิโลกรัมนั่นหมายความว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานแอสปาร์แตมได้ในปริมาณที่ปลอดภัยไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ในน้ำอัดลมที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลหนึ่งกระป๋อง มักใส่แอสปาร์แตมไม่เกิน 300 มิลลิกรัม นั่นแปลว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานน้ำอัดลมชนิดนั้นได้ประมาณ 6-7 กระป๋องโดยประมาณเลย ซึ่งนับเป็นปริมาณที่ค่อนข้างเยอะมากต่อวัน หากไม่ได้ติดน้ำอัดลมกลุ่มนี้ เรามักจะกินไม่ถึงปริมาณที่มีความเสี่ยงว่าจะก่อมะเร็งอยู่แล้วค่ะ🫡 ข้อควรระวังสำหรับผู้ปกครอง🍹สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์จากการศึกษาที่ประกาศโดย American Society for Reproductive Medicine ในปี 2559 📑 สารให้ความหวานเทียมในเครื่องดื่ม 0% จะลดความสามารถของผู้หญิงในการปฏิสนธิและส่งผลต่อสุขภาพของเซลล์ไข่ โดยหากบริโภคในระหว่างตั้งครรภ์ ว่ากันว่าอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์และทำให้เด็กเสี่ยงเป็นโรคอ้วนได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มอัดลมที่มีระดับน้ำตาลสูงหากเป็นไปได้นะคะ!🙅🏻‍♀️🍹 แล้วคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังเลี้ยงลูกอยู่ล่ะ?หากคุณมีโรคทางพันธุกรรมที่เรียกว่าฟีนิลคีโตนูเรีย (PKU) ซึ่งไม่สามารถเผาผลาญแอสปาร์แตมได้ ก็ควรจะหลีกเลี่ยงการรับประทานสิ่งที่มีแอสปาร์แตม 🚫 โดยไม่ใช่เพียงคุณแม่และลูกน้อยเท่านั้นที่ควรเลี่ยง แต่ยังรวมถึงแม่ที่วางแผนหรือกำลังตั้งครรภ์ด้วย ในกรณีของทารกแรกเกิด ทารกจะได้รับการทดสอบที่โรงพยาบาลหลังคลอด ดังนั้นหากมีความผิดปกติก็สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนั้นไม่ต้องกังวลจนมากเกินไปนะคะ!แม้ว่ากระทรวงความปลอดภัยด้านอาหารและยาจะได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยของสารให้ความหวาน แต่คุณพ่อคุณแม่บางคนก็ยังคงกังวล ท่ามกลางความขัดแย้งเรื่องแอสปาร์แตม หัวหน้าสำนักโภชนาการและความปลอดภัยด้านอาหารของ WHO แนะนำว่าควรพิจารณา 'การดื่มน้ำแทนเครื่องดื่มที่มีรสหวาน🥛' แทนที่จะมองหาของหวานอื่นทดแทน ลองเลิกนิสัยชอบความหวานและพึ่งพาอาหารแปรรูป แล้วหันมาใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพกันดูนะคะ 💖

Content Image

หนูร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน!

คุณพ่อคุณแม่มือใหม่หลายๆ คนอาจสงสัยว่าทำไมลูกถึงร้องไห้งอแงหนัก นอกจาก หิว หรือ รู้สึกไม่สบายตัวแล้วยังมีเหตุผลอื่นอีกที่ทารกร้องไห้ เหตุผลเหล่านั้นคืออะไรเราไปดูกันค่ะเหตุผลที่ทารกร้องไห้✨ร้องเพราะหิวการร้องไห้เพราะหิวเป็นเหตุผลอันดับต้นๆ ที่คุณพ่อคุณแม่จะนึกถึง เพราะนมแม่นั้นจะย่อยง่ายและเป็นปกติที่ลูกจะรู้สึกหิวบ่อย โดยควรให้นมแม่กับลูกทุกๆ 2-3 ชั่วโมงแล้วสังเกตว่าลูกหยุดร้องหรือไม่ หรือยังไม่หยุดร้องแปลว่าอาจมาจากสาเหตุอื่นและหากหยุดร้องแปลว่าถูกต้องแล้วค่ะ✨ร้องเพราะปวดท้องแต่ในเด็กบางคนที่ร้องไห้หนัก😭 อาจมีเหตุผลอื่นเช่น มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ บางคนร้องไห้นาน 2-3 ชั่วโมงก็มีค่ะ ความเชื่อและงานวิจัยส่วนใหญ่พบว่าเหตุผลหลักที่ทารก👶ร้องมักมาจากการมีลม☁️ในกระเพาะอาหารมากทำให้รู้สึกอึดอัดท้อง จึงทำให้ผู้เชี่ยวชาญมักแนะนำให้ทารกทานนมแม่เท่านั้นในช่วง 0-3 เดือน เพราะนมแม่จะย่อยได้ง่ายกว่าจึงลดการเกิดลมในท้องได้✨ร้องเพราะผ้าอ้อมเปียกเวลาลูกร้องไห้ คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมคอยเช็คผ้าอ้อมของลูกนะคะว่าเปียกหรือไม่ ✨ร้องเพราะง่วงนอนบางครั้งลูกอาจรู้สึกเหนื่อย หรือง่วงนอน แต่ไม่หลับ นั่นเป็นเพราะสภาพแวดล้อมรอบๆตัวอาจไม่เอื้ออำนวยให้ลูกนอน เช่นมีคนเยอะเสียงดัง อากาศร้อนเป็นต้นค่ะ✨ร้องโดยไม่มีเหตุผลโดยในทารก👶บางคนอาจร้องไห้วันละ 2-3 ชั่วโมงโดยไม่มีเหตุผล และ ไม่มีอาการเจ็บป่วย ซึ่งสามารถพบได้ในเด็กวัยก่อน 3 เดือน คุณพ่อคุณแม่หลายๆท่านอาจหาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้ว่าทำไมลูกถึงไม่หยุดร้องไห้ ยิ่งสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงดูลูกในช่วง 2-3 เดือนแรก มักพยายามหาเหตุผลต่างๆ ว่าลูกน้อยร้องเพราะอะไรจนเกิดความเครียด😞ร้องไห้โคลิก✨ร้องไห้โคลิกคืออะไร...?ทารกที่ร้องไห้มากๆ และร้องไห้เป็นช่วงเวลา🕐จะเรียกว่าร้องโคลิก ซึ่งทารกจะร้องไห้เก่งและจะร้องเป็นเวลาเดิม เช่น ทุกๆ 4 โมงเย็น โดยยังไม่มีการระบุสาเหตุที่แท้จริงว่ามาจากสาเหตุใด✨จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกร้องโคลิกหากเป็นการร้องโคลิก😭  ทารกจะยังเจริญอาหารและยังทานนมได้เยอะ น้ำหนักของลูกน้อยก็จะขึ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยอาการโคลิกนี้จะหายไปเองหลังผ่าน 3 เดือนไปแล้วค่ะสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำ✨สังเกตลูกน้อยให้คุณพ่อคุณแม่พยายามสังเกตพฤติกรรมและอารมณ์พื้นฐานของลูก โดยพยายามตอบสนองให้ตรงกับความต้องการของลูกทันที (ใน 6 เดือนแรก) เพื่อที่ว่าลูกจะได้ไว้ใจและเกิดความผูกพันกับพ่อแม่ โดยให้พยายามสัมผัสลูกบ่อยๆจะทำให้ลูกร้องน้อยลงได้✨ไม่วิตกกังวลจนเกินไปคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรวิตกกังวลจนเกินไป ให้สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย และอาจผลัดกันเลี้ยงดูลูกพร้อมกับเปิดเพลงเบาๆ คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ควรทำใจไว้ล่วงหน้าว่าลูกน้อยในช่วง 3 เดือนแรกอาจมีอาการร้องไห้หนัก😭 โดยอาจจะหาเหตุผลได้ หรือ หาเหตุผลไม่ได้ สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทำได้คืออดทนและใจเย็น โดยหากยังรู้สึกไม่สบายใจ อาจลองพาน้องไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจดูความผิดปกติของร่างกายได้นะคะ🏥

Content Image

เอาผ้าห่อตัวทารกจริงๆแล้วดีหรือไม่?

เราอาจพบปัญหาการนอนของทารกในวัยแรกเกิดได้ซึ่งหนึ่งในวิธีที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ คือ การห่อตัวทารกด้วยผ้าการห่อตัวทารกแรกเกิด✨สาเหตุของปัญหาทารกแรกเกิดอาจจะยังไม่สามารถปรับต้วกับสภาพแวดล้อมภายนอกได้ทำให้เกิดปัญหาในการนอน❌✨การห่อทารกด้วยผ้าห่อตัวช่วยอย่างไรการห่อทารกด้วยผ้าห่อทำให้ทารกเหมือนอยู่ในมดลูก จึงทำให้ทารกนอนหลับง่ายขึ้น ลดอาการงอแง😭 ตื่นตกใจ หรือสะดุ้งตื่นเวลานอน ✨เมื่อไหร่ที่ควรหยุดห่อควรห่อทารกถึงอายุ 2 เดือนเท่านั้น หรือหากทารกสามารถนอนหลับเองได้ดีแล้วก็สามารถหยุด❌ห่อตัวได้เลย✨ทำไมถึงควรหยุดห่อเมื่อทารกโตขึ้นจะสามารถนอนหลับได้ดีขึ้นเอง นอกจากนี้เมื่อทารก👶อายุ 2 เดือนจะเริ่มสามารถเคลื่อนไหวและกลิ้งไปมาได้แล้ว ดังนั้นการห่อทารกไว้อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ข้อควรระวังในการห่อทารก✨ห่อแล้วให้นอนหงายท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับทารก เพื่อป้องกันไม่ให้ทารก👶หายใจไม่ออกจนอาจทำให้เกิดการเสียชีวิต หรือที่เรียกว่าการไหลตาย (SIDS)✨ห่อให้พอดีการห่อทารกแน่นจนขา🦵งอหรือเหยียดตรงมากเกินไปอาจทำให้เกิดอันตรายได้ ควรพันผ้าโดยให้ทารกยังสามารถขยับสะโพกและขาได้เล็กน้อย วิธีห่อทารกอย่างปลอดภัยจากคำแนะนำของราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (The American Academy of Pediatrics) ได้บอกวิธีห่อตัวของทารกอย่างปลอดภัยไว้ ดังนี้ค่ะ ✨หากห่อตัวทารก คอยดูให้ทารกนอนหลับในท่าหงาย และระวังไม่ให้ลูกนอนตะแคงหรือคว่ำในขณะหลับ ✨รวมถึงควรจัดผ้าปูที่นอน🛏️ให้ตึงเสมอ เพราะหากผ้าปูที่นอนหรือผ้าปูรองนอนมีความหย่อนหรือผ้าห่อตัวของทารกมีการห่อไว้หลวมๆ ก็อาจทำให้ผ้าหลุดออกจากเตียงหรือจากตัวของทารก👶 ได้ และหากผู้ปกครองไม่ได้เฝ้าดูอยู่ขณะนั้นก็อาจทำให้ลูกขาดอากาศหายใจหากหน้าของลูกเข้าไปซุกที่ผ้าทั้งหลายได้ค่ะ ✨ที่สำคัญคือจะต้องคอยระวังไม่ให้ที่นอนมีลักษะที่นุ่มจนเกินไป หรือมีลักษณะบุ่มเป็นแอ่ง เพราะอาจทำให้ลูกหน้าคว่ำแล้วเกิดหายใจไม่ออกและเสียชีวิตได้ค่ะ💀 รวมถึงควรจะแยกของเล่น ตุ๊กตา🧸 หมอน ผ้าห่มอื่นๆ ออกจากที่นอนของทั้งลูกและคุณพ่อคุณแม่ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้คุณพ่อคุณแม่เผลอทับโดยไม่ตั้งใจค่ะ ✨การห่อตัวทารกจะทำให้อุณหภูมิร่างกายของลูกสูง🌡️กว่าปกติ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรระวังไม่ให้ลูกร้อนจนเกินไป โดยให้สังเกตว่าลูกมีเหงื่อ💦ออกตามตัวไหม แก้มแดงหรือเปล่า ผมเปียก มีผื่นจากความร้อน หรือหายใจเร็วกว่าปกติไหมนะคะ 

👉 List บทความทารกแรกเกิด

Content Image

8 วิธีป้องกันไม่ให้ลูกถูกไฟช็อต

     ทารกนั้นล้วนอยากรู้อยากเห็นกับสิ่งรอบข้างอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของภายในบ้านและสิ่งของนอกบ้าน โดยเฉพาะเมื่อเห็นปลั๊กไฟ🔌 เด็กจะมีความอยากเอามือไปแหย่ปลั๊กไฟโดยอัตโนมัติ วันนี้ทางเราได้รวบรวมวิธีป้องกันไม่ให้ลูกถูกไฟช็อต จะมีวิธีไหนบ้าง เราไปดูพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️วิธีป้องกันไม่ให้ลูกถูกไฟช็อต มีดังต่อไปนี้1️⃣ ตรวจเช็คอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านเสมอคุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นตรวจเช็ค🔎อุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน เพื่อไม่ให้เกิดไฟรั่ว หรือไฟฟ้าลัดวงจรได้ วิธีง่ายๆที่สามารถทำได้ คือ หมั่นเช็คสายไฟ และอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านทุกชนิดว่ายังใช้ได้อย่างปลอดภัยต่อสมาชิกในครอบครัว หากสังเกตเห็นสายไฟขาด สายไฟบวม หรือสายไฟชำรุด ควรรีบเปลี่ยนสายไฟใหม่ทันที2️⃣ ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันไฟดูดอุปกรณ์ป้องกันไฟดูดนั้นสามารถป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าลดลัดวงจรได้ เช่น การติดตั้งสายดิน การติดเบรกเกอร์ควบคุมไฟ🎛️ หรือแม้กระทั่งการติดเครื่องตัดกระแสไฟฟ้าอัตโนมัติ เพียงเท่านี้ก็สามารถลดอัตราเสี่ยงในการที่ลูกจะถูกไฟฟ้าดูดได้หากเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้ารั่ว3️⃣ เลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีมาตรฐานคุณพ่อคุณแม่ควรเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีมาตรฐานถูกต้องตาม มอก. และเป็นยี่ห้อที่ได้รับความนิยมตามมาตรฐานสากล เพื่อเป็นการเช็คให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าเหล่านั้นจะปลอดภัยเมื่อใช้ทุกครั้ง โดยสามารถสังเกตสัญลักษณ์ มอก. บนเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆได้ เช่น ตู้เย็น ทีวี📺 ไมโครเวฟ และพัดลม เป็นต้น4️⃣ ห้ามไม่ให้ลูกจับปลั๊กในขณะมือเปียกคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรจับเครื่องใช้ไฟฟ้าและปลั๊กทุกชนิดในขนาดที่มือเปียกน้ำ💦 เพราะนั่นหมายถึงอาจทำให้คุณแม่เสี่ยงอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ และควรสอนลูกอยู่เสมอไม่ให้จับปลั๊กในขณะที่มือเปียก ควรเช็ดมือให้แห้งสนิทก่อนใช้งานเครื่องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดและรวมไปถึงวิธีเหล่านี้ด้วย5️⃣ ไม่ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าเกินกำลังการที่คุณพ่อคุณแม่ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าเกินกำลัง เป็นสาเหตุทำให้เกิดไฟฟ้าช็อต⚡️ หรือไฟฟ้าลัดวงจรได้ โดยเฉพาะสำหรับครอบครัวที่ชอบต่อปลั๊กพ่วงหรือเสียบปลั๊กอุปกรณ์พร้อมกันหลายๆเครื่อง การกระทำเช่นนั้นอาจเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตของตัวคุณพ่อคุณแม่และตัวลูกเองด้วย6️⃣ เก็บอุปกรณ์ไฟฟ้าให้มิดชิดคุณพ่อคุณแม่ควรเก็บอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดให้มิดชิดและเรียบร้อย โดยเฉพาะสายไฟ เพราะสายไฟที่ไม่เป็นระเบียบนั้นสามารถดึงดูดและล่อให้เด็กมาหยิบจับได้ง่าย ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรเก็บสายไฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าให้พ้นมือเด็ก👶 และควรหาฝามาปิดดูปลั๊กไฟเพื่อป้องกันการที่เด็กจะเอามือแหย่ไปในปลั๊กไฟด้วย7️⃣ อยู่ให้ห่างจากแหล่งจ่ายไฟในช่วงหน้าฝนการอยู่ใกล้กับแหล่งจ่ายไฟฟ้าในช่วงหน้าฝน⛈️นั้นถือว่าเป็นอันตรายต่อชีวิตอย่างมาก เพราะหากเกิดเหตุการณ์ฟ้าผ่าหรือเหตุการณ์ไฟฟ้ารั่ว อาจส่งผลต่อความปลอดภัยของชีวิตลูกน้อยได้ เช่น การอยู่ใกล้ๆแหล่งไฟฟ้าที่มีหม้อแปลงไฟฟ้า หรือเสาไฟฟ้าแรงสูง8️⃣ หลีกเลี่ยงการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าเองคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าเอง เพราะถ้าหากซ่อมได้ไม่ถูกวิธีอาจจะทำให้ส่งผลอันตรายต่อชีวิตได้ ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าเสียหรือชำรุด ควรติดต่อช่างไฟ🧑‍🔧ที่ชำนาญเฉพาะทางมาซ่อมให้จะปลอดภัยกว่า     อุบัติเหตุไฟฟ้าช็อตและไฟฟ้าดูด⚡️นั้นสามารถเกิดขึ้นกับลูกน้อยของคุณพ่อคุณแม่ได้ทุกเมื่อ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นสังเกตเวลาลูกน้อยเล่นรอบบ้าน และควรเก็บเครื่องใช้ไฟฟ้าให้เป็นที่เป็นทาง และห่างไกลจากมือแสนซนของลูก

Content Image

เคลือบฟลูออไรด์ควรทำตั้งแต่อายุเท่าไหร่จึงจะดี?

เราคงเคยมีประสบการณ์เคลือบฟลูออไรด์กันมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งในวันนี้เราจะมาดูกันมาการเคลือบฟลูออไรด์ตั้งแต่เด็กมีความจำเป็นอย่างไร และหากไม่ทำจะมีผลกระทบจนถึงตอนโตหรือไม่ เราไปดูกันเลยค่ะ ทำความรู้จักกับฟลูออไรด์ฟลูออไรด์คืออะไร?ฟลูออไรด์🦷 หรือ Fluoride เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่สามารถช่วยป้องกันฟันผุและ สามารถพบได้ที่ฟันของคนเรา อาหารเสริม หรือตามแหล่งน้ำนั่นเอง ซึ่งฟลูออไรด์นี้จะช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ทำให้ฟันแข็งแรง รวมถึงลดผลกระทบของคราบจุลิทรีย์ได้อีกด้วยฟลูออไรด์มีความสำคัญอย่างไร?การเคลือบฟลูอออไรด์ในเด็กมีความสำคัญอย่างมาก เพราะเด็กเล็กมักจะมีการทำความสะอาดฟัน หรือการแปรงฟัน🪥ที่ไม่สะอาด และหลายๆคนไม่ชอบแปรงฟัน และยังแปรงได้ไม่ถูกวิธี ดังนั้นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในช่องปากก็จะทำลายฟันของลูกทีละน้อยๆ จนกลายเป็นฟันผุ และอาจนำไปสู่ปัญหาทางช่องปากอื่นๆ จนทำให้สูญเสียฟันก็เป็นได้ค่ะ  อายุเท่าไหร่จึงจำเป็นต้องได้รับฟลูออไรด์?ทันตแพทย์👨‍⚕️มีการแนะนำให้ใช้ฟลูออไรด์ได้ตั้งแต่ฟัน🦷เพิ่งขึ้นเริ่มแรก หรืออายุประมาณ 6 เดือนขึ้นไป โดยจะใช้ในรูปแบบของยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ โดยจะมีปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละช่วงอายุดังนี้อายุน้อยกว่า 3 ขวบควรจะให้ใช้ในปริมาณน้อย โดยทำให้แปรงสีฟัน🪥เปียกและบีบยาสีฟันให้เพียงเล็กน้อย และขณะแปรงฟันหากมีฟองก็ควรเช็ดฟองออกให้ลูกน้อยค่ะอายุน้อยกว่า 6 ขวบบีบปริมาณพื้นที่ความกว้างพอๆกับยาสีฟันที่มีขนาดเหมาะสมกับวัยของลูกน้อยอายุ 6 ขวบขึ้นไปควรจะใช้ในปริมาณเท่ากับพื้นที่ของแปรงเช่นกัน โดยมีขนาดแปรงที่เหมาะสมกับอายุของลูกเนื่องจากปัญหาฟันผุ🦷เป็นปัญหาที่พบได้ทั่วโลก และพบถึง 60%ของเด็กทั่วโลก ซึ่งมีสาเหตุมาจากการแปรงฟันไม่สะอาด หรือการไม่แปรงฟันดังนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องให้ฟลูออไรด์ลูกตั้งแต่เด็กค่ะ การเคลือบฟลูออไรด์ที่ฟันข้อกำหนดอายุแม้ว่าการเคลือบฟลูออไรด์จะไม่มีข้อกำหนดอย่างแน่ชัดว่าควรเริ่มหรือหยุดเคลือบที่อายุเท่าไหร่ แต่จากการศึกษาทางทันตแพทย์พบว่าเด็กที่อายุต่ำว่า 3 ขวบจะมีโอกาสกลืนฟลูออไรด์ที่เคลือบได้ จึงควรเคลือบฟลูออไรด์ที่อายุ 3 ขวบจนถึงอายุ 16 ปี 🪥เคลือบฟลูออไรด์มีวิธีอย่างไรบ้างขั้นตอนการเคลือบฟลูออไรด์นั้น ทันตแพทย์👨‍⚕️จะทำความสะอาดช่องปากของลูกน้อยให้สะอาดก่อนการเคลือบ จากนั้นจะนำถาดใส่ฟลูออไรด์เจล (fluoride tray) ที่มีน้ำยาเคลือบฟลูออไรด์มาครอบที่ฟันของลูกน้อย และทิ้งน้ำยาไว้ประมาณ 4-5 นาทีแล้วจึงนำออกเมื่อนำน้ำยาออกแล้ว ทันตแพทย์จะให้บ้วน🌊ฟลูออไรด์ออกจนหมดปาก ทั้งนี้จะไม่สามารถทานอาหาร ดื่มน้ำ หรือบ้วนน้ำเป็นเวลา 30นาที เพราะจำให้ฟลูออไรด์ที่เคลือบไว้หลุดออกไปนั่นเอง

Content Image

งาน BBB Baby & Kids Best Buy ครั้งที่ 55 งานที่คุณแม่สายช้อปห้ามพลาด!

     เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งงานที่คุณแม่สายช็อปไม่ควรพลาด กับมหกรรมสินค้าแม่และเด็กอันดับ 1 ในงาน 📢BBB Baby & Kids Best Buy ครั้งที่ 55 สุดอลังการ ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 9 - 12 พฤษภาคม 2567 นี้  เวลา 10:00 - 20:00 น. ณ IMPACT Challenger Hall 3 และพิเศษเป็นอย่างยิ่งสำหรับคุณแม่ที่เป็นลูกค้าใหม่ เพียงลงทะเบียนเข้างานครั้งแรก ลุ้นรับของรางวัลใหญ่มากมาย รวมมูลค่ากว่า 30,000 บาท และภายในงานจะมีสินค้าจากแบรนด์ใดที่น่าสนใจบ้าง เรามาดูไปพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️งาน BBB คืออะไร และมีอะไรน่าช้อปบ้าง?BBB ย่อมาจาก Thailand Baby & Kids Best Buy เป็นมหกรรมการแสดงสินค้าและบริการสำหรับแม่และเด็กที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ถือว่าเป็นงานช็อปที่ตอบโจทย์คุณพ่อคุณแม่นักช้อปสำหรับเจ้าตัวน้อย🛍️ ภายในงานมีสินค้าสำหรับตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์จนถึงอายุ 12 ปี ซึ่งอยู่ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท เอซ คอน (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งสินค้าและบริการภายในงานสามารถตอบโจทย์คุณแม่ที่แพลนจะมาช็อปทุกอย่างให้ครอบคลุมสำหรับเจ้าตัวน้อย👶🏻 เพราะเป็นงานเดียวที่ผู้ผลิตและผู้นำเข้า-ส่งออกสินค้าเกี่ยวกับแม่และเด็กทั่วประเทศไทย พร้อมใจกันมาจัดจำหน่ายสินค้าในราคาสุดคุ้ม ทำให้งาน BBB จัดว่าเป็นศูนย์รวมสินค้าแม่และเด็กแห่งประเทศไทยนั่นเองค่ะ ปัจจุบันงาน BBB มีผู้เข้าร่วมแสดงสินค้าและบริการมากถึง 1,000 บูธ เช่น แบรนด์ Joie, Nuna, Camera, Joolz, Chicco, Absorba, Moby, Anmum, Enfant, Kindee Kids เป็นต้น    นอกจากการแสดงสินค้าและบริการแล้ว ภายในงานยังมีอะไรอีกบ้าง?กิจกรรมสำหรับลูกน้อยและครอบครัวนอกจากงาน BBB Baby & Kids Best Buy ครั้งที่ 55 จะรวบรวมสินค้าที่ครบครันมาให้คุณพ่อคุณแม่ได้ช้อปปิ้งสำหรับลูกน้อยแล้ว ภายในงานยังมีกิจกรรมที่ให้เจ้าตัวน้อยได้ร่วมแข่งขันและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสานสัมพันธ์อันดีงามระหว่างพ่อแม่และลูกอีกด้วย👨‍👩‍👧 มีตัวอย่างกิจกรรมดังต่อไปนี้🌟กิจกรรม Baby กะดึ๊บ กะดึ๊บ (แข่งคลาน) สำหรับเด็กอายุ 6 - 12 เดือน 🌟กิจกรรม Baby บะรื๊น บะรื๊น (รถผลักเดิน + รถขาไถ) สำหรับเด็กอายุ 1 - 2 ปี🌟กิจกรรม Baby แดนซ์ แดนซ์ (เต้น) สำหรับเด็กอายุ 1 - 3 ปี     นอกจากนี้ ภายในงานยังมีโปรโมชั่นบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ และมีแบรนด์ต่างๆที่เข้าร่วม “Easy e-Receipt” ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้ในการลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 50,000 บาท🧾 จากการช้อปปิ้งภายในงาน ทราบกันแล้วก็อย่าลืมพกช้อปปิ้งลิสต์เพื่อมาช้อปปิ้งสินค้าคุณภาพดี ราคาจับต้องได้ภายในงานกันนะคะ

Content Image

3 เคล็ดลับง่ายๆในการเลือกแปรงสีฟันให้เหมาะกับเด็กแต่ละวัย ไปดูกัน!

     คุณแม่ควรเลือกแปรงสีฟันที่พอดีกับช่องปากลูกและเลือกแปรงที่มีขนาดด้ามจับที่เหมาะสมเพื่อให้เด็กๆ สามารถจับถือใช้งานได้ง่ายและปลอดภัย นอกจากนี้คุณแม่อย่าลืมคำนึงถึงเคล็ดลับการเลือกขนาดของแปรงสีฟันใหเหมาะสมกับเด็กแต่ละวัยด้วยนะคะ ซึ่งทางเรามีคำตอบมาให้คุณแม่แล้วค่ะ💁‍♀️ การเลือกแปรงสีฟันให้เหมาะสมกับเด็กเล็ก ควรเลือกแบบนี้!อย่างที่คุณแม่ทราบกันไปแล้วว่าการเลือกแปรงสีฟันสำหรับเด็กอาจจะต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น อายุ ความสามารถ สุขภาพช่องปากของลูกน้อย👄 สีสัน ลวดลาย เป็นต้น และหนึ่งในนั้นก็คือ การใช้ช่วงอายุของพวกเขาเป็นหลักเกณฑ์สำหรับการเลือกแปรงสีฟันที่เหมาะสม ควรเลือกแบบนี้นะคะ  ✨เด็กทารก (Babies)สำหรับแปรงสีฟันของทารก👶 เริ่มแรกคุณแม่อาจใช้เพียงแค่ผ้านุ่มๆ ชุบน้ำหมาดๆ มาทำความสะอาดเหงือกของเด็กๆ ก่อนที่ฟันของพวกเขาจะขึ้น หลังจากที่ลูกเริ่มมีฟันซี่แรกงอกมา คุณแม่สามารถเลือกใช้แปรงสีฟันที่มีสีสันสดใส มีหัวแปรงขนาดเล็ก เพราะหัวแปรงขนาดเล็กจะช่วยให้คุณแม่สามารถสอดแปรงเข้าปากและทำความสะอาดช่องปากของทารกได้พอดี  ✨เด็กวัยหัดเดิน (Toddlers)แปรงสีฟันสำหรับเด็กวัยหัดเดิน เน้นเป็นแปรงที่มีสีสันสดใส เพื่อกระตุ้นให้เด็ก ๆ อยากแปรงฟันมากขึ้น🥳 และคุณแม่ควรเลือกแปรงสีฟันที่มีหัวแปรงขนาดเล็ก มีด้ามจับขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการจับของเด็กๆ วัยหัดเดิน อีกทั้งยังช่วยให้เด็กๆ สามารถฝึกการควบคุมกล้ามเนื้อมัดเล็กอย่างข้อมือ✊ได้อีกด้วยค่ะ และสำหรับเด็กที่โตขึ้นมา ควรเลือกแบบนี้✨เด็กๆ ที่มีอายุ 5 ถึง 8 ปี (Age 5 to 8) เด็กๆ ที่มีอายุ 5 ถึง 8 ปี สามารถแปรงฟัน🪥ด้วยตนเองแล้ว แต่ในบางครั้งคุณแม่อาจจะต้องคอยยืนกำกับดูแลอยู่บ้าง ซึ่งแปรงสีฟันสำหรับเด็กๆ ในช่วงอายุนี้จะมีรูปแบบค่อนข้างคล้ายกับแปรงสีฟันสำหรับผู้ใหญ่ แต่คุณแม่ควรเลือกแบบที่มีหัวแปรงขนาดเล็กและมีส่วนของด้ามจับที่บางกว่าแปรงสีฟันของเด็กวัยหัดเดิน  เนื่องจากเด็กๆ มีความคล่องแคล่วในการใช้งานมากขึ้นแล้วนั่นเองค่ะ ✨เด็กๆ ช่วงก่อนวัยรุ่น (Preadolescence)เด็กๆ ในช่วงวัยนี้ คือ เด็ก👦ที่มีอายุ 8 ปีขึ้นไปที่สามารถแปรงฟันได้ด้วยตัวเองกันแล้ว ดังนั้น เด็กวัยนี้สามารถใช้แปรงสีฟันของของผู้ใหญ่ได้เลยนะคะ แต่ก็ควรต้องมีขนาดของหัวแปรงจะบางกว่าของผู้ใหญ่ เพื่อให้เหมาะกับสรีระรูปปากของเด็กค่ะ     ถึงตอนนี้คุณแม่ก็สามารถเลือกแปรงสีฟัน🪥ให้เหมาะสมกับเด็กแต่ละช่วงวัยแล้วนะคะ แต่อย่างไรก็ตามไม่ได้มีเพียงแค่ขนาดที่สำคัญ สีสัน หรือวัสดุที่นำมาใช้ในการผลิตแปรงสีฟันก็จำเป็นต้องคำนึงถึงด้วยเช่นกันนะคะ และแปรงสีฟันไฟฟ้าก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับเด็กๆ แต่ขอแนะนำให้คุณแม่ปรึกษากับทันตแพทย์🧑‍⚕️เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกแปรงสีฟันไฟฟ้ามาให้เด็กๆ ใช้กันนะคะ 

Content Image

วิธีจัดห้องนอนเด็กอ่อน ต้องเตรียมอะไรบ้าง มาดูกัน!

     การที่ครอบครัวจะมีสมาชิกใหม่เข้ามานั้นนับว่าเป็นช่วงเวลาที่น่ายินดีและตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง การเตรียมตัวเป็นคุณพ่อคุณแม่นั้นอาจต้องใช้การวางแผนล่วงหน้า เพื่อเป็นการที่จะพร้อมรับเจ้าตัวน้อย👶ได้อย่างดี บทความนี้ได้รวบรวมสิ่งของที่จำเป็นเมื่อคุณพ่อคุณแม่ต้องจัดห้องนอนให้เด็กอ่อน มีอะไรบ้าง เราไปดูพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️ลิสต์สิ่งของจำเป็นเมื่อต้องจัดห้องนอนให้เด็กอ่อน มีดังต่อไปนี้👉เปลเด็กเมื่อเลือกเปลนอนสำหรับลูก สิ่งแรกที่ต้องให้ความสำคัญคือความปลอดภัยและความทนทานของเปล แนะนำให้คุณแม่เลือกเปลที่สามารถปรับระดับได้และมีการถ่ายเทอากาศได้ดีเพื่อเป็นการป้องกันลูกขาดอากาศหายใจขณะนอน😴 ควรลงทุนกับเปลที่มีคุณภาพสูงและออกแบบมาเพื่อเด็กโดยเฉพาะ และรวมไปถึงสิ่งของเหล่านี้ด้วย👉อุปกรณ์สำหรับการเดินทางเช่น รถเข็น และคาร์ซีท🛞👉ชุดเครื่องนอนเช่น หมอน ผ้าห่ม ผ้าห่อตัว🎽 และผ้ายางรองกันน้ำ👉เสื้อผ้าเด็กอ่อนเช่น ถุงมือ ถุงเท้า🧦 และหมวก รวมไปถึงผ้าอ้อม ผ้ากันเปื้อน และผ้ากันน้ำลาย👉อุปกรณ์ทำความสะอาดต่างๆ เช่น ทิชชู่เปียก คอตตอนบัด และสำลี โลชั่นทาผิว🧴 น้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มสำหรับเด็ก 👉อุปกรณ์ในการอาบน้ำเช่น อ่างอาบน้ำ🛀 แชมพู เจลอาบน้ำ ฟองน้ำถูตัว และผ้าขนหนู👉ปรอทวัดไข้ปรอทวัดไข้🌡️และยาสามัญประจำบ้านมีความสำคัญเป็นอย่างมากเมื่อเด็กอ่อนเกิดอาการไม่สบาย👉เครื่องปั๊มนมสำหรับคุณแม่ทารกแรกเกิดนั้นมีความจำเป็นต้องดื่มนม🤱และคุณแม่ควรให้ความสำคัญกับการให้นมทารกอย่างต่อเนื่อง  ทำให้อุปกรณ์ล้างขวดนม ขวดนม🍼 และเครื่องปั๊มนมนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก     คุณแม่ควรให้ความสำคัญต่อความสะอาดและความปลอดภัยของทารกแรกเกิด👶มากที่สุด และยังคงต้องให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมที่ทารกจะเข้าไปอยู่อาศัย เช็คให้มั่นใจว่าห้องนอนมีแสงสว่างเพียง💡 มีอากาศถ่ายเทสะดวก และยังต้องมีอุณหภูมิที่ไม่ร้อนหรือไม่เย็นเกินไปสำหรับลูก เพียงเท่านี้ก็จะช่วยทำให้ลูกอยู่ได้อย่างสะดวกสบายแล้วค่ะ

Content Image

การดูแลฟันในช่วงให้นมแม่

คุณพ่อคุณแม่อาจจะสงสัยว่าในช่วงที่ให้นมแม่นั้น เราจะสามารถดูแลสุขภาพช่องปากของคุณแม่และลูกน้อยได้อย่างไรบ้าง ต้องพาไปตรวจอะไรไหม? ให้นมลูกอยู่คุณแม่จะทำฟันได้ไหม? วันนี้เรามีคำตอบไปดูพร้อมๆกันเลยค่ะสุขภาพฟันของลูกน้อย✨นมแม่กับสุขภาพฟันของลูกน้อยทราบหรือไม่ค่ะว่าการให้นมแม่ ช่วยทำให้ฟันของลูกเรียงตัวได้ดีขึ้น โดยมีงานวิจัยที่พบว่าหากให้นมแม่จนครบ 6 เดือนจะทำให้ลูกไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องฟัน🦷เมื่อเทียบกับเด็กที่ได้รับนมแม่เพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ต้องดัดฟันเลยในอนาคตนะคะ เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างพฤติกรรมการดูดนิ้ว👈ของลูก พันธุกรรม เป็นต้น✨ควรหยุดให้นมเมื่อฟันลูกเริ่มขึ้นไหม?คำตอบคือ ไม่จำเป็นนะคะเราควรให้ลูก👶ทานนมแม่จนถึงอายุ 1 ปีเป็นอย่างต่ำ เพื่อให้ลูกได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างเต็มที่ หรืออาจให้นานกว่านั้นก็ได้ไม่มีปัญหาและสามารถหยุดได้ในเวลาที่คุณแม่ต้องการวิธีการให้นมกับความเสี่ยงฟันผุ✨การเลี้ยงด้วยนมแม่เสี่ยงฟันผุน้อยกว่าดื่มจากขวดหรือไม่?ความจริงแล้วการเลี้ยงนมแม่จะช่วยลดความเสี่ยงของการฟันผุจากการดื่มจากขวดนมค่ะ เพราะทารกที่ดื่มจากขาดนมมักจะนอนหลับทั้งทีขวดนมยังคาปากซึ่งจะสามารถส่งผลต่อฟัน🦷ของลูกได้นั่นเอง✨แล้วนมแม่สามารถทำให้ฟันผุได้ด้วยไหม?คำตอบคือนมแม่ก็สามารถทำให้เกิดฟันผุได้ค่ะ เพราะในนมแม่ก็มีปริมาณน้ำตาลโดยธรรมชาติอยู่จำนวนหนึ่ง ดังนั้นหากฟันของลูกเริ่มงอกก็ควรแปรงฟัน🪥ให้ลูกน้อยวันละ 2 ครั้งดูแลสุขภาพฟันของคุณแม่✨ให้นมลูกอยู่คุณแม่สามารถทำฟันได้ไหม?ปัจจุบันวัสดุทางทันตกรรมเกือบทั้งหมดมีความปลอดภัยสำหรับคุณแม่ที่กำลังให้นมแล้ว ดังนั้นคุณแม่สามารถไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันได้ปกติ โดยจะไม่มีผลต่อน้ำนมของแม่และไม่ต้องปั๊มนมทิ้ง🥛แม้ว่าวัสดุทางทันตกรรมเกือบทั้งหมดจะมีความปลอดภัยแต่คุณแม่ที่กำลังให้นมลูก แต่ก่อนจะทำควรตรวจสอบกับทันตแพทย์ให้ดีว่าปลอดภัยสำหรับทารกหรือไม่แล้วจึงเริ่มทำ เพราะยา💊บางอย่างอาจส่งผลต่อทารกได้ผ่านน้ำนมในภายหลังค่ะ✨คุณแม่ควรทานอาหารที่มีประโยชน์การที่คุณแม่ทานอาหารที่มีประโยชน์จะส่งผลไปยังลูกน้อยผ่านทางนมด้วย ดังนั้นคุณแม่ก็ต้องทานอาหารที่มีประโยชน์และแปรงฟัน🪥ให้ครบ 2 ครั้งต่อวันด้วยค่ะ ✨ทานน้ำให้เพียงพออย่าลืมทานน้ำให้มากเพราะการขาดน้ำจะทำให้เกิดปัญหาปากแห้งและอาจเพิ่มความเสี่ยงปัญหาโรคเหงือหรือปัญหาเกี่ยวกับฟัน🦷อื่นๆด้วยค่ะ ดูแลลูกน้อยแล้ว คุณแม่ก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะคะ 

Content Image

ระวัง! ภัยเงียบจากห้องนอนที่ทำให้ลูกป่วย

   คุณแม่หลายๆท่านมักกังวลเมื่อลูกเกิดอาการป่วย🤒 ถึงได้มองหาสาเหตุการป่วยจากปัจจัยภายนอก จนลืมมองว่าสถานที่ใกล้ตัวที่อาจทำให้ลูกป่วยได้ก็มีเช่นกัน คือ ฝุ่นและเชื้อโรคบริเวณรอบๆห้องนอน บทความนี้ได้รวบรวมบริเวณต่างๆรอบห้องนอนของลูกที่อาจเป็นสาเหตุทำให้ลูกป่วยได้ ไปหาคำตอบพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️ ปัจจัยรอบๆห้องนอนที่อาจทำให้ลูกป่วย มีดังต่อไปนี้🪟บริเวณหน้าต่างบริเวณหน้าต่างจัดเป็นบริเวณที่เต็มไปด้วยฝุ่น คุณแม่ควรหมั่นทำความสะอาด🧽ตามซอกหน้าต่างอยู่ และควรเปิดหน้าต่างบ้างให้อากาศได้ถ่ายเทมากขึ้น เพื่อไม่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคและเชื้อแบคทีเรียต่างๆ🕳️บริเวณพรมพรมนั้นเป็นแหล่งสะสมของเชื้อราที่ติดมาจากฝุ่นและติดมาจากรองเท้า👟จากบริเวณนอกบ้าน คุณแม่ควรหมั่นทำความสะอาดพรมบ่อยๆด้วยการซักและดูดฝุ่นทุกสัปดาห์ และควรหลีกเลี่ยงการนำพรมมาไว้ในห้องนอนของลูกค่ะ🙅‍♀️🐩สัตว์เลี้ยงภายในบ้านคุณแม่ไม่ควรให้ลูกนอนร่วมกับสัตว์เลี้ยง หรือการนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาปล่อยไว้ในห้องนอนลูกเป็นเวลานาน เพราะถึงแม้ว่าสัตว์เลี้ยงจะน่ารักน่าเอ็นดูขนาดไหน แต่ยังเต็มไปด้วยเชื้อโรคต่างๆที่ซ่อนอยู่ในขนของสัตว์ เช่น ขนสุนัข🐶 และขนแมว🐱 ซึ่งอาจก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ และเชื้อราต่อลูกน้อยได้ค่ะและรวมไปถึงปัจจัยเหล่านี้อีกด้วย👉หมอนหนุนศีรษะ หมอนนั้นถือเป็นแหล่งรวมเชื้อโรค🦠 เพราะฝุ่นต่างๆสามารถติดมากับเส้นผมเมื่อลูกออกไปเล่นข้างนอกบ้าน แนะนำให้คุณแม่ทำความสะอาดหมอนและปลอกหมอนของลูกด้วยการซักและอบให้แห้งทุกสัปดาห์ เพื่อเป็นการลดอาการภูมิแพ้จากไรฝุ่นนั่นเองค่ะ🛌เตียงนอนคุณแม่ควรทำการดูดฝุ่นที่นอนอย่างเป็นประจำ เพราะภายในที่นอนนั้นจะแฝงไปด้วยไรฝุ่น เชื้อรา และเชื้อแบคทีเรียที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า👀 ลูกน้อยที่มีอาการแพ้ต่อตัวไรฝุ่นจะแสดงออกมาในอาการคันและมีผื่นแพ้ขึ้นได้     ทราบแบบนี้แล้วคุณแม่ก็ไม่ควรละเลยบริเวณต่างๆรวมไปถึงของใช้ภายในห้องนอนที่อาจเป็นแหล่งสะสมของฝุ่นและเชื้อแบคทีเรีย🦠 ควรทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อเป็นการขจัดฝุ่นและเชื้อโรคที่อาจทำให้ลูกรักของคุณแม่ไม่สบาย😷ได้ค่ะ

Content Image

หนูกินนมแพะได้ไหมนะ?

นมแพะที่ผ่านการพาสเจอไรส์เพื่อให้ดื่มนั้นมีความปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ แต่นมแพะอาจไม่เหมาะกับเด็กทุกคน เพราะบางคนร่างกายยังไม่สามารถย่อยโปรตีนจากนมได้ดี หากคุณแม่ท่านใดที่กำลังตัดสินใจให้ลูกน้อยทานนมแพะอยู่แล้วละก็ ลองอ่านบทความนี้กันก่อนนะคะ ประโยชน์ของนมแพะนมแพะดีต่อลำไส้นมแพะ🥛เป็นตัวช่วยในการต้านแบคทีเรีย ทั้งยังช่วยให้ลำไส้สุขภาพดี ช่วยให้ดูดซึมอาหารและย่อยได้ดีขึ้น และยังเป็นแหล่งอาหารของแบคทีเรือตัวดีในลำไส้อีกด้วยช่วยให้ย่อยง่ายจริงๆแล้วนมแพะ🐐สามารถย่อยได้ง่ายกว่านมวัว เพราะมีความหนาแน่นของโปรตีนที่น้อยกว่า และมีไขมันสายสั้นจึงแตกตัวได้ง่าย จึงดีต่อระบบย่อยอาหารนั่นเองค่ะธาตุเหล็กสูงการกินนมแพะจะทำให้ดูดซึมธาตุเหล็กได้ง่ายขึ้น เพราะในนมแพะ🐐นั้นมีส่วนผสมธาตุเหล็กมากกว่า 50 % กันเลยทีเดียว เสริมสร้างกระดูก ช่วยโลหิตจางนมแพะสามารถช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง👄 และยังช่วยให้เด็กที่เป็นโรคหิตจางอาการดีขึ้นเมื่อทานนมแพะเป็นประจำนมแพะเหมาะกับเด็กหรือไม่?เด็กสามารถกินนมแพะได้ไหมคำตอบคือได้ ถ้าหากลูกน้อยไม่มีอาการแพ้โปรตีนในนมวัว🥛 เพราะหากมีประวัติแพ้นมวัวก็อาจมีการแพ้นมแพะได้ด้วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรให้นมแพะกับทารกแรกเกิด-1ปีทานนะคะเพราะเหตุใดนมแพะถึงไม่แหมะกับทารกในนมแพะ🐐นั้นมีปริมาณของสารอาหารที่สูงมากกว่านมแม่ นมผง หรือ นมวัวทั่วไป ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับทารกนั่นเองค่ะ โดยปริมาณโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ที่สูงกว่านั้นจะทำให้ทารก👶เสี่ยงต่อสภาวะการมีกรดมากเกินไปในร่างกาย และอาจทำให้ปัสสาวะบ่อย เสี่ยงต่อการเกิดอาการขาดน้ำข้อแนะนำ✨หากลูกน้อยมีอายุต่ำกว่า 1 ปี ไม่ควรให้ทานนมแพะเป็นอันขาด✨หากลูกน้อยมีประวัติแพ้โปรตีนในนมวัว ไม่ควรให้ทานนมแพะ✨ควรให้ลูกน้อยทานนมแพะที่ผ่านการพาสเจอไรส์เท่านั้น✨เลือกนมแพะที่มีการเสริมสารอาหาร✨อาจปรึกษากับแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจให้ลูกทาน

Content Image

การแจ้งเกิดลูก ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง มาดูกัน!

     ในฐานะผู้ปกครองมือใหม่ มีงานธุรการบางอย่างที่ต้องได้รับการดูแล เช่น การแจ้งการเกิดของบุตรหลาน👶 และการรายงานการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ ในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนที่เกี่ยวข้องและหลักฐานที่จำเป็นสำหรับการแจ้งเกิดและการเปลี่ยนที่อยู่ค่ะ💁‍♀️สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการแจ้งเกิดการรายงานการเกิดที่บ้าน ในฐานะผู้ปกครอง คุณมีหน้าที่รายงานการเกิดของบุตรหลานต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนะคะ ให้ไปติดต่อสำนักงานทะเบียนในพื้นที่หรือเทศบาลของคุณเพื่อสอบถามเกี่ยวกับขั้นตอนเฉพาะและเอกสารที่จำเป็นโดยทั่วไป📑 คุณจะต้องส่งแบบฟอร์มแจ้งการเกิดที่กรอกเรียบร้อยแล้ว ซึ่งอาจมีอยู่ทางออนไลน์หรือที่สำนักงานทะเบียน อาจต้องใช้หลักฐานประกอบ เช่น สูติบัตรของเด็ก👶🏻 เวชระเบียน และเอกสารประจำตัวของผู้ปกครองค่ะ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณดำเนินการเสร็จสิ้นภายในกรอบเวลาที่กำหนดโดยหน่วยงานท้องถิ่นของคุณนะคะการรายงานการเกิดนอกบ้าน หากลูกของคุณเกิดนอกบ้าน เช่น ในโรงพยาบาลหรือศูนย์การคลอดบุตร โดยปกติแล้วสถานพยาบาลจะจัดการขั้นตอนการแจ้งเกิด ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ให้ข้อมูลและเอกสารที่จำเป็นแล้วให้กับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลในระหว่างที่คุณพักอยู่ค่ะ โดยทั่วไปโรงพยาบาล🏥จะออกสูติบัตรซึ่งใช้เป็นหลักฐานการเกิดของเด็กค่ะสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการแจ้งเกิดล่าช้าหากผู้ปกครองรายงานการเกิดของบุตรหลานช้ากว่าที่คาดไว้ สิ่งสำคัญคือต้องดำเนินการทันทีเลยนะคะ🆘 โดยให้ติดต่อสำนักงานทะเบียนหรือเทศบาลโดยเร็วที่สุดเพื่ออธิบายความล่าช้าและขอคำแนะนำ อาจจำเป็นต้องมีเอกสารหรือหนังสือรับรองเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการแจ้งเกิดล่าช้า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อบังคับท้องถิ่นค่ะ ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่และจัดเตรียมหลักฐานที่จำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าการลงทะเบียนของบุตรหลานของคุณถูกต้องด้วยนะคะ✨สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการแจ้งเปลี่ยนที่อยู่📜การแจ้งด้วยตนเองในฐานะของเจ้าของบ้าน หากคุณเป็นเจ้าของบ้านและต้องการแจ้งเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ของคุณ คุณสามารถติดต่อสำนักงานทะเบียนในพื้นที่หรือเทศบาลของคุณได้โดยตรงเลยค่ะ สามารถสอบถามเกี่ยวกับขั้นตอนเฉพาะและเอกสารที่จำเป็นสำหรับการรายงานการเปลี่ยนที่อยู่ โดยทั่วไปคุณจะต้องกรอกแบบฟอร์มการเปลี่ยนแปลงที่อยู่และแสดงหลักฐานการเป็นเจ้าของ เช่น เอกสารทรัพย์สินหรือบิลค่าสาธารณูปโภคค่ะ📜หนังสือมอบอำนาจ หากคุณไม่สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่เป็นการส่วนตัวได้ คุณสามารถมอบหนังสือมอบอำนาจให้กับบุคคลที่ไว้วางใจได้ เช่น สมาชิกในครอบครัวหรือทนายความ เพื่อดำเนินการแจ้งการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ในนามของคุณ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งมีเอกสารที่จำเป็น รวมถึงหนังสือมอบอำนาจและหลักฐานการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ค่ะ✨สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการแจ้งการย้ายออกในกรณีที่ย้ายออกจากที่อยู่ปัจจุบันของคุณ จำเป็นต้องแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันทีค่ะ โดยให้ติดต่อสำนักงานทะเบียนในพื้นที่หรือเทศบาลของคุณเพื่อสอบถามเกี่ยวกับขั้นตอนเฉพาะและเอกสารที่จำเป็นสำหรับการย้ายออก การแจ้งโดยทั่วไปคุณจะต้องแสดงหลักฐานยืนยันที่อยู่ใหม่ของคุณ เช่น สัญญาเช่าหรือบิลค่าสาธารณูปโภค🧾 พร้อมด้วยแบบฟอร์มการย้ายออกที่กรอกครบถ้วนค่ะ✨สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการแจ้งการย้ายปลายทางอัตโนมัติหากคุณกำลังย้ายภายในเขตเทศบาลหรือเขตการปกครองเดียวกัน เขตอำนาจศาลบางแห่งอาจมีระบบการเปลี่ยนจุดหมายปลายทางอัตโนมัติค่ะ☑️ ในกรณีเช่นนี้ คุณอาจต้องจัดเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น เป็นสัญญาเช่าหรือใบเรียกเก็บเงินค่าสาธารณูปโภค เพื่ออัปเดตที่อยู่ของคุณภายในระบบ โดยให้ติดต่อสำนักงานทะเบียนในพื้นที่หรือเทศบาลของคุณเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนและข้อกำหนดเฉพาะนะคะ

Content Image

เทคนิค Power Pumping เทคนิคที่แม่ทุกคนควรทราบ!

     เทคนิค Power pumping เป็นวิธีหลอกร่างกายให้ผลิตน้ำนมเพิ่มด้วยการเลียนแบบวิธีดูดนมของทารกจากการปั๊ม วิธีนี้สามารถช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำนม หากคุณแม่ทำติดต่อกันทุก ๆ วันเป็นระยะเวลาหนึ่งก็จะทำให้คุณแม่สามารถผลิตปริมาณน้ำนมเพิ่มเองได้ตามธรรมชาติ จะมีเทคนิคการทำอย่างไรบ้าง เราได้หาคำตอบมาไว้ให้คุณแม่แล้วค่ะ💁‍♀️ เทคนิคและตารางเวลาสำหรับการทำ Power Pumpingการทำพาวเวอร์ปั๊ม (Power Pumping หรือ PP)  คือ การปั๊มนม🍼ในช่วงเวลาเดิมทุกวันจนกว่าร่างกายของคุณแม่จะตอบสนองต่อการถูกกระตุ้นและสามารถผลิตน้ำนมเพิ่มขึ้นได้เองตามธรรมชาติ โดยคุณแม่สามารถใช้เวลา 1 ชั่วโมงต่อวันและทำติดต่อกันเป็นเวลา 1 สัปดาห์ แบบไม่หักโหมนะคะ โดยมีเทคนิคและตารางเวลาดังต่อไปนี้👉 สำหรับคุณแม่ที่ปั๊มวันละ 1-2 ครั้งปั๊ม 20 นาทีพัก 10 นาทีปั๊ม 10 นาทีพัก 10 นาทีปั๊ม 10 นาที👉  สำหรับคุณแม่ที่ปั๊มวันละ 5-6 ครั้ง ปั๊ม 5 นาทีพัก 5 นาทีปั๊ม 5 นาทีพัก 5 นาทีปั๊ม 5 นาที👉  สำหรับคุณแม่ที่ปั๊มนม 2 ข้าง ปั๊มนมข้างขวา 10 นาที แล้วปั๊มนมข้างซ้าย 10 นาทีพัก 5 นาทีปั๊มนมข้างซ้าย 10 นาที แล้วปั๊มนมข้างขวา 10 นาทีพัก 5 นาทีปั๊มนมข้างขวา 10 นาที แล้วปั๊มนมข้างซ้าย 10 นาทีจริงๆแล้วระยะเวลาในการทำพาวเวอร์ปั๊มจะแตกต่างกันไปตามสภาพร่างกายของคุณแม่แต่ละคน🤱 คุณแม่บางคนอาจใช้เวลา 1 ชั่วโมงต่อวันติดต่อกันเพียงแค่ 2-3 วันก็สามารถผลิตน้ำนมได้เองและมีปริมาณที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว แต่คุณแม่บางคนอาจจะใช้เวลา 2 ชั่วโมงเป็นสัปดาห์หรือมากกว่านั้นจนกว่าจะเห็นผลลัพธ์ แนะนำให้คุณแม่ค่อยๆทำนะคะ อย่าหักโหมค่ะ เพราะอาจจะส่งผลให้คุณแม่มีอาการเจ็บเต้านมและหัวนมได้ คุณแม่ควรทำ Power Pumping เมื่อไหร่?✨ไม่มีข้อกำหนดตายตัว ไม่จำเป็นที่คุณแม่ทุกคนจะต้องใช้เทคนิคนี้ ถึงแม้จะรู้สึกว่าน้ำนมของตัวเองเริ่มลดลง หากคุณแม่รู้สึกว่าปริมาณน้ำนมที่สามารถผลิตได้ในแต่ละวันนั้นเพียงพอกับความต้องการของลูกน้อย👶แล้วนั่นเองค่ะ และคุณแม่สามารถสังเกตดูสัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกน้อยได้รับน้ำนมไม่เพียงพอ ดังต่อไปนี้- ลูกมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ยาก- ลูกมีความถี่ในการถ่ายอุจจาระลดลง💩 สามารถคำนวณได้จากจำนวนครั้งในการเปลี่ยนผ้าอ้อมใน 1 วัน- ปัสสาวะของลูกมีสีเข้มกว่าปกติ      ดังนั้นหากคุณแม่มีน้ำนมเพียงพอแล้วก็สามารถเลือกเทคนิคอื่น ๆ ที่เหมาะสมกว่ามาใช้แทนได้เลยเช่นกัน และคุณแม่อย่าลืมค้นหาสาเหตุที่ทำให้น้ำนมของคุณแม่ลดลงอีกด้วย ไม่ว่าจะเกิดจากความเครียด😥, การใช้เครื่องปั๊มนมที่ไม่มีประสิทธิภาพ, เครื่องปั๊มนมมีแรงปั๊มไม่เพียงพอ เป็นต้น และคุณแม่เองก็สามารถเข้ารับปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ👩‍⚕️เกี่ยวกับการปั๊มนมที่ถูกต้อง รวมไปถึงเทคนิคการให้นมแบบไหนที่เหมาะกับร่างกายของคุณแม่มากที่สุดด้วยเช่นกัน

Village Baby Co., Ltd.

4F, 83 Uisadang-daero, Yeongdeungpo-gu, Seoul, Republic of Korea

Partnership inquiries babybilly.global@villagebaby.kr

|

|

Language

Copyright Baby Billy. All rights reserved.