Baby Image

ที่แอป Baby Billy คุณสามารถดูเนื้อหาเพิ่มเติมได้!

📖 บทความที่ถูกอ่านมากที่สุด

Content Image

อาหารที่ควรเลี่ยงระหว่างการตั้งครรภ์

ตอนนี้คุณแม่กำลังมีเจ้าตัวเล็กอยู่ในครรภ์ ดังนั้นอะไรที่คุณแม่ทานเข้าไปก็จะเป็นการทานเผื่อลูกน้อยในท้องด้วยเช่นกัน ดังนั้นเมื่อคุณแม่รู้ตัวว่าตนเองตั้งครรภ์ก็ควรตื่นตัวและระมัดระวังสิ่งที่ทานอยู่เสมอ โดยพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งของที่อาจทำให้คุณแม่ป่วยหรืออาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของลูกน้อยค่ะทำไมถึงควรหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดในระหว่างตั้งครรภ์?เพราะอาหารบางชนิดมีแบคทีเรีย เช่น E.coli🦠 ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย ในขณะเดียวกันการตั้งครรภ์ยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณแม่ลดลง ทำให้คุณแม่เสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บต่างๆได้ เช่น ไข้หวัดใหญ่  ผู้ที่ตั้งครรภ์ยังมีแนวโน้มที่จะป่วยจากภาวะแทรกซ้อน เช่น การแท้งบุตรหรือการคลอดก่อนกำหนดหากรับประทานอาหารอย่างไม่ถูกต้อง😟 ซึ่งอาจส่งผลร้ายต่อทารกในครรภ์ทำให้เกิดความพิการแต่กำเนิดอย่างรุนแรงหรือการติดเชื้อร้ายแรงได้ค่ะ😔อาหารต้องห้ามระหว่างตั้งครรภ์🐟ปลาที่มีระดับปรอทสูงปลานั้นเต็มไปด้วยสารอาหารที่ช่วยบำรุงสมองและโอเมก้า-3 อย่างไรก็ตาม ปลาบางชนิดมีระดับปรอทสูงนั้นเป็นอันตรายต่อระบบประสาทที่กำลังพัฒนาของทารก🧠 ยิ่งปลาตัวใหญ่และอายุมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีสารปรอทมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเราแนะนำให้คุณแม่ หลีกเลี่ยงการทานปลาฉลาม🦈 ปลานาก ปลาแมคเคอเรล ปลาไทล์ และปลาทูน่านะคะ 🥩อาหารดิบปรุงไม่สุกงดเว้นจากอาหารดิบ เพราะอาหารดิบนั้นสามารถสะสมแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดอาหารเป็นพิษได้ เช่น E.coli หรือ Salmonella ปลาดิบในซาซิมิ🍣 หอยนางรมดิบก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกันอาหารที่มีส่วนผสมของไข่ไม่สุก🥚 เป็นที่แพร่หลายมาก เช่น มูสโฮมเมด แป้งดิบหรือแป้งคุกกี้ มายองเนส เป็นต้น คุณแม่ตั้งครรภ์ 🤰 ที่กินไข่ดิบและไข่ที่ปรุงไม่สุกเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะติดเชื้อซัลโมเนลลา ดังนั้นควรเลี่ยงไปก่อนดีกว่านะคะ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มเหล่านี้☕คาเฟอีนคาเฟอีนจะปลุกคุณเมื่อคุณเหนื่อย อย่างไรก็ตาม การบริโภคคาเฟอีนที่มากเกินไปอาจไปขัดขวางความสามารถในการดูดซึมธาตุเหล็ก ซึ่งนำไปสู่โรคโลหิตจางได้☕คุณแม่ไม่ควรบริโภคคาเฟอีนเกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน และหลีกเลี่ยงแหล่งอาหารที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนต่างๆ เช่น ช็อคโกแลต🍫 ชาดำหรือชาเขียว บาร์ให้พลังงาน, ของหวานรสกาแฟ, ไอศกรีม🍨, รวมถึงโยเกิร์ตก็ไม่ควรทานเกิน 200 มก.ต่อวันค่ะ🥛นมและน้ำผลไม้ที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นมพร่องมันเนย🥛 และชีส🧀 เป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพของการตั้งครรภ์ของคุณแม่ อย่างไรก็ตามนมที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากอาจมีลิสเทอเรียและเชื้อโรคอื่นๆ ควรตรวจสอบฉลากผลิตภัณฑ์ก่อนตัดสินใจซื้อเสมอนะคะ🐄🍷แอลกอฮอล์แอลกอฮอล์เป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณอย่างมากในระหว่างตั้งครรภ์ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะความความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ที่เข้าสู่กระแสเลือดของคุณก็จะเข้าสู่ลูกน้อยของคุณเช่นกัน😔 ส่งผลให้เกิดอาการแอลกอฮอล์ในครรภ์ (Fetal alcohol syndrome, FAS) ซึ่งอาจทำให้ใบหน้าผิดรูปและมีความบกพร่องทางสติปัญญา .☠️

Content Image

สัญญาณการดิ้นของทารกในครรภ์

การดิ้นของทารกเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นการบ่งบอกถึงสุขภาพของทารก ดังนั้นการบันทึกความเปลี่ยนแปลงก็เป็นวิธีที่ดีในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นต่อทารกในครรภ์ได้ โดยวันนี้เราจะพูดถึงเรื่องของสัญญาณการดิ้นของทารก รวมถึงการตรวจสุขภาพครรภ์ว่ามีอะไรกันบ้างค่ะ ไปดูพร้อมๆกันเลยค่ะ สัญญาณการดิ้น👶 การดิ้นหากลูกน้อยดิ้นน้องลงหรือไม่ดิ้นเลย อาจเป็นสัญญาณว่าลูกน้อยของคุณกำลังตกอยู่ในอันตราย😟🛑โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงเวลาใกล้กำหนดคลอด หากลูกน้อยดิ้นห่างออกไป หรือ หยุดดิ้น คุณแม่ควรควรรีบพบแพทย์ทันทีค่ะ👩‍⚕️ การที่ทารกดิ้นในครรภ์นั้นเป็นการเคลื่อนไหว🚼หรือการทำอากัปกิริยาต่างๆของทารกนั่นเองค่ะ คุณแม่จะสามารถรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของลูกในท้อง ซึ่งคุณแม่ควรคอยสังเกตถึงความผิดปกติเพื่อความปลอดภัยของทารกในครรภ์ของคุณแม่นะคะ 👶 อาการของคุณแม่ คุณแม่อาจเริ่มรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของลูกน้อยในครรภ์ในสัปดาห์ที่ 16-20 หรือเมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์นั่นเอง การขยับตัวของลูกน้อยนั่นจะมีการต่อย🚼 เตะ ม้วนตัว และ พลิกตัว ซึ่งบางท่านอาจจะรู้สึกเหมือนเส้นประสาทกระตุกเบาๆ โดยการดิ้นของทารกจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ📈 จนถึงสัปดาห์ที่ 32 และจะคงที่หลังจากนั้น การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้อีกในช่วงใกล้วันที่ครบกำหนดคลอด🤰ในช่วงอายุครรภ์ 1-3 เดือนทารกจะมีการขยับตัวเพียงเล็กน้อยและไม่บ่อย จนเมื่อเข้าสู่อายุครรภ์ 4-6 เดือน ก็จะมีการขยับตัวมากขึ้นโดยส่วนใหญ่จะสามารถรับรู้การเคลื่อนไหวได้ในช่วงนี้ และทารกอาจมีการขยับตัวถึง 30 ครั้งต่อชั่วโมง ในช่วงอายุครรภ์ 7-9 เดือน📈การตรวจสุขภาพของครรภ์และทารก👶  การตรวจอัลตราซาวด์ (Fetal Ultrasound) เป็นการใช้การส่งคลื่นเสียง🔉เพื่อให้สะท้อนกลับมาเป็นภาพนั่นเอง โดยจะสามารถเห็นการเคลื่อนไหวและท่าทางของเด็กในครรภ์ รวมถึงสามารถทราบถึงอัตราการเต้นของหัวใจอีกด้วย💓 👶 การตรวจสุขภาพทารกในครรภ์ (Nonstress Test) เป็นการตรวจอัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ วิธีการตรวจคือจะทาเจลบนแผ่นเหล็กขนาดเล็กแล้ววางลงบนท้องของคุณแม่🤰 จากนั้นจะขาดเข็มขัดเพื่อไม่ได้แผ่นเหล็กขยับนั่นเองค่ะ 👶 การตรวจวัดความเร็วของเลือดในหลอดเลือดทารกในครรภ์ (Fetal Doppler Velocimetry) วิธีนี้คล้ายกับวิธีการตรวจสุขภาพทารกแต่จะมีการใช้คลื่นเสียงร่วมด้วย🔉 โดยวิธีนี้จะสามารถตรวจอัตราการเต้นของหัวใจของทารก💓 รวมถึงสามารถตรวจการไหลเวียนของเลือดภายในรกและสายสะดือได้อีกด้วย

Content Image

ตั้งครรภ์แล้วทำไมถึงลมเยอะ เรอบ่อย ผายลมบ่อย?

คุณแม่หลายๆท่านที่กำลังกลุ้มใจว่าทำไมช่วงนี้ถึงชอบเรอบ่อย ตดบ่อย รู้สึกไม่สบายตัว ซึ่งเมื่อผายลมบ่อยๆ สามีก็จะแซวบ้าง ลุกหนีบ้าง จริงแล้วๆอาการเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่ตั้งครรภ์หรือเปล่าและจะมีวิธีรับมืออย่างไรบ้าง เราไปดูกันเลยค่ะ อะไรที่ทำให้คนท้องผายลมอยู่บ่อยๆ?เรามาทำความรู้จักกับร่างกายของคนท้องกันเถอะก่อนอื่นเลยเราต้องทำความเข้าใจว่าในร่างกายของผู้ที่ตั้งครรภ์เนี่ยมีระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่สูง จึงทำให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว และทำให้ไม่สามารถกลั้นการผายลม💨ได้ ซึ่งมดลูกของคุณแม่ที่ขยายใหญ่ขึ้นก็ไปเบียดกระเพาะอาหาร ทำให้ย่อยอาหารได้ไม่ดี จึงเป็นสาเหตุของการมีลมเยอะนั่นเองค่ะอาจเกิดจากอาหารต่างๆที่ทานเข้าไปอาหารบางอย่างมีความย่อยยาก หรือ เป็นตัวที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร เช่น ขนมปัง🍞 ข้าวโอ๊ต มันฝรั่ง ข้าวโพด นม ชีส หมากฝรั่ง หน่อไม้ฝรั่ง กะหล่ำปลี  ถั่วลิสง ถั่วดำ น้ำอัดลม น้ำหวานต่างๆ หรืออาจมีจากการกลืนอากาศเข้าไป เช่น จากการเคี้ยวหมากฝรั่ง ดื่มน้ำอัดลม ดื่มจากหลอด สูบบุหรี่ หรือกลืนน้ำลายบ่อยๆวิธีการลดการเรอและการผายลมการเรอหรือการผายลมบ่อยๆ เป็นเรื่องที่น่าอายสำหรับสาวๆ ยิ่งตั้งครรภ์แล้วยิ่งท้องอืด ลมเยอะ ยิ่งเรอบ่อย ซึ่งวันนี้เรามีวิธีลดอาการผายลมมาฝากกันแล้วค่ะพยายามเลือกทานอาหารที่สร้างแก๊สน้อยพยายามเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สเยอะๆ เช่น ถั่ว🥜 ข้าวโพด หัวหอม หน่อไม้ฝรั่ง หรือ นม ไอศกรีม น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ซึ่งจริงๆแล้วแต่ละคนก็ได้รับผลจากอากาศแต่ละชนิดต่างกัน และสำหรับบางคนทานเข้าไปอาจไม่เกิดแก๊สก็ได้ ดังนั้นให้พยายามสังเกตตนเองว่าเราสามารถทานอะไรและไม่สามารถทานอะไรบ้าง อาหารอันไหนที่ทำให้เราเรอ หรือผายลมเยอะก็ให้หลีกเลี่ยงไปค่ะ ไล่ลมโดยการยกขาในระหว่างที่ตั้งครรภ์หากรู้สึกว่ามีปริมาณแก๊ส💨 ในท้องเยอะ ให้ลองหาที่ยกขาขึ้น เพราะการยกขาจะทำให้ลดแรงกดของลูกน้อยในครรภ์ลง จึงทำให้สามารถย่อยอาหารได้ดีขึ้นนั่นเองค่ะ โดยขณะที่ยกขาขึ้นควรจะใส่เสื้อผ้าสบายๆ เพื่อไม่ให้ไปขัดขวางการย่อยอาหารนะคะ ลดปริมาณอาหารแต่เพิ่มจำนวนมื้ออาหารพยายามลดปริมาณอาหารที่ทานในแต่ละมื้อลง🍲 และเพิ่มความถี่ในการทานมากขึ้น เพื่อให้ร่างกายสามารถย่อยอาหารได้ง่ายขึ้น และช่วยลดแก๊สในกระเพาะอาหารค่ะอาการแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์?ทำไมจึงตดเหม็น? ปกติคนเราตดวันละกี่ครั้ง?โดยปกติแล้วคนเราจะตดหรือผายลมประมาณ 6-10 ครั้ง/วัน โดยการเรอหรือการผายลมมักจะเกิดขึ้นหลังการรับประทานอาหาร ซึ่งอาหารบางอย่างก็สามารถส่งผลให้เวลาผายลมมีกลิ่นเหม็นได้ เช่น อาหารที่มีแบคทีเรีย🦠ที่สร้างไฮโดรเจนซัลไฟด์ แก๊สมีเทน หรืออาหารที่มีสารซัลเฟอร์ อาการอย่างไรที่ควรไปหาหมอ?✨มีอาการท้องเสียบ่อยๆ✨มีอาการท้องผูกซ้ำๆ✨มีอาการปวดท้องเป็นเวลานาน✨มีอาการท้องอืดเป็นเวลานาน✨กลั้นอุจจาระไม่ได้ ✨อุจจาระมีเลือด✨น้ำหนักลดแบบไม่ทราบสาเหตุ✨มีอาการไข้สูง อาเจียน ปวดกล้ามเนื้อ หนาวสั่น ปวดข้อ 

Content Image

อาการปวดหัวช่วงการตั้งครรภ์

เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ บางท่านก็อาจพบว่าตนเองจู่ๆก็มีอาการปวดศีรษะตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งอาการปวดหัวก็อาจเกิดจากภาวะปวดไมเกรน หรืออาจจะเป็นสัญญาณเตือนของโรคภัยต่างๆ ที่อันตรายกว่านั้น เช่น ภาวะครรภ์เป็นพิษ ซึ่งในวันนี้เราจะไปทำความเข้าใจกับเจ้าอาการปวดหัวนี้ให้ละเอียดขึ้นกันดีกว่าค่ะ สาเหตุของอาการปวดหัว✨ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลงการเพิ่มขึ้นและความผันผวนของฮอร์โมนเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณแม่ปวดหัวได้🤕 โดยเฉพาะช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์🙁✨การยืนหรือนั่งในท่าที่ไม่เหมาะสมส่วนใหญ่จะเกิดในช่วงการตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 3 เมื่อครรภ์ของคุณแม่เริ่มใหญ่ขึ้นจะส่งผลให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ แบกรับน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้น และเมื่อคุณแม่มีท่าการนั่งหรือยืนที่ไม่เหมาะสมก็อาจส่งผลให้ปวดศีรษะได้ ซึ่งหากปวดศีรษะในช่วงนี้ควรรรีบพบแพทย์ทันทีเพราะอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเกิดจากภาวะความดันโลหิตสูงหรือครรภ์เป็นพิษนั่นเองค่ะ 🤕✨การอดนอนและสารอาหารการขาดการพักผ่อนอันเนื่องมาจากความเครียด ซึมเศร้า หรืออาจจะเป็นเจ้าอาการคัดจมูก👃ตอนกลางคืนที่ทำให้นอนไม่หลับ ส่งผลให้ปวดศีรษะในตอนเช้าได้ หรืออาจจะมาจากการที่ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เพราะรับประทานอาหารที่มีสารอาหารไม่ครบ🥣 ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้คุณแม่เกิดอาการปวดศีรษะได้เช่นกันค่ะ อาการปวดศีรษะขณะตั้งครรภ์ที่พบบ่อย✨ปวดหัวจากความตึงเครียดอาการปวดหัวจากความตึงเครียดเป็นอาการปวดศีรษะที่พบบ่อยที่สุดในช่วงไตรมาสแรก คุณแม่จะรู้สึกปวดอย่างต่อเนื่องที่บริเวณตา👁️ที่ศีรษะ🧠และที่หลังคอของคุณแม่ หากคุณแม่ปวดหัวบ่อยๆ ก็อาจจะเป็นผลเสียต่อการตั้งครรภ์ได้✨ปวดหัวไซนัสอาการปวดหัวไซนัสจะเกิดขึ้นเมื่อคุณแม่เป็นหวัดหรือติดเชื้อทางเดินหายใจ😷โดยคุณแม่อาจรู้สึกเหมือนมีแรงกดหรือปวดที่แก้ม รอบดวงตา และที่หน้าผาก🤯✨ปวดหัวไมเกรนการปวดไมเกรนเป็นการปวดที่พบมากที่สุดในช่วงการตั้งครรภ์ในไตรมาสแรก คุณแม่จะมีอาการปวดปานกลางถึงขั้นรุนแรง โดยทั่วไปแล้วจะมีอาการปวดศีรษะข้างใดข้างหนึ่ง โดยความเจ็บปวดจะลดลงในไม่ช้าเมื่อร่างกายของคุณแม่คุ้นเคยกับปริมาณฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 😃การป้องกันและรักษาไมเกรนระหว่างตั้งครรภ์✨เทคนิคการผ่อนคลายลองการทำสมาธิ หรือโยคะ🧘 เพื่อลดความเครียดและอาการปวดหัว หรืออาจจะลองฝึกทำสมาธิ หรืออาจปรึกษากับแพทย์เพื่อขอคำแนะนำได้นะคะ👩‍⚕️✨ดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันน้ำตาลในเลือดต่ำ ให้คุณแม่ลองทานอาหารมื้อเล็กๆ 🍲 บ่อยๆ ตลอดทั้งวัน ดื่มน้ำให้เพียงพอ จิบน้ำอย่างช้าๆ หากคุณแม่มีอาการคลื่นไส้จากไมเกรน✨การอาบน้ำอาบน้ำเย็นหรือล้างหน้าด้วยน้ำเย็น🚿 จะสามารถบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนได้ชั่วคราวและการอาบน้ำอุ่นสามารถบรรเทาอาการปวดศีรษะจากความตึงเครียดได้🛁✨นอนหลับพักผ่อนการนอนหลับพักผ่อนในห้องที่เงียบและมืดจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้😴 ง่ายๆแค่นี้เองคะ✨ออกกำลังกายการออกกำลังกายเบาๆ ระหว่างการตั้งครรภ์ สามารถลดความรุนแรงของไมเกรน และลดการกลับเป็นซ้ำของไมเกรนได้ แถมยังช่วยลดความเครียดที่อาจทำให้ปวดหัวตึงเครียดอีกด้วยคะ🏃‍♀️

Content Image

เรามารู้จักอาการแพ้ท้องกันเถอะ!

คุณแม่ส่วนใหญ่จะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน เมื่อเริ่มตั้งครรภ์ โดยมีชื่อเรียกกันว่า Morning Sickness🤮เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วจะมีอาการในตอนเช้านั่นเอง แต่บางคนก็อาจมีอาการในช่วงเวลาอื่น และบางคนก็อาจไม่มีอาการแพ้ท้องก็เป็นได้ค่ะ โดยในวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกันว่าอาการแพ้ท้องนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร รวมถึงวิธีการรับมือกับอาหารแพ้ท้องเหล่านี้ได้อย่างไรกันบ้างค่ะ  อาการแพ้ท้องช่วงตั้งครรภ์🤰 หิวบ่อยเมื่อตั้งครรภ์คุณแม่จะต้องทานอาหารบ่อยครั้งกว่าเดิม🍚 เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือด หากคุณแม่รับประทานอาหารได้ไม่บ่อยเท่าที่ร่างกายต้องการก็จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำจึงทำให้เกิดอาการแพ้ท้องได้นั่นเองค่ะ🤰 ระดับฮอร์โมนเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ใน 3 เดือนแรก ฮอร์โมนอย่างเอสโตรเจนและ hCGจะเพิ่มสูงขึ้น📈กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ท้อง รวมไปถึงฮอร์โมนโปเจสเตอโรนก็จะเพิ่มสูงขึ้น มีผลทำให้เกิดภาวะกรดไหลย้อน อาจเกิดอาการท้องอืด คลื่นไส้ และอาเจียนหลังรับประทานอาหารนั่นเอง 😵‍💫🤰 ไวต่อสิ่งกระตุ้นเมื่อคุณแม่เริ่มตั้งครรภ์ ศูนย์ในสมองจะมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นมากเป็นพิเศษ เมื่อได้รับกลิ่นและรสสัมผัสบางอย่าง ก็อาจรู้สึกคลื่นไส้และอยากอาเจียนได้ง่าย🤮🥴 ซึ่งการแพ้ท้องรุนแรงนั้นจะมีในครอบครัวฝ่ายหญิงที่มีประวัติอาการแพ้ท้องอาเจียนระหว่างตั้งครรภ์ข้อดีของการแพ้ท้องหลาย ๆคนอาจจะกำลังคิดว่า เอ๊ะ การแพ้ท้องนี่มันมีข้อดีด้วยหรอ😞 แต่ความจริงแล้วการแพ้ท้องเป็นการปกป้องเด็กทารกในครรภ์ได้นะคะ🤰 เพราะจะทำให้คุณแม่ทานได้เฉพาะอาการที่ปรุงง่าย และทำให้คุณแม่หิวบ่อย เป็นการลดความเสี่ยงต่อการเจอเชื้อโรคในอาหารแปลกปลอมนั่นเอง🙂อาการแพ้ท้องมักจะพบในการท้องลูกคนแรก👶หรือการท้องลูกแฝด 2 คนขึ้น🍼หรือพบได้ในช่วงการท้องระยะ 3 เดือนแรก และหากคุณแม่อ่อนเพลียจากการทำงานหนัก หรือเมารถเมาเรือง่ายอยู่แล้วก็จะเป็นสาเหตุที่ทำให้แพ้ท้องได้เช่นกันคะวิธีบรรเทาอาการแพ้ท้อง🤰 การเลือกรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารแปลก ๆ ที่มีกลิ่นแรง หรือ รสจัด หรืออาหารที่ทำให้คุณแม่รู้สึกคลื่นไส้ ควรเลือกรับประทานอาหารที่ปลอดภัยต่อคุณแม่และลูกน้อย อาจจะเลือกอาหารที่มีรสอ่อนและไม่ปรุงเยอะ🍚 สามารถเลือกทานอาหารที่เสิร์ฟเย็น เช่น โยเกิร์ต สลัด🥗 ผลไม้สด🍓🍋เป็นต้น การหลีกเลี่ยงอาหารอุ่นร้อนนั้นจะช่วยให้สามารถเลี่ยงกลิ่นที่ระเหยออกมาได้ ซึ่งกลิ่นนี้อาจเป็นตัวกระตุ้นให้คลื่นไส้อาเจียนได้นั่นเอง🤰 เปลี่ยนนิสัยการรับประทานอาหาร พยายามทานน้อยแต่บ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการทานอาหารครั้งละมาก ๆ เพราะการทานอาหารเยอะเกินไปจะทำให้แน่นท้องเกินและอาจอยากอาเจียนได้ เลือกอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น ข้าว🍚 พาสต้า🍝 ขนมปัง🍞 อาจลองจิบเครื่องดื่มรสเปรี้ยวเมื่อรู้สึกอยากอาเจียน เช่น น้ำมะนาว หรือ น้ำผลไม้คั้นสด หรืออาจพกลูกอมรสเปรี้ยวไว้ในกระเป๋าไว้เผื่อได้นะคะ 🤰 หลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้พยายามเลี่ยงน้ำหอมกลิ่นฉุน หรือ สเปรย์ปรับอากาศ ควรเปิดหน้าต่างระบายอากาศให้ถ่ายเทและพยายามอย่าให้ห้องอับชื้น✔️หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาบ้วนปากสูตรผสมแอลกอฮอล์ แปรงฟัน🪥และลิ้นให้สะอาดเมื่อคุณแม่รู้สึกคลื่นไส้สุดท้ายนี้ควรแบ่งเวลาไปยืดเส้นยืดสายเดินสูดอากาศภายนอก🌞☁️จะช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนได้นะคะ~ คุณแม่ทุกคนสู้ๆค่ะ!~💖

👉 List บทความไตรมาสที่ 1

Content Image

อาการของคุณแม่ตั้งครรภ์ 11 สัปดาห์

     การตั้งครรภ์ 11 สัปดาห์ จะเท่ากับว่าคุณแม่ตั้งครรภ์ได้ 2 เดือน กับอีก 3 สัปดาห์ ในช่วงนี้ลูกในท้องจะมีขนาดประมาณผลลิ้นจี่ ขนาดประมาณ 4.1 เซนติเมตร และมีน้ำหนักประมาณ 0.25 ออนซ์ วันนี้ทางเราได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอาการของคุณแม่ตั้งครรภ์ 11 สัปดาห์ และพัฒนาการของลูกมาให้คุณแม่ทราบกันค่ะ💁‍♀️พัฒนาการของทารกในครรภ์ช่วงสัปดาห์ที่ 11มีพัฒนาการทางด้านร่างกายทารกจะมีพัฒนาการทางด้านร่างกายที่ชัดมากยิ่งขึ้น แต่ในช่วงสัปดาห์นี้จะยังไม่สามารถระบุเพศของทารกได้อย่างชัดเจน🙅‍♀️ เริ่มมีการงอกของอวัยวะต่าง ๆ รวมไปถึงพัฒนาการทางด้านร่างกายดังต่อไปนี้- มีฟันงอกขึ้นที่เหงือก🦷- มีการพัฒนาของใบหูที่ชัดเจนขึ้น👂- มีการพัฒนาส่วนหัวของทารกในครรภ์ หัวโตขึ้นเกือบเป็นครึ่งหนึ่งของขนาดตัว เริ่มมองเห็นเค้าโครง เป็นใบหน้า👶สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น- มีนิ้วมือ นิ้วเท้า🦶 แยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์ ทารกเริ่มขยับแขนขามากขึ้น - มีการพัฒนาความเคลื่อนไหวของทารก รวมถึงอาการสะอึก😗 - มีการพัฒนาของน้ำหนักตัวอย่างก้าวกระโดด ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 11 ไปจนถึงสัปดาห์ที่ 20 ขนาด น้ำหนักของทารกในครรภ์จะเพิ่มขึ้นจากในช่วงแรกมากถึง 30 เท่าคุณแม่ตั้งครรภ์ 11 สัปดาห์ จะมีลักษณะอาการใดบ้าง ?👉อาการแพ้ท้องทุเลาลง คุณแม่จะสังเกตว่าอาการแพ้ท้อง และอาการคลื่นไส้🤮จะเริ่มลดลงไปเรื่อย ๆ ต่างจากช่วงแรกของการตั้งครรภ์👉อาการท้องผูก คุณแม่จะเริ่มมีอาการท้องผูก💩 เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน ในขณะที่คุณแม่บางท่าน อาจจะมีอาการแน่นหน้าอกจากกรดในกระเพาะที่มีมากขึ้น👉อาการเหนื่อยง่ายคุณแม่อาจจะต้องเจอกับอาการปวดศีรษะ🤕 หนื่อยง่าย จนทำให้เกิดความเครียดได้👉อาการหิวตลอดวันคุณแม่จะรู้สึกหิวบ่อย😋 มีน้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้นจากการทานที่เยอะขึ้น และหน้าท้องเริ่มป่องนูนให้เห็นได้ชัดเจนขึ้น👉อาการปัสสาวะบ่อย คุณแม่จะเริ่มรู้สึกรำคาญที่ต่้องเข้าห้องน้ำ🚽บ่อยจากอาการปวดปัสสาวะ แต่อย่างไรก็ตาม คุณแม่ไม่ควรลดการดื่มน้ำน้อย เพราะรู้สึกไม่อยากเดินไปห้องน้ำบ่อย ๆ👉อาการท้องอืดคุณแม่จะรู้สึกว่าอาหารไม่ค่อยย่อย มีแก๊ส💨ในกระเพาะอาหารเยอะ จนเกิดอาการท้องอืดอาหารที่ควรทานสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ 11 สัปดาห์✨อาหารที่ควรรับประทาน- อาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์🥩 ไข่ไก่ เป็นเต้น เพื่อช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของทารก รวมไปถึงควรทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เพื่อใช้สร้างเม็ดเลือดแดงที่เพิ่มขึ้นมาก และวิตามินบี เพื่อช่วยเสริมสร้างระบบประสาทต่าง ๆ - อาหารประเภทถั่ว เพราะถั่วมีโปรตีนสูง วิตามินอี ธาตุเหล็กต่าง ๆ เช่น วอลนัต🥜 ถั่ววอลนัตมีโอเมก้า 3 สูง ช่วยในการเสริมสร้างสมองให้ลูก และการทานถั่วยังช่วยลดความเสี่ยงในการแพ้อาหารประเภทนี้ให้กับทารกในครรภ์อีกด้วย      สรุปได้ว่าการตั้งครรภ์ 11 สัปดาห์ หรือการท้อง 3 เดือน คุณแม่ควรให้ความสำคัญในการดูแลตนเองให้เหมาะสม การพักผ่อนให้เพียงพอ😴 ออกกำลังกายเบาๆ และหมั่นทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้ทารกมีพัฒนาการที่ดี สุขภาพแข็งแรงตลอดการตั้งครรภ์ค่ะ

Content Image

ทำความรู้จักการแท้งบุตร

      เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยนะคะ ว่าเหตุการณ์ที่น่ากลัวและน่าเป็นกังวลอันตับต้นๆในฐานะของคุณแม่ที่กำลังมีเจ้าตัวน้อยอยู่ในท้อง ก็คือการแท้งบุตรหรือการแท้งลูกนั่นเอง เชื่อว่าคุณผู้อ่านส่วนใหญ่คงรับรู้และเข้าใจเกี่ยวกับคำนี้เบื้องต้นอยู่แล้ว แต่บทความนี้จะค่อยๆพาคุณผู้อ่านไปทำความเข้าใจในเรื่องการแท้งบุตรอย่างละเอียดแต่ยังเข้าใจได้ง่ายค่ะ โดยจะขอกล่าวถึงเพียงในส่วนของการแท้งบุตรโดยไม่ได้มีความตั้งใจทำแท้งเท่านั้นค่ะทำความรู้จักอาการแท้งบุตรการแท้งบุตรคืออะไรสำหรับความหมายที่นิยามในประเทศของเรา การแท้งบุตรคือการสิ้นสุดการตั้งครรภ์โดยที่ตัวอ่อนอ่อนยังมีอายุไม่ถึง 28 สัปดาห์ และสามารถเกิดกับคุณแม่ที่เริ่มตั้งครรภ์ได้ตั้งแต่ 2-3 สัปดาห์🤰 แต่มักเกิดกับคุณแม่ที่มีอายุครรภ์ในช่วง 4-20 สัปดาห์ค่ะ และจะมีความเสี่ยงเป็นพิเศษในช่วงอายุครรภ์ก่อน 13 สัปดาห์ค่ะสาเหตุของการแท้งบุตร✨ความผิดปกติที่เกิดจากทารกซึ่งนับเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ของการแท้งบุตรเลยค่ะ เกิดขึ้นได้จากการที่ทารกมีความผิดปกติทางด้านพันธุกรรมจนทำให้ทารกไม่เจริญเติบโต หรือเจริญเติบโตผิดปกติจนเกิดภาวะพิการ มักถูกเรียกว่า 'ภาวะไข่ฝ่อ' ค่ะ✨ความผิดปกติจากคุณแม่คุณแม่อาจมีความผิดปกติทางด้านฮอร์โมนในร่างกาย หรือมีลักษณะบางอย่างของบางอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ที่ผิดปกติ ไม่เอื้อต่อการมีตัวอ่อนในท้อง หรืออาจมีอาการติดเชื้อบางอย่างจนส่งต่อไปถึงทารกในท้อง คุณแม่บางท่านอาจมีภาวะที่เลือด🩸ของตัวเองเข้ากับเลือดของลูกไม่ได้ ในส่วนของคุณแม่ที่มีการใช้สารเสพติด การใช้ยาบางประเภท หรือคุณแม่ที่ผ่านการขูดมดลูกมาก่อนก็เป็นสาเหตุได้เช่นเดียวกันค่ะ✨ความผิดปกติจากคุณพ่อเช่น การที่อสุจิของคุณพ่อมีลักษณะที่ผิดปกติ หรือคุณพ่อมีโรคทางพันธุกรรมที่รุนแรงแล้วถ่ายทอดให้ลูกในครรภ์คุณแม่ค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม แม้ทางการแพทย์จะพยายามหาสาเหตุในการแท้งบุตรอย่างหลากหลาย แต่ในหลายๆกรณีก็ไม่สามารถหาสาเหตุได้ค่ะการแท้งบุตรแบ่งออกได้เป็นกี่แบบการแท้งคุกคามเป็นชื่อเรียกของระยะที่คุณแม่ใกล้จะแท้งค่ะ หากคุณแม่ท่านใดประสบภาวะนี้ก็มีโอกาสถึงครึ่งที่จะแท้งจริงๆ อาการที่พบคือ คุณแม่จะมีเลือด🩸ออกมาจากช่องคลอดเล็กน้อยทั้งที่ปากมดลูกปิดอยู่ อาจมีอาการปวดท้องน้อยร่วมด้วยหรืออาจไม่มีอาการปวดก็ได้ค่ะการแท้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นภาวะที่คุณแม่จะมีเลือดออกจากช่องคลอดและมีอาการปวดที่มากกว่าการแท้งคุกคาม ต่างกันอย่างชัดเจนตรงที่มีภาวะปากมดลูกเปิดร่วมด้วย บางกรณีก็มีภาวะถุงน้ำคร่ำแตกร่วมด้วยค่ะการแท้งซ้ำเป็นภาวะที่คุณแม่ผ่านการแท้งติดต่อกัน 3 ครั้งขึ้นไปในช่วงที่คุณแม่มีอายุครรภ์ใกล้เคียงกัน ซึ่งมีหลายปัจจัยในการทำให้เกิดการแท้งแบบนี้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการที่ปากมดลูกปิดไม่สนิท ความผิดปกติของฮอร์โมนเพศภายในร่างกาย📈 จนไปถึงความผิดปกติของพันธุกรรมค่ะการแท้งไม่สมบูรณ์เป็นภาวะที่ตัวอ่อนเสียชีวิตภายในท้อง แต่หลุดออกจากช่องคลอดเพียงบางส่วนเท่านั้น ภาวะนี้เป็นภาวะที่ค่อนข้างอันตรายกับตัวคุณแม่เองด้วยค่ะ เพราะจะทำให้คุณแม่ปวดท้องมากและมีเลือดออกจากช่องคลอดมากจนทำให้เกิดภาวะช็อคตามมาการแท้งค้างภาวะนี้คล้ายกับภาวะก่อนหน้าค่ะ ต่างกันที่ในภาวะนี้ตัวอ่อนจะไม่ออกมาจากช่องคลอดของคุณแม่นานกว่า 8 สัปดาห์โดยที่คุณแม่ไม่รู้ตัว🤰 ภาวะนี้ก็เป็นอันตรายกับร่างกายของคุณแม่เช่นเดียวกัน เพราะมีโอกาสที่ตัวอ่อนที่เสียชีวิตอยู่ภายในจะแข็งตัวกลายเป็นก้อนหินปูนภายในมดลูกของคุณแม่ได้ค่ะการแท้งติดเชื้อหากดูตามชื่อแล้วก็คงจะเดาได้ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ  ว่าเป็นการที่คุณแม่มีภาวะแท้งควบคู่ไปกับอาการติดเชื้อ ทำให้คุณแม่มีไข้ ปวดท้อง และมีเลือดออกจากช่องคลอดเช่นเดียวกันค่ะ    อันที่จริงแล้ว ยังมีการแท้งอีกประเภทหนึ่งซึ่งก็คือการแท้งโดยสมบูรณ์ แต่เนื่องจากเป็นการแท้งแบบปกติที่ตัวอ่อนสามารถออกมาจากช่องคลอดของคุณแม่ได้เอง คุณแม่อาจมีอาการเลือดออกจากช่องคลอดเช่นเดียวกันแต่ในปริมาณน้อย และสามารถหยุดไหลได้เอง จึงขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดมากนักค่ะ ตอนนี้คุณผู้อ่านก็จะทราบถึงการแท้งอย่างค่อนข้างละเอียดไปเรียบร้อยแล้วนะคะ หากคุณแม่ท่านใดมีการที่กำลังเข้าข่าย แนะนำว่าให้เข้ารับคำแนะนำจากแพทย์อย่างรวดเร็วที่สุด ไม่เพียงเพื่อความปลอดภัยของทารกในท้อง แต่เพื่อสุขภาพร่างกายของคุณแม่เองด้วยค่ะ

Content Image

ความอยากอาหารในช่วงการตั้งครรภ์

ความอยากอาหารระหว่างการตั้งครรภ์เป็นเรื่องปกติสำหรับคุณแม่ เพราะการตั้งครรภ์จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย จึงทำให้มีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น โดยความอยากอาหารมักจะเริ่มในช่วงปลายไตรมาสแรก และจะอยากอาหารมากที่สุดในช่วงไตรมาสที่สอง เมื่อถึงไตรมาสสามก็จะอยากอาหารลดลง แม้จะมีความอยากอาหารก็อย่าลืมเลือกตัวเลือกที่ดีต่อสุขภาพด้วยนะคะ สาเหตุของความอยากอาหาร✨การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ ฮอร์โมนในร่างกายของคุณแม่ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นเหตุให้เกิดความอยากอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งมากเป็นพิเศษในช่วงที่ตั้งครรภ์นั่นเองค่ะ ซึ่งอาหารเหล่านั้นอาจเป็นอาหารที่ไม่เคยชอบกินมาก่อน หรือเป็นอาหารแปลกๆก็เป็นได้ค่ะ🤔✨การเปลี่ยนแปลงของประสาทสัมผัสคุณแม่หลายๆคนหลังตั้งครรภ์แล้วจะสามารถรับกลิ่นได้ดีขึ้น แม้ว่ากลิ่นนั้นจะอยู่ห่างออกไป และจะรู้สึกไวต่อกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งเป็นพิเศษ โดยเมื่อได้กลิ่นของสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะทำให้รู้สึกคลื่นไส้อาเจียน🤮ได้ค่ะ และหญิงท้องส่วนใหญ่จะชอบกลิ่นหอมๆ มากกว่ากลิ่นที่มีความแรงหรือกลุ่มฉุน รวมถึงยังมีการเปลี่ยนแปลงของประสาทสัมผัสรับรสอีกด้วยค่ะ ✨การเปลี่ยนแปลงของความต้องการด้านโภชนาคุณแม่ที่ตั้งครรภ์จะต้องการสารอาหารอย่างแคลเซียม และธาตุเหล็กเป็นพิเศษ นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไม คุณแม่ถึงอยากอาหารชนิดนั้นเป็นพิเศษ โดยแนะนำว่าคุณแม่รวมถึงคนในครอบครัวควรใส่ใจเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ มีโภชนาการที่ครบถ้วน เช่น เสริมแคลเซียมโดยการ ทานอาหารผักใบเขียว🥬 ปลา🐟 หรืออัลมอนด์ และลดอาหารทอด ของหวานลงค่ะ ความอยากอาหารระหว่างตั้งครรภ์✨ของหวานคุณแม่มักจะอยากทานของหวานที่มีแคลอรี่สูงอย่าง ขนมกรุบกรอบ พิซซ่า🍕 หรือเนื้อสัตว์ และผลไม้ บางคนก็ยังคงชอบเมนูอาหารเดิมแต่อาจมีการกินที่แปลกออกไปเช่น อาจนำอาหารสองอย่างที่ชอบมาผสมกันแล้วค่อยทานซึ่งบางครั้งคุณแม่อาจอยากทานไอศกรีมตอนกลางดึก🍨 หรืออยากอาจทานชีสเค้กที่คุณไม่เคยชอบมาก่อน อย่างไรก็ตามคุณแม่ควรใส่ใจในการเลือกทานอาหาร🍲 เพราะหากไม่ระวังคุณแม่อาจประสบปัญหาการขาดธาตุเหล็กหรือสังกะสีได้ และอย่าลืมทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์ปรุงสุกด้วยนะคะ🥩✨ของแปลกบางครั้งคุณแม่อาจอยากอาหารที่ดูไม่สามารถทานได้อย่างดินกับสบู่ ซึ่งจริง ๆแล้วเป็นแหล่งที่มีฟอสเฟตสูงมาก ไม่แปลกที่หากคุณแม่ตั้งครรภ์จะอยากทานดิน หรือสบู่ หรืออาหารที่มีรสชาติเค็ม อย่างไรก็ตามควรทานอาหารที่มีความสะอาดและปลอดภัยจากเชื้อโรคค่ะ🦠ควรทำอย่างไรกับความอยากดี?✨ควรทำอย่างไรหากอยากทานของแปลก?แม้ว่าอาการอยากอาหารจะสามารถพบได้บ่อยๆในหญิงตั้งครรภ์ แต่หากคุณแม่อยากทานอะไรที่แปลกอย่าง ดิน🌱หรือสบู่🧼 คุณพ่อหรือคนในครอบครัวก็ควรพบคุณแม่ไปปรึกษาคุณหมอ เพราะนี่อาจเป็นอาการของ Pica Syndrome หรือ โรคชอบกินของแปลก หรือ ทานของที่ไม่ใช่อาหาร ซึ่งเป็นพฤติกรรมผิดปกติของการทานอาหาร และอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ค่ะ ✨ทางออกที่ดีที่สุด...คือการกินสิ่งที่คุณต้องการ ตอบสนองตัวเองด้วยอาหารที่คุณแม่โปรดปราน แต่ก็ยังต้องอยู่ในความพอดี🙆‍♀️ อย่ากินอะไรมากเกินไปเพราะอาหารเพื่อสุขภาพที่ตรงตามข้อกำหนดทางโภชนาการก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกันค่ะ😃โดยหากคุณแม่ต้องการทานสิ่งของที่ไม่ใช่อาหาร เนื่องจากสิ่งของเหล่านี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้คนรับประทานได้ ดังนั้นควรปรึกษากับแพทย์ก่อนตัดสินใจบริโภคนะคะ 👩‍⚕️⚠️

Content Image

เข็มกลัดคนท้อง จำเป็นต้องติดไหม

     แม่ๆหลายๆท่านคงมีความสงสัยว่าเข็มกลัดติดท้องมีความจำเป็นไหม มีไว้ทำอะไร และหากติดแล้วจะทำให้ทารกในครรภ์ปลอดภัยจริงๆหรอ บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความสำคัญของเข็มกลัดคนท้อง🤰 และความเชื่อที่เกี่ยวโยงกับการติดเข็มกลัดของคนท้องมาให้คุณแม่ได้ทราบกันค่ะ💁‍♀️เข็มกลัดคนท้อง มีความสำคัญอย่างไร?✨ช่วยป้องกันเด็กในครรภ์จากสิ่งชั่วร้ายเป็นความเชื่อจากคนสมัยโบราณว่าการนำเข็มกลัดมาติดไว้ที่บริเวณท้องนั้นจะเป็นการช่วยป้องกันภูต ผี ปีศาจและสิ่งชั่วร้ายที่จะมาพรากเอาชีวิตลูกในครรภ์👶ของคุณแม่ไป✨ช่วยป้องกันคุณแม่ตั้งครรภ์จากสิ่งชั่วร้ายการติดเข็มกลัดก็ยังเป็นการช่วยปกป้องคุณแม่จากภัยอันตรายต่างๆและสิ่งชั่วร้าย เช่น ภูต ผี ปีศาจ👻 ที่จะมาทำอันตรายต่อตัวคุณแม่ตั้งครรภ์ ✨ช่วยป้องกันการแท้งลูกการที่แม่ท้องนำเข็มกลัดมาติดไว้บริเวณท้องนั้น มีความเชื่อว่าเข็มกลัด หมายถึงการป้องกันสิ่งที่เรารักเอาไว้ ดังนั้นความเชื่อนี้จึงถูกเชื่อมโยงว่าเป็นการป้องกันไม่ให้ทารกในท้องหลุดออกมาหรือแท้งจากครรภ์🩸✨เป็นสัญลักษณ์ว่ากำลังตั้งครรภ์การติดเข็มกลัดสามารถเป็นการเตือนให้ผู้อื่นรู้ว่าคุณแม่กำลังตั้งครรภ์อยู่ การทำเช่นนี้จะส่งผลดีต่อคุณแม่ในเวลาที่ต้องออกไปใช้ชีวิตในประจำวัน เช่น การนั่งรถไฟฟ้า🚝 BTS คุณแม่ก็จะได้นั่งที่นั่งที่สงวนไว้สำหรับหญิงตั้งครรภ์ค่ะ✨เป็นสิ่งช่วยเตือนคุณแม่ให้ระมัดระวังข้อดีของการติดเข็มกลัดไว้ที่หน้าท้องอีกข้อนึงก็เพื่อเป็นการให้คุณแม่และบุคคลรอบข้างได้รับรู้ว่าควรระมัดระวังต่อการกระทบกระเทือนต่อท้องของคุณแม่ตั้งครรภ์ให้มากขึ้น🤰 ทั้งในการดำเนินชีวิตและในการทำกิจกรรมทั่วๆไป เช่นในการเดินทางออกไปทำงาน💼 การยกสิ่งของที่มีน้ำหนักเยอะ คุณแม่ควรตระหนักว่าตัวเองนั้นกำลังตั้งครรภ์อยู่และไม่ควรทำงานหนักจนเกินไปค่ะตั้งครรภ์กี่เดือนถึงจะติดเข็มกลัดตั้งครรภ์ได้👉สามารถติดได้ทุกช่วงอายุครรภ์จริงๆแล้วการติดเข็มกลัดตั้งครรภ์นั้นสามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่คุณแม่รู้ตัวว่าเริ่มตั้งครรภ์ค่ะ✅ เพื่อเป็นการบ่งบอกให้ผู้คนรอบข้างสังเกตได้ชัดเจนว่าคุณแม่นั้นกำลังตั้งครรภ์ และต้องระมัดระวังอย่างเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้กระทบต่อหน้าท้องของคุณแม่นั่นเองวิธีที่ช่วยดูแลครรภ์ร่วมกับการติดเข็มขัด💫ใส่ใจในเรื่องโภชนาการคุณแม่ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะช่วงท้องไตรมาสแรก ควรได้รับพลังงาน 2,050 กิโลแคลอรี่ต่อวัน โดยสารอาหารที่ควรได้รับจัดเป็นสารอาหารในกลุ่มโปรตีน🥩 คาร์โบไฮเดรต🍚 แคลเซียม ธาตุเหล็ก และกรดโฟลิก เพื่อเป็นการเสริมสร้างการเจริญเติบโตของทารกภายในครรภ์💫ควบคุมน้ำหนักให้พอดีคุณแม่ยังควรควบคุมน้ำหนักของตนเองให้อยู่ภายในเกณฑ์ที่กำหนด ไม่รับประทานอาหารรสจัดหรืออาหารรสหวานจนเกินไป🍰 ตอนนั้นอาจทำให้คุณแม่เข้าสู่ภาวะอ้วนขณะตั้งครรภ์ และยังทำให้เกิดโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้ด้วย💫เข้ารับการฝากครรภ์คุณแม่ควรเข้ารับการฝากครรภ์ทันทีเมื่อรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ เพื่อเป็นการเตรียมตัวสำหรับการดูแลเจ้าตัวน้อย👶และเป็นการตรวจสุขภาพร่างกายว่ามีความผิดปกติใดๆหรือไม่ หากร่างกายมีความผิดปกติจะได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้ดูแลครรภ์👨‍⚕️โดยทันที💫ออกกำลังกายเบาๆคุณแม่สามารถออกกำลังกายเบาๆในระหว่างตั้ง โดยเน้นการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทก เช่น เดิน โยคะ🧘‍♀️ ว่ายน้ำ🏊‍♀️หรือแม้กระทั่งการออกกำลังกายในน้ำ (Hydrotherapy)💫จัดการกับความเครียดหากคุณแม่เข้าสู่ภาวะเครียด🤯 ก็จะทำให้ความเครียดถูกส่งต่อไปยังทารกภายในครรภ์ได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นคุณแม่ควรผ่อนคลายและเลือกรับแต่พลังงานบวกจากสิ่งรอบตัว เพราะจะทำให้คุณแม่แฮปปี้🥰และไม่เครียดนั่นเองค่ะ      การติดเข็มกลัดที่ท้องนั้นส่วนใหญ่มักจะทำเพื่อให้คุณแม่รู้สึกสบายใจตามความเชื่อที่ส่งต่อมาจากโบราณ และอีกครั้งยังเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าคุณแม่กำลังตั้งครรภ์🤰 และควรได้รับการปฏิบัติจากคนรอบข้างอย่างพิถีพิถัน เพื่อไม่ให้กระทบต่อสุขภาพของทารกในครรภ์นั่นเองค่ะ

Content Image

ลูกมีจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหารไม่สมบูรณ์ เสี่ยงเป็นโรค!

     จุลินทรีย์🦠ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในส่วนต่างๆของร่างกาย  ไม่ว่าจะเป็นตรงผิวหนัง ช่องปาก ช่องคลอด และยังรวมไปถึงในระบบทางเดินอาหารอีกด้วย ซึ่งหากจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหารได้ขาดความสมดุล อาจทำให้เกิดความผิดปกติในร่างกายของลูกได้ บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับทารกหากมีจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหารไม่สมดุลและวิธีปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้มาให้คุณแม่ทราบกันค่ะ💁‍♀️ จุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร คืออะไร✨จุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร (Microbiome)เซลล์สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในร่างกาย เช่น เชื้อไวรัส🦠 เชื้อรา แบคทีเรีย เป็นต้น ซึ่งกลุ่มของเซลล์เหล่านี้ถูกเรียกรวมกันว่าไมโครไบโอม (Microbiome) ไมโครไบโอมจะอาศัยอยู่ในทางเดินระบบอาหารเป็นหลัก และส่งผลสำคัญต่อสุขภาพลำไส้ของคนเราเป็นอย่างมากแม่ท้องมีจุลินทรีย์ที่ไม่สมดุลส่งผลต่อทารกยังไงบ้าง?จุลินทรีย์ในทางเดินอาหารที่ไม่สมดุลนั้นจะส่งผลต่อสุขภาพของทารกในหลายๆด้าน เช่น มีปัญหาโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหอบหืด โรคผิวหนังโรคมะเร็ง และยังมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอีกด้วย เป็นต้น และยังส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น อารมณ์🤯 การนอน และพฤติกรรมของทารกจนไปถึงตอนที่ทารกโตขึ้น💫สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าลูกมีจุลินทรีย์ไม่สมดุล เช่น ลูกมีกลิ่นปากแรง มีเมือกในอุจจาระ💩 มีภาวะแพ้คาร์โบไฮเดรต มีน้ำหนัก และยังรวมไปถึงมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และท้องผูก เป็นต้นเทคนิคง่ายๆในการปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ทารก👉โภชนาการย่อยง่ายสำคัญกับทารกนมแม่🤱ถือว่าเป็นสารอาหารที่สำคัญที่สุดสำหรับทารก ดังนั้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะเป็นการช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ที่ดีในระบบทางเดินอาหาร ทำให้ทารกมีสุขภาพลำไส้ที่ดีขึ้น ได้ยังส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารก เพราะนมแม่นั้นย่อยได้ง่ายและเหมาะสมสำหรับระบบลำไส้ของลูกนั่นเองค่ะ👉แม่ต้องรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์คุณแม่ควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ พูดง่ายๆคืออาหารที่มีกากใยอาหารสูง เช่น ผักใบเขียว🥬 ตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ไปจนถึงช่วงที่ให้นมลูก เพราะไฟเบอร์ในอาหารจะไปช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ให้ดีขึ้นและยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้ตัวเองอีกด้วย👉ทารกต้องพักผ่อนให้เพียงพอการที่ทารกได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอนั้นนอกจากจะช่วยให้ทารกมีสุขภาพที่ดี เป็นเด็กร่าเริง และยังช่วยเป็นการทำให้ลำไส้ของลูกมีสุขภาพที่ดี แพทย์แนะนำให้ทารกแรกเกิดควรนอนหลับ😴ประมาณ 14-18 ชั่วโมงต่อวันถึงจะถือว่าเพียงพอ👉หลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะถึงแม้ว่าการใช้ยาปฏิชีวนะ💊นั้นจะช่วยรักษาอาการป่วยของทารกได้ แต่ผลเสียจากการใช้ยาปฏิชีวนะในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการดื้อยา ซึ่งจะส่งผลต่อจุลินทรีย์ในลำไส้โดยตรง เพราะยาเข้าไปทำลายจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดความเสี่ยงในการติดเชื้อจากแบคทีเรียนั่นเอง     สรุปได้ว่าการที่ทารกจะมีสุขภาพที่ดีนั้นมีผลมาจากการที่ทารกมีจุลินทรีย์🦠ในระบบทางเดินอาหารที่สมดุล เป็นผลมาจากการที่คุณแม่หมั่นดูแลสุขภาพของตัวคุณแม่และทารกให้แข็งแรง มันเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์🥙 และนอนหลับพักผ่อนอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งยังควรละเว้นการใช้ยาปฏิชีวนะกับทารกด้วยนะคะ

Content Image

ตั้งครรภ์แล้วทำไมถึงลมเยอะ เรอบ่อย ผายลมบ่อย?

คุณแม่หลายๆท่านที่กำลังกลุ้มใจว่าทำไมช่วงนี้ถึงชอบเรอบ่อย ตดบ่อย รู้สึกไม่สบายตัว ซึ่งเมื่อผายลมบ่อยๆ สามีก็จะแซวบ้าง ลุกหนีบ้าง จริงแล้วๆอาการเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่ตั้งครรภ์หรือเปล่าและจะมีวิธีรับมืออย่างไรบ้าง เราไปดูกันเลยค่ะ อะไรที่ทำให้คนท้องผายลมอยู่บ่อยๆ?เรามาทำความรู้จักกับร่างกายของคนท้องกันเถอะก่อนอื่นเลยเราต้องทำความเข้าใจว่าในร่างกายของผู้ที่ตั้งครรภ์เนี่ยมีระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่สูง จึงทำให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว และทำให้ไม่สามารถกลั้นการผายลม💨ได้ ซึ่งมดลูกของคุณแม่ที่ขยายใหญ่ขึ้นก็ไปเบียดกระเพาะอาหาร ทำให้ย่อยอาหารได้ไม่ดี จึงเป็นสาเหตุของการมีลมเยอะนั่นเองค่ะอาจเกิดจากอาหารต่างๆที่ทานเข้าไปอาหารบางอย่างมีความย่อยยาก หรือ เป็นตัวที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร เช่น ขนมปัง🍞 ข้าวโอ๊ต มันฝรั่ง ข้าวโพด นม ชีส หมากฝรั่ง หน่อไม้ฝรั่ง กะหล่ำปลี  ถั่วลิสง ถั่วดำ น้ำอัดลม น้ำหวานต่างๆ หรืออาจมีจากการกลืนอากาศเข้าไป เช่น จากการเคี้ยวหมากฝรั่ง ดื่มน้ำอัดลม ดื่มจากหลอด สูบบุหรี่ หรือกลืนน้ำลายบ่อยๆวิธีการลดการเรอและการผายลมการเรอหรือการผายลมบ่อยๆ เป็นเรื่องที่น่าอายสำหรับสาวๆ ยิ่งตั้งครรภ์แล้วยิ่งท้องอืด ลมเยอะ ยิ่งเรอบ่อย ซึ่งวันนี้เรามีวิธีลดอาการผายลมมาฝากกันแล้วค่ะพยายามเลือกทานอาหารที่สร้างแก๊สน้อยพยายามเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สเยอะๆ เช่น ถั่ว🥜 ข้าวโพด หัวหอม หน่อไม้ฝรั่ง หรือ นม ไอศกรีม น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ซึ่งจริงๆแล้วแต่ละคนก็ได้รับผลจากอากาศแต่ละชนิดต่างกัน และสำหรับบางคนทานเข้าไปอาจไม่เกิดแก๊สก็ได้ ดังนั้นให้พยายามสังเกตตนเองว่าเราสามารถทานอะไรและไม่สามารถทานอะไรบ้าง อาหารอันไหนที่ทำให้เราเรอ หรือผายลมเยอะก็ให้หลีกเลี่ยงไปค่ะ ไล่ลมโดยการยกขาในระหว่างที่ตั้งครรภ์หากรู้สึกว่ามีปริมาณแก๊ส💨 ในท้องเยอะ ให้ลองหาที่ยกขาขึ้น เพราะการยกขาจะทำให้ลดแรงกดของลูกน้อยในครรภ์ลง จึงทำให้สามารถย่อยอาหารได้ดีขึ้นนั่นเองค่ะ โดยขณะที่ยกขาขึ้นควรจะใส่เสื้อผ้าสบายๆ เพื่อไม่ให้ไปขัดขวางการย่อยอาหารนะคะ ลดปริมาณอาหารแต่เพิ่มจำนวนมื้ออาหารพยายามลดปริมาณอาหารที่ทานในแต่ละมื้อลง🍲 และเพิ่มความถี่ในการทานมากขึ้น เพื่อให้ร่างกายสามารถย่อยอาหารได้ง่ายขึ้น และช่วยลดแก๊สในกระเพาะอาหารค่ะอาการแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์?ทำไมจึงตดเหม็น? ปกติคนเราตดวันละกี่ครั้ง?โดยปกติแล้วคนเราจะตดหรือผายลมประมาณ 6-10 ครั้ง/วัน โดยการเรอหรือการผายลมมักจะเกิดขึ้นหลังการรับประทานอาหาร ซึ่งอาหารบางอย่างก็สามารถส่งผลให้เวลาผายลมมีกลิ่นเหม็นได้ เช่น อาหารที่มีแบคทีเรีย🦠ที่สร้างไฮโดรเจนซัลไฟด์ แก๊สมีเทน หรืออาหารที่มีสารซัลเฟอร์ อาการอย่างไรที่ควรไปหาหมอ?✨มีอาการท้องเสียบ่อยๆ✨มีอาการท้องผูกซ้ำๆ✨มีอาการปวดท้องเป็นเวลานาน✨มีอาการท้องอืดเป็นเวลานาน✨กลั้นอุจจาระไม่ได้ ✨อุจจาระมีเลือด✨น้ำหนักลดแบบไม่ทราบสาเหตุ✨มีอาการไข้สูง อาเจียน ปวดกล้ามเนื้อ หนาวสั่น ปวดข้อ 

Content Image

สมุดฝากครรภ์ ของสำคัญที่แม่ควรใส่ใจ

     เมื่อคุณแม่ไปทำการฝากครรภ์ที่คลินิกหรือที่โรงพยาบาล🏥 คุณแม่จะสังเกตได้ว่าคุณแม่ทุกท่านจะได้รับสมุดมาเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นสมุดที่มีลักษณะปกสีชมพู สมุดนี้คือสมุดอะไร และมีความสำคัญต่อตัวคุณแม่และทารกอย่างไรบ้าง วันนี้เราจะไปดูพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️สมุดฝากครรภ์ คืออะไร?📕สมุดฝากครรภ์ (Maternal and Child Health Handbook)คือสมุดที่แพทย์ได้ทำการจดบันทึกข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ ตั้งแต่ที่คุณแม่เริ่มฝากครรภ์จนไปถึงช่วงที่คุณแม่คลอดลูกแล้ว🤱 ซึ่งสมุดฝากครรภ์จะจดบันทึกประวัติต่างๆจนทารกอายุถึง 6 ปี สมุดฝากคันนี้ยังถือเป็นหลักฐานสำคัญที่ใช้ในการแจ้งเกิดและออกสูติบัตรของทารกด้วยค่ะในสมุดฝากครรภ์มีข้อมูลสำคัญอะไรบ้าง👉ข้อมูลการตรวจสุขภาพของแม่ตั้งครรภ์ในแต่ละไตรมาสข้อมูลการตรวจสุขภาพของคุณแม่ ตั้งแต่ประวัติการตั้งครรภ์🤰 การประเมินกำหนดการคลอด รวมไปถึงโลกและภาวะเสี่ยงที่คุณแม่อาจจะเป็น ล้วนถูกจดลงไว้ในสมุดฝากครรภ์ค่ะ พบแพทย์จะใช้สมุดเล่มนี้เป็นการเตือนความจำคุณแม่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์และสำหรับการนัดหมายในครั้งถัดไป👉บันทึกการดิ้นของทารกในครรภ์การดิ้นของลูก👶นั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเป็นการบ่งบอกว่าทารกในครรภ์นั้นปลอดภัยดี โดยปกติแล้วสามารถนับการดิ้นภายในครรภ์ได้ตั้งแต่ทารกมีอายุ 6 เดือนเป็นต้นไป โดยจะมีวิธีการนับ 3 เวลา คือ เช้า กลางวัน และก่อนนอน หากคุณแม่พบว่าทารกดิ้นน้อยผิดปกติ ควรรีบแจ้งแพทย์โดยทันที👉เกล็ดความรู้เกี่ยวกับการตั้งครรภ์เนื่องจากแพทย์ไม่สามารถให้คำปรึกษาคุณแม่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง⏰ ภายในสมุดฝากครรภ์จึงได้รวบรวมเกร็ดความรู้ต่างๆที่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์เอาไว้ และวิธีรับมือกับอาการต่างๆที่คุณแม่อาจจะต้องเผชิญในช่วงตั้งครรภ์ เช่นอาการแพ้ท้อง🤮 และอาการตกขาว👉คำแนะนำในการดูแลทารกหลังคลอด เพราะสมุดฝากครรภ์จะอยู่กับลูกไปจนถึงอายุครบ 6 ปี ดังนั้นสมุดเล่มนี้จึงรวบรวมข้อมูลทุกอย่างตั้งแต่ช่วงทารกอยู่ในครรภ์จนไปถึงวิธีการดูแลทารกหลังคลอด เช่น คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องอาหารและโภชนาการ🍲 และเคล็ดลับในการดูแลฟัน🦷ของทารก👉ประวัติการฉีดวัคซีนและพัฒนาการของทารกในสมุดฝากครรภ์จะรวบรวมพัฒนาการของทารก เช่น น้ำหนัก ส่วนสูง ว่าทารกนั้นมีพัฒนาการที่เติบโตไปตามวัยออกมาในรูปกราฟ📊 เพื่อให้คุณแม่ทราบว่าทารกนั้นมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์พอดี ผอมเกินไป หรืออ้วนเกินไป และอีกข้อมูลสำคัญคือประวัติการฉีดวัคซีน💉ของลูก โดย ในแต่ละช่วงอายุจะมีวัคซีนที่ทารกควรได้รับตามกำหนด บางวัคซีนอาจจะต้องมีการฉีดซ้ำมากกว่า 1 ครั้ง ดังนั้นสมุดฝากครรภ์จะเป็นตัวช่วยเตือนความจำคุณแม่ ให้พาเจ้าตัวน้อยไปฉีดวัคซีนตามกำหนดค่ะถ้าแม่ทำสมุดฝากครรภ์หาย ต้องทำยังไง?✨ติดต่อทำสมุดใหม่ที่โรงพยาบาลหากคุณแม่ทำสมุดฝากครรภ์หาย คุณแม่สามารถแจ้งติดต่อทำสมุดใหม่ได้ที่โรงพยาบาลหรือคลินิกที่คุณแม่ฝากครรภ์ไว้ค่ะ เพราะประวัติต่างๆได้ถูกบันทึกเอาไว้ที่นั่น📝 คุณแม่สามารถแจ้งทำสมุดใหม่ที่มาพร้อมกับข้อมูลที่มาพร้อมกับข้อมูลเก่าที่ถูกบันทึกไว้แล้ว      สรุปได้ว่า สมุดฝากครรภ์📕นั้นมีความสำคัญต่อตัวทารกมาก เปรียบเสมือนสมุดที่คอยจดบันทึกทุกความเคลื่อนไหวของทารกตั้งแต่คุณแม่เริ่มฝากครรภ์ไปจนถึงช่วงที่ทารกลืมตาออกมาดูโลก คุณแม่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำที่แพทย์👨‍⚕️ชี้แจงมา เพื่อให้ทารกในครรภ์นั้นปลอดภัยและมีสุขภาพดีค่ะ

Content Image

ทำไมคนท้องถึงอยากกินน้ำแข็ง? มาพบคำตอบกันค่ะ!

คุณแม่หลายๆท่านที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ชอบทานน้ำแข็งอยู่บ่อยๆ ซึ่งการทานน้ำแข็งขณะที่ตั้งครรภ์นั้นปลอดภัยหรือไม่ และความอยากทานน้ำแข็งเกิดจากอะไร วันนี้เราไปดูข้อมูลพร้อมๆกันค่ะ ทำไมท้องแล้วจึงชอบกินน้ำแข็ง?ฮอร์โมนในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ฮอร์โมนในร่างกายก็จะเปลี่ยนแปลงไปทำให้คุณแม่หลายๆท่านหันมาชอบการทานน้ำแข็ง🧊 ซึ่งงานวิจัยชี้ว่า การทานน้ำแข็งขณะตั้งครรภ์ไม่มีผลกระทบหรือผลเสียต่อร่างกายของคนเรา และไม่มีผลกระทบต่อครรภ์ ซึ่งเมื่อเทียบกับการอยากทานอาหารแปลกๆทั้งหลายแล้ว น้ำแข็งก็เป็นตัวเลือกที่เรียกกว่าปลอดภัยกว่าอาหารชนิดอื่นค่ะ Pagophagia?แพทย์👨‍⚕️เรียกอาการการอยากทานน้ำแข็งในช่วงที่ตั้งครรภ์ ซึ่งไม่เคยอยากทานมาก่อนว่า pagophagia และแม้ว่าน้ำแข็งจะไม่ได้มีผลเสียต่อครรภ์ แต่ความเย็นของน้ำแข็งก็อาจทำให้เจ็บคอได้ และการเคี้ยวน้ำแข็งเป็นประจำก็อาจส่งผลต่อฟันของคุณแม่ได้ค่ะ เหตุผลที่ทำให้คุณแม่อยากทานน้ำแข็ง ?ปริมาณเลือดที่เพิ่มขึ้นหรืออีกสาเหตุที่เป็นไปได้คือ เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ปริมาณเลือดก็มักจะเพิ่มขึ้นเกือบ 50% จึงทำให้คุณแม่รู้สึกร้อนได้ง่ายกว่าปกติ จากการเพิ่มขึ้นของเลือด🩸และหลอดเลือดที่ขยายออก รวมถึงการเผาผลาญของคุณแม่ก็จะเพิ่มสูงขึ้น จึงทำให้รู้สึกร้อนขึ้นไปอีกและอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณแม่อยากทานน้ำแข็งค่ะอาการปากไหม้แสบร้อนในช่วงปากระหว่างที่ตั้งครรภ์ คุณแม่มักจะมีอาการแสบร้อนในบาง ซึ่งบางคนก็นำน้ำแข็งมาช่วยในการระงับความเจ็บปวดหรืออาการแสบร้อนที่แก้มและริมฝีบาง👄ได้ ซึ่งอาการแสบร้อนเหล่านี้มักจะทำการทดสอบไม่ได้ จึงทำให้วิเคราะห์ว่าเกิดจากอะไรได้ยาก อย่างไรก็ตามก็ควรจะปรึกษาคุณหมอถึงอาการเหล่านี้ด้วยนะคะทำให้คุณแม่มีอาการป่วยในตอนเช้าได้ง่าย ๆผู้ที่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่มักจะมีอาการแพ้ท้องในช่วงไตรมาสแรกซึ่งเมื่อคุณแม่รู้สึกไม่สบายตัว คลื่นไส้🤢และมีอาการอื่นๆในตอนเช้า บางคนจึงบรรเทาอาการเหล่านี้ด้วยการเคี้ยงน้ำแข็ง ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณแม่หลายๆท่านชอบทานน้ำแข็งได้ค่ะ ทานน้ำแข็งบ่อยๆ ให้ระวังสิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณว่าเสี่ยงต่อการเป็นโรคโลหิตจางระหว่างตั้งครรภ์การทานน้ำแข็งอาจเป็นสัญญาณว่าคุณแม่กำลังขาดธาตุเหล็ก ซึ่งคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ควรได้รับธาตุเหล็กจำนวน 27 มิลลิกรัมในทุกๆวัน เพื่อป้องกันโรคโลหิต🩸จางนะคะปัญหาฟันของคุณแม่ตั้งครรภ์เมื่อมีการเคี้ยวน้ำแข็ง🧊 บ่อยๆในระหว่างที่ตั้งครรภ์ น้ำแข็งเหล่านี้อาจจะทำให้ฟันของคุณแม่เสียหาย รวมถึงทำได้ที่เคลือบฟันมานั้นเสียหายด้วย ซึ่งน้ำแข็งจะเพิ่มความเสียวฟัน และทำให้เกิดการผุได้ง่ายขึ้น รวมถึงทำให้คุณแม่มีความไวต่อความเย็นและความร้อนมากกว่าเดิม ดังนั้นหากอยากทานน้ำแข็ง แนะนำให้คุณแม่ปล่อยให้น้ำแข็งละลายบนลิ้นแทนการกัดน้ำแข็งทั้งก้อนค่ะ ขณะกินน้ำแข็ง ควรระวังอาการสำลักเมื่อทานน้ำแข็งคุณแม่ควรระวังการสำลักน้ำแข็ง🧊  เพราะบางก้อนก็มีขนาดเล็ก ดังนั้นคุณแม่ควรจะใจเย็นๆ สังเกตดูก่อนนำน้ำแข็งเข้าปากนะคะ เสี่ยงต่อการเป็นไข้และเกิดอาการเจ็บคอได้ง่ายกว่าปกติเมื่อทานน้ำแข็งบ่อยๆ ความเย็นของน้ำแข็งจะทำให้ระคายคอและเจ็บคอได้ง่ายกว่าปกติ

Content Image

ความพึงพอใจในความสัมพันธ์มีผลต่อทารกในครรภ์ด้วยนะ!

หลายๆท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าความจริงแล้วความสัมพันธ์ระหว่างคุณพ่อและคุณแม่ก็มีผลกับทารกในครรภ์ด้วยนะคะ ซึ่งวันนี้เราได้นำคำอธิบายมาฝากกันแล้วค่ะจากงานวิจัยพบว่าคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์แต่ไม่พอใจกับความสัมพันธ์ของตนเองนั้น ลูกมักจะคลอดออกมามีร่างกายที่ป่วยง่าย🤢 ไม่ค่อยแข็งแรงในขวบปีแรก (Roger Ekeberg Henriksen, University of Bergen ซึ่งในการวิจัยผู้วิจัยได้เก็บข้อมูลของคุณแม่ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ที่มีความพึงพอใจในความสัมพันธ์ของตัวเองน้อย และ กลุ่มของคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ที่พึงพอใจในความสัมพันธ์ของตัวเองมาก ซึ่งผลก็คือกลุ่มของคุณแม่ที่พึงพอใจในความสัมพันธ์ของตัวเองน้อยนั้นมีพบอาการเจ็บป่วยระหว่างตั้งครรภ์🤰มากเป็น 2 เท่าของคุณแม่ที่พึงพอใจในความสัมพันธ์ของตัวเองมากความพึงพอใจในความสัมพันธ์คุณแม่เครียด ร่างกายก็แย่ จริงๆแล้วเราทุกคนต่างมีเรื่องไม่สบายใจ มีปัญหาชีวิตที่เข้ามา แต่ในบางครั้งเราก็ไม่รู้ตัวว่าเจ้าความเครียดต่างๆนั้น เป็นเหตุให้เราไอ เป็นไข้🌡️ คลื่นไส้ อาเจียนได้ด้วย ซึ่งการหาต้นเหตุที่ทำให้เราเครียดและการรับมือกับต้นเหตุที่แท้จริงจะทำให้ทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพกายดีขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ ซึ่งการเครียดอย่างเหมาะสมนั้นก็เป็นตัวขับเคลื่อนให้เราจัดการอะไรต่างๆในชีวิตได้ แต่การเครียดสะสมนั้นก็สามารถเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคมากมายเลยค่ะ😞คุณแม่ป่วย ลูกก็ป่วยสุขภาพจิตของคุณแม่แน่นอนว่ามันส่งผลถึงสุขภาพกายของคุณแม่ด้วย แต่ไม่เพียงเท่านั้นกลุ่มคุณแม่ที่มีความพึงพอใจในความสัมพันธ์น้อย เวลาลูกเกิดมา👶ก็จะมีสิทธิ์ในการติดเชื้อโรคต่างๆ ตั้งแต่ ไข้หวัด ไวรัสลงกระเพาะ หูอักเสบในอัตราที่สูงในช่วงแรกเกิดถึง 6 เดือน แต่เมื่ออายุมากขึ้นอัตราการเป็นโรคก็จะลดน้อยลงตามลำดับค่ะไม่เพียงคุณแม่ที่เครียดเท่านั้น... คุณพ่อก็เครียดด้วยในเพศชาย...ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีงานวิจัยเกี่ยวกับเพศชาย👨ในเรื่องนี้โดยตรง แต่มีงานวิจัยที่เก็บข้อมูลในเรื่องของปัญหาสุขภาพซึ่งโดยทั่วไปแล้วเพศชายมักจะแข็งแรงกว่าเพศหญิง และจะป่วยน้อยกว่าเพศหญิงนั่นเองค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากปล่อยให้สุขภาพจิตของผู้ชายแย่แล้ว ผู้ชายจะหนักกว่าผู้หญิงหลายเท่าเลยค่ะ ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมด... ทำให้เราได้เห็นความสำคัญของความสัมพันธ์ของคุณพ่อคุณแม่ รวมถึงความสัมพันธ์กับคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือเพื่อน เพราะว่าหากคุณแม่มีความเครียด😞 และไม่รับการดูแลรักษา นอกจากจะส่งผลร้ายต่อร่างกายของคุณแม่แล้วยังส่งผลร้ายต่อลูกในครรภ์อีกด้วยนะคะ การรับคำปรึกษากับจิตแพทย์👩‍⚕️สามารถทำได้ตั้งแต่เรื่องเครียดในชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่แปลกเลยค่ะ ดังนั้นเพื่อป้องกันผลที่จะกระทบกับลูก หากคุณแม่ท่านใดที่ไม่สามารถจัดการความเครียดได้ แนะนำให้ไปปรึกษาจิตแพทย์ดีกว่านะคะ

Content Image

ท้องแตกลายหลังคลอด แก้ได้ด้วยวิธีเหล่านี้!

     เชื่อว่าคุณแม่ทุกท่านคงกังวลกับปัญหาหน้าท้องแตกลายหลังคลอด เนื่องจากหน้าท้องได้มีการขยายขึ้นใหญ่มากกว่าปกติหลายเท่า จึงไม่แปลกที่หลังจากคลอดทารกแล้ว สภาพผิวของคุณแม่จะเปลี่ยนไปอย่างมาก และปัญหาหน้าท้องแตกลายหลังคลอดนับว่าเป็นอันหาอันดับ 1 ที่ทำให้คุณแม่หมดความมั่นใจที่จะใส่บิกินี่👙 วันนี้ทางเราจึงได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุของการแตกลายของหน้าท้องและวิธีรักษารอยแตกลายหลังคลอดมาให้คุณแม่ทราบค่ะ💁‍♀️หน้าท้องแตกลายหลังคลอด เกิดจากอะไร?✨เกิดจากการยืดขยายหรือหดตัวอย่างรวดเร็วของผิวหนังในช่วงตั้งครรภ์หน้าท้องของคุณแม่จะมีการขยายอย่างรวดเร็ว ถึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดรอยแตกลายในลักษณะของรอยแผล✨เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนคุณแม่ตั้งครรภ์ในช่วงตั้งครรภ์🤰คุณแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนที่ผันผวน ทำให้เป็นหนึ่งในปัจจัยที่เกิดการแตกลายของผิวหนัง✨เกิดจากกรรมพันธุ์หากสมาชิกในครอบครัว👨‍👩‍👦มีประวัติการเป็นหน้าท้องแตกลายหลังคลอดลูก คุณแม่ก็มีสิทธิ์สูงที่จะได้รับกรรมพันธุ์🧬นั้นมาเช่นเดียวกันค่ะ✨เกิดจากน้ำหนักตัวคุณแม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์คุณแม่จะมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงขนาดของหน้าท้องที่ใหญ่ขึ้นมากกว่าช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์ค่ะรอยแตกลายสีแดง vs รอยแตกลายสีขาว❤️รอยแตกลายสีแดงระยะแรกของผิวแตกลายจะมีลักษณะสีเข้ม เช่น สีแดง สีม่วง สีชมพูอมม่ว งหรือแม้แต่สีน้ำตาลเข้ม ขึ้นอยู่กับสีผิวของคุณแม่แต่ละท่าน โดยลายแตกลายสีแดง หมายถึงการที่หลอดเลือด🩸ยังคงทำงานอยู่ จึงมีโอกาสทำให้รอยหายได้เร็ว หากดูแลอย่างถูกวิธี🤍รอยแตกลายสีขาว ผิวแตกลายสีขาว เป็นผลเนื่องมาจากการที่ชั้นผิวหนังเกิดการแตกลายในแบบสีแดงแล้ว หลังจากนั้นจึงเริ่มจางลง โดยรอยชนิดนี้จะเป็นในลักษณะเส้นไขมัน เป็นสัญญาบ่งบอกว่าเป็นรอยแตกเก่าที่ยากจะรักษาให้หายได้ เพราะเซลล์ผิวได้เสื่อมสภาพลง ทำให้ไม่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้🙅‍♀️เคล็ดลับการรักษารอยแตกลายบนหน้าท้อง👉ปล่อยให้รอยแตกลายหายตามธรรมชาติคุณแม่บางท่านไม่มีเวลาดูแลปัญหารอยแตกลาย จึงเชื่อว่าหากปล่อยไว้รอยแตกลายก็จะหายไปเองตามธรรมชาติ แต่วิธีนี้ก็อาจใช้าระยะเวลานานพอสมควร🕒👉หลีกเลี่ยงการเกาบริเวณผิวรอยแตกลายหากคุณแม่มีผิวแตกลาย ควรงดเว้น🙅‍♀️การเกาเพื่อลดการอักเสบตรงบริเวณผิวแตกลาย เพราะจะทำให้ผิวบางลงและเกิดอาการคันอย่างต่อเนื่อง มีหนามซ้ำยังทำให้รอยแตกลายชัดขึ้นอีกด้วยค่ะ👉ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพออยู่เสมอการดื่มน้ำเปล่า💧เป็นการช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นขึ้น และยังไปช่วยกระตุ้นความยืดหยุ่นของผิว ทำให้สามารถลดรอยแตกลายได้ค่ะ👉ใส่ใจโภชนาการอาหารที่รับประทานการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์🍲ก็เป็นการช่วยให้ผิวของคุณแม่สมานตัวเร็วขึ้นด้วย โดยเฉพาะสารอาหารในกลุ่ม antioxidant วิตามินอี🥑 และวิตามินเอ👉หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นหรือน้ำร้อนการอาบน้ำอุ่น🛀หรือน้ำร้อนจะเป็นการทำให้ตัวชาล้างไขมันที่เคลือบผิวหลุดออกไป ส่งผลให้ผิวของคุณแม่แห้ง ลอก และขาดความชุ่มชื้น และแตกลายในที่สุด👉ทาครีมบำรุงผิวสม่ำเสมอการทาครีมบำรุง🧴ถือว่าเป็นเคล็ดลับการรักษารอยแตกลายที่คุณแม่ควรให้ความสำคัญมากที่สุด เพราะครีมบำรุงจะช่วยบำรุงผิว ลดการเกิดปัญหารอยแตกลายของคุณแม่ในขณะตั้งครรภ์และหลังตั้งครรภ์ด้วยค่ะ     ทราบอย่างนี้แล้วคุณแม่ก็ควรให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพผิวเพื่อเป็นการป้องกันผิวแตกลายในขณะตั้งครรภ์และหลังตั้งครรภ์ได้อย่างดี คุณแม่สามารถเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและบำรุงผิวคุณแม่ให้มีสุขภาพดี โดยการเลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและได้รับการแนะนำจากแพทย์ผิวหนังว่าปลอดภัยต่อคุณแม่ตั้งครรภ์

Village Baby Co., Ltd.

4F, 83 Uisadang-daero, Yeongdeungpo-gu, Seoul, Republic of Korea

Partnership inquiries babybilly.global@villagebaby.kr

|

|

Language

Copyright Baby Billy. All rights reserved.