📖 บทความที่ถูกอ่านมากที่สุด
อาหารที่ควรเลี่ยงระหว่างการตั้งครรภ์
ตอนนี้คุณแม่กำลังมีเจ้าตัวเล็กอยู่ในครรภ์ ดังนั้นอะไรที่คุณแม่ทานเข้าไปก็จะเป็นการทานเผื่อลูกน้อยในท้องด้วยเช่นกัน ดังนั้นเมื่อคุณแม่รู้ตัวว่าตนเองตั้งครรภ์ก็ควรตื่นตัวและระมัดระวังสิ่งที่ทานอยู่เสมอ โดยพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งของที่อาจทำให้คุณแม่ป่วยหรืออาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของลูกน้อยค่ะทำไมถึงควรหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดในระหว่างตั้งครรภ์?เพราะอาหารบางชนิดมีแบคทีเรีย เช่น E.coli🦠 ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย ในขณะเดียวกันการตั้งครรภ์ยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณแม่ลดลง ทำให้คุณแม่เสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บต่างๆได้ เช่น ไข้หวัดใหญ่ ผู้ที่ตั้งครรภ์ยังมีแนวโน้มที่จะป่วยจากภาวะแทรกซ้อน เช่น การแท้งบุตรหรือการคลอดก่อนกำหนดหากรับประทานอาหารอย่างไม่ถูกต้อง😟 ซึ่งอาจส่งผลร้ายต่อทารกในครรภ์ทำให้เกิดความพิการแต่กำเนิดอย่างรุนแรงหรือการติดเชื้อร้ายแรงได้ค่ะ😔อาหารต้องห้ามระหว่างตั้งครรภ์🐟ปลาที่มีระดับปรอทสูงปลานั้นเต็มไปด้วยสารอาหารที่ช่วยบำรุงสมองและโอเมก้า-3 อย่างไรก็ตาม ปลาบางชนิดมีระดับปรอทสูงนั้นเป็นอันตรายต่อระบบประสาทที่กำลังพัฒนาของทารก🧠 ยิ่งปลาตัวใหญ่และอายุมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีสารปรอทมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเราแนะนำให้คุณแม่ หลีกเลี่ยงการทานปลาฉลาม🦈 ปลานาก ปลาแมคเคอเรล ปลาไทล์ และปลาทูน่านะคะ 🥩อาหารดิบปรุงไม่สุกงดเว้นจากอาหารดิบ เพราะอาหารดิบนั้นสามารถสะสมแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดอาหารเป็นพิษได้ เช่น E.coli หรือ Salmonella ปลาดิบในซาซิมิ🍣 หอยนางรมดิบก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกันอาหารที่มีส่วนผสมของไข่ไม่สุก🥚 เป็นที่แพร่หลายมาก เช่น มูสโฮมเมด แป้งดิบหรือแป้งคุกกี้ มายองเนส เป็นต้น คุณแม่ตั้งครรภ์ 🤰 ที่กินไข่ดิบและไข่ที่ปรุงไม่สุกเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะติดเชื้อซัลโมเนลลา ดังนั้นควรเลี่ยงไปก่อนดีกว่านะคะ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มเหล่านี้☕คาเฟอีนคาเฟอีนจะปลุกคุณเมื่อคุณเหนื่อย อย่างไรก็ตาม การบริโภคคาเฟอีนที่มากเกินไปอาจไปขัดขวางความสามารถในการดูดซึมธาตุเหล็ก ซึ่งนำไปสู่โรคโลหิตจางได้☕คุณแม่ไม่ควรบริโภคคาเฟอีนเกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน และหลีกเลี่ยงแหล่งอาหารที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนต่างๆ เช่น ช็อคโกแลต🍫 ชาดำหรือชาเขียว บาร์ให้พลังงาน, ของหวานรสกาแฟ, ไอศกรีม🍨, รวมถึงโยเกิร์ตก็ไม่ควรทานเกิน 200 มก.ต่อวันค่ะ🥛นมและน้ำผลไม้ที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นมพร่องมันเนย🥛 และชีส🧀 เป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพของการตั้งครรภ์ของคุณแม่ อย่างไรก็ตามนมที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากอาจมีลิสเทอเรียและเชื้อโรคอื่นๆ ควรตรวจสอบฉลากผลิตภัณฑ์ก่อนตัดสินใจซื้อเสมอนะคะ🐄🍷แอลกอฮอล์แอลกอฮอล์เป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณอย่างมากในระหว่างตั้งครรภ์ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะความความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ที่เข้าสู่กระแสเลือดของคุณก็จะเข้าสู่ลูกน้อยของคุณเช่นกัน😔 ส่งผลให้เกิดอาการแอลกอฮอล์ในครรภ์ (Fetal alcohol syndrome, FAS) ซึ่งอาจทำให้ใบหน้าผิดรูปและมีความบกพร่องทางสติปัญญา .☠️
สัญญาณการดิ้นของทารกในครรภ์
การดิ้นของทารกเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นการบ่งบอกถึงสุขภาพของทารก ดังนั้นการบันทึกความเปลี่ยนแปลงก็เป็นวิธีที่ดีในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นต่อทารกในครรภ์ได้ โดยวันนี้เราจะพูดถึงเรื่องของสัญญาณการดิ้นของทารก รวมถึงการตรวจสุขภาพครรภ์ว่ามีอะไรกันบ้างค่ะ ไปดูพร้อมๆกันเลยค่ะ สัญญาณการดิ้น👶 การดิ้นหากลูกน้อยดิ้นน้องลงหรือไม่ดิ้นเลย อาจเป็นสัญญาณว่าลูกน้อยของคุณกำลังตกอยู่ในอันตราย😟🛑โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงเวลาใกล้กำหนดคลอด หากลูกน้อยดิ้นห่างออกไป หรือ หยุดดิ้น คุณแม่ควรควรรีบพบแพทย์ทันทีค่ะ👩⚕️ การที่ทารกดิ้นในครรภ์นั้นเป็นการเคลื่อนไหว🚼หรือการทำอากัปกิริยาต่างๆของทารกนั่นเองค่ะ คุณแม่จะสามารถรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของลูกในท้อง ซึ่งคุณแม่ควรคอยสังเกตถึงความผิดปกติเพื่อความปลอดภัยของทารกในครรภ์ของคุณแม่นะคะ 👶 อาการของคุณแม่ คุณแม่อาจเริ่มรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของลูกน้อยในครรภ์ในสัปดาห์ที่ 16-20 หรือเมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์นั่นเอง การขยับตัวของลูกน้อยนั่นจะมีการต่อย🚼 เตะ ม้วนตัว และ พลิกตัว ซึ่งบางท่านอาจจะรู้สึกเหมือนเส้นประสาทกระตุกเบาๆ โดยการดิ้นของทารกจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ📈 จนถึงสัปดาห์ที่ 32 และจะคงที่หลังจากนั้น การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้อีกในช่วงใกล้วันที่ครบกำหนดคลอด🤰ในช่วงอายุครรภ์ 1-3 เดือนทารกจะมีการขยับตัวเพียงเล็กน้อยและไม่บ่อย จนเมื่อเข้าสู่อายุครรภ์ 4-6 เดือน ก็จะมีการขยับตัวมากขึ้นโดยส่วนใหญ่จะสามารถรับรู้การเคลื่อนไหวได้ในช่วงนี้ และทารกอาจมีการขยับตัวถึง 30 ครั้งต่อชั่วโมง ในช่วงอายุครรภ์ 7-9 เดือน📈การตรวจสุขภาพของครรภ์และทารก👶 การตรวจอัลตราซาวด์ (Fetal Ultrasound) เป็นการใช้การส่งคลื่นเสียง🔉เพื่อให้สะท้อนกลับมาเป็นภาพนั่นเอง โดยจะสามารถเห็นการเคลื่อนไหวและท่าทางของเด็กในครรภ์ รวมถึงสามารถทราบถึงอัตราการเต้นของหัวใจอีกด้วย💓 👶 การตรวจสุขภาพทารกในครรภ์ (Nonstress Test) เป็นการตรวจอัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ วิธีการตรวจคือจะทาเจลบนแผ่นเหล็กขนาดเล็กแล้ววางลงบนท้องของคุณแม่🤰 จากนั้นจะขาดเข็มขัดเพื่อไม่ได้แผ่นเหล็กขยับนั่นเองค่ะ 👶 การตรวจวัดความเร็วของเลือดในหลอดเลือดทารกในครรภ์ (Fetal Doppler Velocimetry) วิธีนี้คล้ายกับวิธีการตรวจสุขภาพทารกแต่จะมีการใช้คลื่นเสียงร่วมด้วย🔉 โดยวิธีนี้จะสามารถตรวจอัตราการเต้นของหัวใจของทารก💓 รวมถึงสามารถตรวจการไหลเวียนของเลือดภายในรกและสายสะดือได้อีกด้วย
ตั้งครรภ์แล้วทำไมถึงลมเยอะ เรอบ่อย ผายลมบ่อย?
คุณแม่หลายๆท่านที่กำลังกลุ้มใจว่าทำไมช่วงนี้ถึงชอบเรอบ่อย ตดบ่อย รู้สึกไม่สบายตัว ซึ่งเมื่อผายลมบ่อยๆ สามีก็จะแซวบ้าง ลุกหนีบ้าง จริงแล้วๆอาการเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่ตั้งครรภ์หรือเปล่าและจะมีวิธีรับมืออย่างไรบ้าง เราไปดูกันเลยค่ะ อะไรที่ทำให้คนท้องผายลมอยู่บ่อยๆ?เรามาทำความรู้จักกับร่างกายของคนท้องกันเถอะก่อนอื่นเลยเราต้องทำความเข้าใจว่าในร่างกายของผู้ที่ตั้งครรภ์เนี่ยมีระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่สูง จึงทำให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว และทำให้ไม่สามารถกลั้นการผายลม💨ได้ ซึ่งมดลูกของคุณแม่ที่ขยายใหญ่ขึ้นก็ไปเบียดกระเพาะอาหาร ทำให้ย่อยอาหารได้ไม่ดี จึงเป็นสาเหตุของการมีลมเยอะนั่นเองค่ะอาจเกิดจากอาหารต่างๆที่ทานเข้าไปอาหารบางอย่างมีความย่อยยาก หรือ เป็นตัวที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร เช่น ขนมปัง🍞 ข้าวโอ๊ต มันฝรั่ง ข้าวโพด นม ชีส หมากฝรั่ง หน่อไม้ฝรั่ง กะหล่ำปลี ถั่วลิสง ถั่วดำ น้ำอัดลม น้ำหวานต่างๆ หรืออาจมีจากการกลืนอากาศเข้าไป เช่น จากการเคี้ยวหมากฝรั่ง ดื่มน้ำอัดลม ดื่มจากหลอด สูบบุหรี่ หรือกลืนน้ำลายบ่อยๆวิธีการลดการเรอและการผายลมการเรอหรือการผายลมบ่อยๆ เป็นเรื่องที่น่าอายสำหรับสาวๆ ยิ่งตั้งครรภ์แล้วยิ่งท้องอืด ลมเยอะ ยิ่งเรอบ่อย ซึ่งวันนี้เรามีวิธีลดอาการผายลมมาฝากกันแล้วค่ะพยายามเลือกทานอาหารที่สร้างแก๊สน้อยพยายามเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สเยอะๆ เช่น ถั่ว🥜 ข้าวโพด หัวหอม หน่อไม้ฝรั่ง หรือ นม ไอศกรีม น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ซึ่งจริงๆแล้วแต่ละคนก็ได้รับผลจากอากาศแต่ละชนิดต่างกัน และสำหรับบางคนทานเข้าไปอาจไม่เกิดแก๊สก็ได้ ดังนั้นให้พยายามสังเกตตนเองว่าเราสามารถทานอะไรและไม่สามารถทานอะไรบ้าง อาหารอันไหนที่ทำให้เราเรอ หรือผายลมเยอะก็ให้หลีกเลี่ยงไปค่ะ ไล่ลมโดยการยกขาในระหว่างที่ตั้งครรภ์หากรู้สึกว่ามีปริมาณแก๊ส💨 ในท้องเยอะ ให้ลองหาที่ยกขาขึ้น เพราะการยกขาจะทำให้ลดแรงกดของลูกน้อยในครรภ์ลง จึงทำให้สามารถย่อยอาหารได้ดีขึ้นนั่นเองค่ะ โดยขณะที่ยกขาขึ้นควรจะใส่เสื้อผ้าสบายๆ เพื่อไม่ให้ไปขัดขวางการย่อยอาหารนะคะ ลดปริมาณอาหารแต่เพิ่มจำนวนมื้ออาหารพยายามลดปริมาณอาหารที่ทานในแต่ละมื้อลง🍲 และเพิ่มความถี่ในการทานมากขึ้น เพื่อให้ร่างกายสามารถย่อยอาหารได้ง่ายขึ้น และช่วยลดแก๊สในกระเพาะอาหารค่ะอาการแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์?ทำไมจึงตดเหม็น? ปกติคนเราตดวันละกี่ครั้ง?โดยปกติแล้วคนเราจะตดหรือผายลมประมาณ 6-10 ครั้ง/วัน โดยการเรอหรือการผายลมมักจะเกิดขึ้นหลังการรับประทานอาหาร ซึ่งอาหารบางอย่างก็สามารถส่งผลให้เวลาผายลมมีกลิ่นเหม็นได้ เช่น อาหารที่มีแบคทีเรีย🦠ที่สร้างไฮโดรเจนซัลไฟด์ แก๊สมีเทน หรืออาหารที่มีสารซัลเฟอร์ อาการอย่างไรที่ควรไปหาหมอ?✨มีอาการท้องเสียบ่อยๆ✨มีอาการท้องผูกซ้ำๆ✨มีอาการปวดท้องเป็นเวลานาน✨มีอาการท้องอืดเป็นเวลานาน✨กลั้นอุจจาระไม่ได้ ✨อุจจาระมีเลือด✨น้ำหนักลดแบบไม่ทราบสาเหตุ✨มีอาการไข้สูง อาเจียน ปวดกล้ามเนื้อ หนาวสั่น ปวดข้อ
อาการปวดหัวช่วงการตั้งครรภ์
เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ บางท่านก็อาจพบว่าตนเองจู่ๆก็มีอาการปวดศีรษะตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งอาการปวดหัวก็อาจเกิดจากภาวะปวดไมเกรน หรืออาจจะเป็นสัญญาณเตือนของโรคภัยต่างๆ ที่อันตรายกว่านั้น เช่น ภาวะครรภ์เป็นพิษ ซึ่งในวันนี้เราจะไปทำความเข้าใจกับเจ้าอาการปวดหัวนี้ให้ละเอียดขึ้นกันดีกว่าค่ะ สาเหตุของอาการปวดหัว✨ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลงการเพิ่มขึ้นและความผันผวนของฮอร์โมนเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณแม่ปวดหัวได้🤕 โดยเฉพาะช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์🙁✨การยืนหรือนั่งในท่าที่ไม่เหมาะสมส่วนใหญ่จะเกิดในช่วงการตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 3 เมื่อครรภ์ของคุณแม่เริ่มใหญ่ขึ้นจะส่งผลให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ แบกรับน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้น และเมื่อคุณแม่มีท่าการนั่งหรือยืนที่ไม่เหมาะสมก็อาจส่งผลให้ปวดศีรษะได้ ซึ่งหากปวดศีรษะในช่วงนี้ควรรรีบพบแพทย์ทันทีเพราะอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเกิดจากภาวะความดันโลหิตสูงหรือครรภ์เป็นพิษนั่นเองค่ะ 🤕✨การอดนอนและสารอาหารการขาดการพักผ่อนอันเนื่องมาจากความเครียด ซึมเศร้า หรืออาจจะเป็นเจ้าอาการคัดจมูก👃ตอนกลางคืนที่ทำให้นอนไม่หลับ ส่งผลให้ปวดศีรษะในตอนเช้าได้ หรืออาจจะมาจากการที่ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เพราะรับประทานอาหารที่มีสารอาหารไม่ครบ🥣 ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้คุณแม่เกิดอาการปวดศีรษะได้เช่นกันค่ะ อาการปวดศีรษะขณะตั้งครรภ์ที่พบบ่อย✨ปวดหัวจากความตึงเครียดอาการปวดหัวจากความตึงเครียดเป็นอาการปวดศีรษะที่พบบ่อยที่สุดในช่วงไตรมาสแรก คุณแม่จะรู้สึกปวดอย่างต่อเนื่องที่บริเวณตา👁️ที่ศีรษะ🧠และที่หลังคอของคุณแม่ หากคุณแม่ปวดหัวบ่อยๆ ก็อาจจะเป็นผลเสียต่อการตั้งครรภ์ได้✨ปวดหัวไซนัสอาการปวดหัวไซนัสจะเกิดขึ้นเมื่อคุณแม่เป็นหวัดหรือติดเชื้อทางเดินหายใจ😷โดยคุณแม่อาจรู้สึกเหมือนมีแรงกดหรือปวดที่แก้ม รอบดวงตา และที่หน้าผาก🤯✨ปวดหัวไมเกรนการปวดไมเกรนเป็นการปวดที่พบมากที่สุดในช่วงการตั้งครรภ์ในไตรมาสแรก คุณแม่จะมีอาการปวดปานกลางถึงขั้นรุนแรง โดยทั่วไปแล้วจะมีอาการปวดศีรษะข้างใดข้างหนึ่ง โดยความเจ็บปวดจะลดลงในไม่ช้าเมื่อร่างกายของคุณแม่คุ้นเคยกับปริมาณฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 😃การป้องกันและรักษาไมเกรนระหว่างตั้งครรภ์✨เทคนิคการผ่อนคลายลองการทำสมาธิ หรือโยคะ🧘 เพื่อลดความเครียดและอาการปวดหัว หรืออาจจะลองฝึกทำสมาธิ หรืออาจปรึกษากับแพทย์เพื่อขอคำแนะนำได้นะคะ👩⚕️✨ดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันน้ำตาลในเลือดต่ำ ให้คุณแม่ลองทานอาหารมื้อเล็กๆ 🍲 บ่อยๆ ตลอดทั้งวัน ดื่มน้ำให้เพียงพอ จิบน้ำอย่างช้าๆ หากคุณแม่มีอาการคลื่นไส้จากไมเกรน✨การอาบน้ำอาบน้ำเย็นหรือล้างหน้าด้วยน้ำเย็น🚿 จะสามารถบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนได้ชั่วคราวและการอาบน้ำอุ่นสามารถบรรเทาอาการปวดศีรษะจากความตึงเครียดได้🛁✨นอนหลับพักผ่อนการนอนหลับพักผ่อนในห้องที่เงียบและมืดจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้😴 ง่ายๆแค่นี้เองคะ✨ออกกำลังกายการออกกำลังกายเบาๆ ระหว่างการตั้งครรภ์ สามารถลดความรุนแรงของไมเกรน และลดการกลับเป็นซ้ำของไมเกรนได้ แถมยังช่วยลดความเครียดที่อาจทำให้ปวดหัวตึงเครียดอีกด้วยคะ🏃♀️
เรามารู้จักอาการแพ้ท้องกันเถอะ!
คุณแม่ส่วนใหญ่จะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน เมื่อเริ่มตั้งครรภ์ โดยมีชื่อเรียกกันว่า Morning Sickness🤮เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วจะมีอาการในตอนเช้านั่นเอง แต่บางคนก็อาจมีอาการในช่วงเวลาอื่น และบางคนก็อาจไม่มีอาการแพ้ท้องก็เป็นได้ค่ะ โดยในวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกันว่าอาการแพ้ท้องนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร รวมถึงวิธีการรับมือกับอาหารแพ้ท้องเหล่านี้ได้อย่างไรกันบ้างค่ะ อาการแพ้ท้องช่วงตั้งครรภ์🤰 หิวบ่อยเมื่อตั้งครรภ์คุณแม่จะต้องทานอาหารบ่อยครั้งกว่าเดิม🍚 เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือด หากคุณแม่รับประทานอาหารได้ไม่บ่อยเท่าที่ร่างกายต้องการก็จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำจึงทำให้เกิดอาการแพ้ท้องได้นั่นเองค่ะ🤰 ระดับฮอร์โมนเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ใน 3 เดือนแรก ฮอร์โมนอย่างเอสโตรเจนและ hCGจะเพิ่มสูงขึ้น📈กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ท้อง รวมไปถึงฮอร์โมนโปเจสเตอโรนก็จะเพิ่มสูงขึ้น มีผลทำให้เกิดภาวะกรดไหลย้อน อาจเกิดอาการท้องอืด คลื่นไส้ และอาเจียนหลังรับประทานอาหารนั่นเอง 😵💫🤰 ไวต่อสิ่งกระตุ้นเมื่อคุณแม่เริ่มตั้งครรภ์ ศูนย์ในสมองจะมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นมากเป็นพิเศษ เมื่อได้รับกลิ่นและรสสัมผัสบางอย่าง ก็อาจรู้สึกคลื่นไส้และอยากอาเจียนได้ง่าย🤮🥴 ซึ่งการแพ้ท้องรุนแรงนั้นจะมีในครอบครัวฝ่ายหญิงที่มีประวัติอาการแพ้ท้องอาเจียนระหว่างตั้งครรภ์ข้อดีของการแพ้ท้องหลาย ๆคนอาจจะกำลังคิดว่า เอ๊ะ การแพ้ท้องนี่มันมีข้อดีด้วยหรอ😞 แต่ความจริงแล้วการแพ้ท้องเป็นการปกป้องเด็กทารกในครรภ์ได้นะคะ🤰 เพราะจะทำให้คุณแม่ทานได้เฉพาะอาการที่ปรุงง่าย และทำให้คุณแม่หิวบ่อย เป็นการลดความเสี่ยงต่อการเจอเชื้อโรคในอาหารแปลกปลอมนั่นเอง🙂อาการแพ้ท้องมักจะพบในการท้องลูกคนแรก👶หรือการท้องลูกแฝด 2 คนขึ้น🍼หรือพบได้ในช่วงการท้องระยะ 3 เดือนแรก และหากคุณแม่อ่อนเพลียจากการทำงานหนัก หรือเมารถเมาเรือง่ายอยู่แล้วก็จะเป็นสาเหตุที่ทำให้แพ้ท้องได้เช่นกันคะวิธีบรรเทาอาการแพ้ท้อง🤰 การเลือกรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารแปลก ๆ ที่มีกลิ่นแรง หรือ รสจัด หรืออาหารที่ทำให้คุณแม่รู้สึกคลื่นไส้ ควรเลือกรับประทานอาหารที่ปลอดภัยต่อคุณแม่และลูกน้อย อาจจะเลือกอาหารที่มีรสอ่อนและไม่ปรุงเยอะ🍚 สามารถเลือกทานอาหารที่เสิร์ฟเย็น เช่น โยเกิร์ต สลัด🥗 ผลไม้สด🍓🍋เป็นต้น การหลีกเลี่ยงอาหารอุ่นร้อนนั้นจะช่วยให้สามารถเลี่ยงกลิ่นที่ระเหยออกมาได้ ซึ่งกลิ่นนี้อาจเป็นตัวกระตุ้นให้คลื่นไส้อาเจียนได้นั่นเอง🤰 เปลี่ยนนิสัยการรับประทานอาหาร พยายามทานน้อยแต่บ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการทานอาหารครั้งละมาก ๆ เพราะการทานอาหารเยอะเกินไปจะทำให้แน่นท้องเกินและอาจอยากอาเจียนได้ เลือกอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น ข้าว🍚 พาสต้า🍝 ขนมปัง🍞 อาจลองจิบเครื่องดื่มรสเปรี้ยวเมื่อรู้สึกอยากอาเจียน เช่น น้ำมะนาว หรือ น้ำผลไม้คั้นสด หรืออาจพกลูกอมรสเปรี้ยวไว้ในกระเป๋าไว้เผื่อได้นะคะ 🤰 หลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้พยายามเลี่ยงน้ำหอมกลิ่นฉุน หรือ สเปรย์ปรับอากาศ ควรเปิดหน้าต่างระบายอากาศให้ถ่ายเทและพยายามอย่าให้ห้องอับชื้น✔️หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาบ้วนปากสูตรผสมแอลกอฮอล์ แปรงฟัน🪥และลิ้นให้สะอาดเมื่อคุณแม่รู้สึกคลื่นไส้สุดท้ายนี้ควรแบ่งเวลาไปยืดเส้นยืดสายเดินสูดอากาศภายนอก🌞☁️จะช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนได้นะคะ~ คุณแม่ทุกคนสู้ๆค่ะ!~💖
👉 List บทความไตรมาสที่ 1











