Baby Image

ที่แอป Baby Billy คุณสามารถดูเนื้อหาเพิ่มเติมได้!

📖 บทความที่ถูกอ่านมากที่สุด

Content Image

Checklist ของเตรียมคลอด&ของใช้เด็กอ่อน, โหลดไฟล์ PDF กันได้เลย!

คุณแม่คนไหนที่กำลังใกล้คลอดและกำลังมองหาเช็กลิสต์ของเตรียมคลอดแล้วล่ะก็ คุณแม่มาถูกที่แล้วล่ะค่ะ!💡 เบบี้บิลลี่ได้เรียบเรียงลิสต์เตรียมคลอดมาให้อย่างสวยงาม ดูง่าย ไม่สับสนมาแล้ว! โดยคุณแม่สามารถดาวโหลดน์เป็นไฟล์ PDF📝 รวมถึงสามารถปริ้นท์ออกมาดูได้ง่ายๆเลยค่ะ มาดูตัวอย่าง 'ลิสต์ของเตรียมคลอด Baby Billy' กันค่ะลิสต์จัดกระเป๋าไปโรงพยาบาล ลิสต์ของเตรียมคลอดมีอะไรบ้าง?เบบี้บิลลี่ได้จัดลิสต์ของเตรียมคลอดออกเป็น 3 แบบด้วยกัน1️⃣จัดกระเป๋าไปโรงพยาบาล 2️⃣ของจำเป็นหลังคลอดสำหรับคุณแม่3️⃣ของจำเป็นหลังคลอดสำหรับลูกน้อยโดยสามารถเลือกดูได้ตามความจำเป็นของคุณแม่แต่ละท่านเลยค่ะ ลิสต์สบายตาและเข้าใจง่ายลิสต์ของเบบี้บิลลี่ได้เขียนบอกอธิบายความจำเป็นของของแต่ละอย่างเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจได้ว่าควรซื้อของสิ่งนั้นหรือไม่ตามไลฟ์สไตล์และความต้องการของแต่ละท่าน😎 ดาวโหลดได้ที่นี่เลยค่ะ!กดปุ่มด้านล่างเพื่อดาวโหลดลิสต์เป็นไฟล์ PDF ได้เลย! หวังว่าลิสต์จะเป็นประโยชน์สำหรับคุณพ่อคุณแม่ไม่มากก็น้อยนะคะ เบบี้บิลลี่พร้อมเป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่เสมอค่า 🌞 ลิสต์ของเตรียมคลอด

Content Image

อาหารที่ควรเลี่ยงระหว่างการตั้งครรภ์

ตอนนี้คุณแม่กำลังมีเจ้าตัวเล็กอยู่ในครรภ์ ดังนั้นอะไรที่คุณแม่ทานเข้าไปก็จะเป็นการทานเผื่อลูกน้อยในท้องด้วยเช่นกัน ดังนั้นเมื่อคุณแม่รู้ตัวว่าตนเองตั้งครรภ์ก็ควรตื่นตัวและระมัดระวังสิ่งที่ทานอยู่เสมอ โดยพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งของที่อาจทำให้คุณแม่ป่วยหรืออาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของลูกน้อยค่ะทำไมถึงควรหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดในระหว่างตั้งครรภ์?เพราะอาหารบางชนิดมีแบคทีเรีย เช่น E.coli🦠 ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย ในขณะเดียวกันการตั้งครรภ์ยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณแม่ลดลง ทำให้คุณแม่เสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บต่างๆได้ เช่น ไข้หวัดใหญ่  ผู้ที่ตั้งครรภ์ยังมีแนวโน้มที่จะป่วยจากภาวะแทรกซ้อน เช่น การแท้งบุตรหรือการคลอดก่อนกำหนดหากรับประทานอาหารอย่างไม่ถูกต้อง😟 ซึ่งอาจส่งผลร้ายต่อทารกในครรภ์ทำให้เกิดความพิการแต่กำเนิดอย่างรุนแรงหรือการติดเชื้อร้ายแรงได้ค่ะ😔อาหารต้องห้ามระหว่างตั้งครรภ์🐟ปลาที่มีระดับปรอทสูงปลานั้นเต็มไปด้วยสารอาหารที่ช่วยบำรุงสมองและโอเมก้า-3 อย่างไรก็ตาม ปลาบางชนิดมีระดับปรอทสูงนั้นเป็นอันตรายต่อระบบประสาทที่กำลังพัฒนาของทารก🧠 ยิ่งปลาตัวใหญ่และอายุมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีสารปรอทมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเราแนะนำให้คุณแม่ หลีกเลี่ยงการทานปลาฉลาม🦈 ปลานาก ปลาแมคเคอเรล ปลาไทล์ และปลาทูน่านะคะ 🥩อาหารดิบปรุงไม่สุกงดเว้นจากอาหารดิบ เพราะอาหารดิบนั้นสามารถสะสมแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดอาหารเป็นพิษได้ เช่น E.coli หรือ Salmonella ปลาดิบในซาซิมิ🍣 หอยนางรมดิบก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกันอาหารที่มีส่วนผสมของไข่ไม่สุก🥚 เป็นที่แพร่หลายมาก เช่น มูสโฮมเมด แป้งดิบหรือแป้งคุกกี้ มายองเนส เป็นต้น คุณแม่ตั้งครรภ์ 🤰 ที่กินไข่ดิบและไข่ที่ปรุงไม่สุกเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะติดเชื้อซัลโมเนลลา ดังนั้นควรเลี่ยงไปก่อนดีกว่านะคะ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มเหล่านี้☕คาเฟอีนคาเฟอีนจะปลุกคุณเมื่อคุณเหนื่อย อย่างไรก็ตาม การบริโภคคาเฟอีนที่มากเกินไปอาจไปขัดขวางความสามารถในการดูดซึมธาตุเหล็ก ซึ่งนำไปสู่โรคโลหิตจางได้☕คุณแม่ไม่ควรบริโภคคาเฟอีนเกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน และหลีกเลี่ยงแหล่งอาหารที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนต่างๆ เช่น ช็อคโกแลต🍫 ชาดำหรือชาเขียว บาร์ให้พลังงาน, ของหวานรสกาแฟ, ไอศกรีม🍨, รวมถึงโยเกิร์ตก็ไม่ควรทานเกิน 200 มก.ต่อวันค่ะ🥛นมและน้ำผลไม้ที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นมพร่องมันเนย🥛 และชีส🧀 เป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพของการตั้งครรภ์ของคุณแม่ อย่างไรก็ตามนมที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากอาจมีลิสเทอเรียและเชื้อโรคอื่นๆ ควรตรวจสอบฉลากผลิตภัณฑ์ก่อนตัดสินใจซื้อเสมอนะคะ🐄🍷แอลกอฮอล์แอลกอฮอล์เป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณอย่างมากในระหว่างตั้งครรภ์ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะความความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ที่เข้าสู่กระแสเลือดของคุณก็จะเข้าสู่ลูกน้อยของคุณเช่นกัน😔 ส่งผลให้เกิดอาการแอลกอฮอล์ในครรภ์ (Fetal alcohol syndrome, FAS) ซึ่งอาจทำให้ใบหน้าผิดรูปและมีความบกพร่องทางสติปัญญา .☠️

Content Image

สัญญาณการดิ้นของทารกในครรภ์

การดิ้นของทารกเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นการบ่งบอกถึงสุขภาพของทารก ดังนั้นการบันทึกความเปลี่ยนแปลงก็เป็นวิธีที่ดีในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นต่อทารกในครรภ์ได้ โดยวันนี้เราจะพูดถึงเรื่องของสัญญาณการดิ้นของทารก รวมถึงการตรวจสุขภาพครรภ์ว่ามีอะไรกันบ้างค่ะ ไปดูพร้อมๆกันเลยค่ะ สัญญาณการดิ้น👶 การดิ้นหากลูกน้อยดิ้นน้องลงหรือไม่ดิ้นเลย อาจเป็นสัญญาณว่าลูกน้อยของคุณกำลังตกอยู่ในอันตราย😟🛑โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงเวลาใกล้กำหนดคลอด หากลูกน้อยดิ้นห่างออกไป หรือ หยุดดิ้น คุณแม่ควรควรรีบพบแพทย์ทันทีค่ะ👩‍⚕️ การที่ทารกดิ้นในครรภ์นั้นเป็นการเคลื่อนไหว🚼หรือการทำอากัปกิริยาต่างๆของทารกนั่นเองค่ะ คุณแม่จะสามารถรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของลูกในท้อง ซึ่งคุณแม่ควรคอยสังเกตถึงความผิดปกติเพื่อความปลอดภัยของทารกในครรภ์ของคุณแม่นะคะ 👶 อาการของคุณแม่ คุณแม่อาจเริ่มรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของลูกน้อยในครรภ์ในสัปดาห์ที่ 16-20 หรือเมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์นั่นเอง การขยับตัวของลูกน้อยนั่นจะมีการต่อย🚼 เตะ ม้วนตัว และ พลิกตัว ซึ่งบางท่านอาจจะรู้สึกเหมือนเส้นประสาทกระตุกเบาๆ โดยการดิ้นของทารกจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ📈 จนถึงสัปดาห์ที่ 32 และจะคงที่หลังจากนั้น การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้อีกในช่วงใกล้วันที่ครบกำหนดคลอด🤰ในช่วงอายุครรภ์ 1-3 เดือนทารกจะมีการขยับตัวเพียงเล็กน้อยและไม่บ่อย จนเมื่อเข้าสู่อายุครรภ์ 4-6 เดือน ก็จะมีการขยับตัวมากขึ้นโดยส่วนใหญ่จะสามารถรับรู้การเคลื่อนไหวได้ในช่วงนี้ และทารกอาจมีการขยับตัวถึง 30 ครั้งต่อชั่วโมง ในช่วงอายุครรภ์ 7-9 เดือน📈การตรวจสุขภาพของครรภ์และทารก👶  การตรวจอัลตราซาวด์ (Fetal Ultrasound) เป็นการใช้การส่งคลื่นเสียง🔉เพื่อให้สะท้อนกลับมาเป็นภาพนั่นเอง โดยจะสามารถเห็นการเคลื่อนไหวและท่าทางของเด็กในครรภ์ รวมถึงสามารถทราบถึงอัตราการเต้นของหัวใจอีกด้วย💓 👶 การตรวจสุขภาพทารกในครรภ์ (Nonstress Test) เป็นการตรวจอัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ วิธีการตรวจคือจะทาเจลบนแผ่นเหล็กขนาดเล็กแล้ววางลงบนท้องของคุณแม่🤰 จากนั้นจะขาดเข็มขัดเพื่อไม่ได้แผ่นเหล็กขยับนั่นเองค่ะ 👶 การตรวจวัดความเร็วของเลือดในหลอดเลือดทารกในครรภ์ (Fetal Doppler Velocimetry) วิธีนี้คล้ายกับวิธีการตรวจสุขภาพทารกแต่จะมีการใช้คลื่นเสียงร่วมด้วย🔉 โดยวิธีนี้จะสามารถตรวจอัตราการเต้นของหัวใจของทารก💓 รวมถึงสามารถตรวจการไหลเวียนของเลือดภายในรกและสายสะดือได้อีกด้วย

Content Image

ตั้งครรภ์แล้วทำไมถึงลมเยอะ เรอบ่อย ผายลมบ่อย?

คุณแม่หลายๆท่านที่กำลังกลุ้มใจว่าทำไมช่วงนี้ถึงชอบเรอบ่อย ตดบ่อย รู้สึกไม่สบายตัว ซึ่งเมื่อผายลมบ่อยๆ สามีก็จะแซวบ้าง ลุกหนีบ้าง จริงแล้วๆอาการเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่ตั้งครรภ์หรือเปล่าและจะมีวิธีรับมืออย่างไรบ้าง เราไปดูกันเลยค่ะ อะไรที่ทำให้คนท้องผายลมอยู่บ่อยๆ?เรามาทำความรู้จักกับร่างกายของคนท้องกันเถอะก่อนอื่นเลยเราต้องทำความเข้าใจว่าในร่างกายของผู้ที่ตั้งครรภ์เนี่ยมีระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่สูง จึงทำให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว และทำให้ไม่สามารถกลั้นการผายลม💨ได้ ซึ่งมดลูกของคุณแม่ที่ขยายใหญ่ขึ้นก็ไปเบียดกระเพาะอาหาร ทำให้ย่อยอาหารได้ไม่ดี จึงเป็นสาเหตุของการมีลมเยอะนั่นเองค่ะอาจเกิดจากอาหารต่างๆที่ทานเข้าไปอาหารบางอย่างมีความย่อยยาก หรือ เป็นตัวที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร เช่น ขนมปัง🍞 ข้าวโอ๊ต มันฝรั่ง ข้าวโพด นม ชีส หมากฝรั่ง หน่อไม้ฝรั่ง กะหล่ำปลี  ถั่วลิสง ถั่วดำ น้ำอัดลม น้ำหวานต่างๆ หรืออาจมีจากการกลืนอากาศเข้าไป เช่น จากการเคี้ยวหมากฝรั่ง ดื่มน้ำอัดลม ดื่มจากหลอด สูบบุหรี่ หรือกลืนน้ำลายบ่อยๆวิธีการลดการเรอและการผายลมการเรอหรือการผายลมบ่อยๆ เป็นเรื่องที่น่าอายสำหรับสาวๆ ยิ่งตั้งครรภ์แล้วยิ่งท้องอืด ลมเยอะ ยิ่งเรอบ่อย ซึ่งวันนี้เรามีวิธีลดอาการผายลมมาฝากกันแล้วค่ะพยายามเลือกทานอาหารที่สร้างแก๊สน้อยพยายามเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สเยอะๆ เช่น ถั่ว🥜 ข้าวโพด หัวหอม หน่อไม้ฝรั่ง หรือ นม ไอศกรีม น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ซึ่งจริงๆแล้วแต่ละคนก็ได้รับผลจากอากาศแต่ละชนิดต่างกัน และสำหรับบางคนทานเข้าไปอาจไม่เกิดแก๊สก็ได้ ดังนั้นให้พยายามสังเกตตนเองว่าเราสามารถทานอะไรและไม่สามารถทานอะไรบ้าง อาหารอันไหนที่ทำให้เราเรอ หรือผายลมเยอะก็ให้หลีกเลี่ยงไปค่ะ ไล่ลมโดยการยกขาในระหว่างที่ตั้งครรภ์หากรู้สึกว่ามีปริมาณแก๊ส💨 ในท้องเยอะ ให้ลองหาที่ยกขาขึ้น เพราะการยกขาจะทำให้ลดแรงกดของลูกน้อยในครรภ์ลง จึงทำให้สามารถย่อยอาหารได้ดีขึ้นนั่นเองค่ะ โดยขณะที่ยกขาขึ้นควรจะใส่เสื้อผ้าสบายๆ เพื่อไม่ให้ไปขัดขวางการย่อยอาหารนะคะ ลดปริมาณอาหารแต่เพิ่มจำนวนมื้ออาหารพยายามลดปริมาณอาหารที่ทานในแต่ละมื้อลง🍲 และเพิ่มความถี่ในการทานมากขึ้น เพื่อให้ร่างกายสามารถย่อยอาหารได้ง่ายขึ้น และช่วยลดแก๊สในกระเพาะอาหารค่ะอาการแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์?ทำไมจึงตดเหม็น? ปกติคนเราตดวันละกี่ครั้ง?โดยปกติแล้วคนเราจะตดหรือผายลมประมาณ 6-10 ครั้ง/วัน โดยการเรอหรือการผายลมมักจะเกิดขึ้นหลังการรับประทานอาหาร ซึ่งอาหารบางอย่างก็สามารถส่งผลให้เวลาผายลมมีกลิ่นเหม็นได้ เช่น อาหารที่มีแบคทีเรีย🦠ที่สร้างไฮโดรเจนซัลไฟด์ แก๊สมีเทน หรืออาหารที่มีสารซัลเฟอร์ อาการอย่างไรที่ควรไปหาหมอ?✨มีอาการท้องเสียบ่อยๆ✨มีอาการท้องผูกซ้ำๆ✨มีอาการปวดท้องเป็นเวลานาน✨มีอาการท้องอืดเป็นเวลานาน✨กลั้นอุจจาระไม่ได้ ✨อุจจาระมีเลือด✨น้ำหนักลดแบบไม่ทราบสาเหตุ✨มีอาการไข้สูง อาเจียน ปวดกล้ามเนื้อ หนาวสั่น ปวดข้อ 

Content Image

อาการหายใจไม่สะดวกในหญิงตั้งครรภ์

ช่วงนี้คุณแม่ตั้งครรภ์บางท่านอาจกำลังรู้สึกหายใจไม่สะดวก😮‍💨 หายใจได้ไม่เต็มปอด หรืออาจรู้สึกลำบากเวลานอน ซึ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นอาการที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในผู้ที่ตั้งครรภ์ โดยอาการจะเป็นมากหรือเป็นน้อยก็ขึ้นอยู่กับสรีระของทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์นะคะ👶🤰 ซึ่งในวันนี้เราจะมาพูดถึงสาเหตุ และ วิธีการรับมือกับอาการหายใจไม่สะดวกกันค่ะ ทำไมถึงรู้สึกหายใจไม่สะดวก✨สาเหตุที่คนท้องหายใจได้ไม่สะดวกการเติบโตของทารกในครรภ์👶 การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน และการเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินหายใจ ทำให้คุณแม่หายใจได้ลำบากขึ้น หรืออาจเกิดจากปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับการหายใจของคุณแม่ที่มีมาก่อนแล้วและถูกกระตุ้นเมื่อตั้งครรภ์🤰 โดยอาการหายใจไม่สะดวก😮‍💨 นี้มักพบในไตรมาสที่ 3 เพราะทารกในครรภ์มีขนาดใหญ่ขึ้นส่งผลให้มดลูกขยายตัวไปดันอวัยวะรอบๆ รวมถึงปอดนั่นเองค่ะ✨อาการที่พบได้บ่อยอาการที่พบได้บ่อยได้แก่การหายใจถี่ และรู้สึกเมื่อยล้าง่าย ร่างกายอ่อนแอ มีอาการหายใจผิดปกติ หัวใจเต้นเร็วขึ้น และมีสีเล็บและผิวหนังที่ผิดปกติ🤰 โดยการหายใจไม่สะดวกนี้เป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงอาการจะเป็นมากหรือน้อยแล้วแต่ สรีระของคุณแม่และทารกในครรภ์ค่ะ อาการหายใจไม่สะดวกเป็นอันตรายไหม?การหายใจไม่สะดวกมีผลต่อลูกในครรภ์ไหม?โดยปกติแล้วอาการหายใจติดขัด😮‍💨 จะไม่ส่งผลต่อทารกในครรภ์ เพียงแต่อาจจะทำให้คุณแม่ไม่สบายตัว และอาจรู้สึกลำบากในการนอนหลับ รู้สึกเหนื่อยและเมื่อยล้า หากมีอาการแบบนี้ให้รีบพบแพทย์แต่ถ้าหากคุณแม่พบว่าตัวเองมีปัญหาการควบคุมลมหายใจอย่างมาก หรือ เกิดการขาดออกซิเจนนานๆ ในกรณีนี้อาจส่งผลร้ายแรงต่อคุณแม่🤰และลูกในครรภ์👶 ในได้นะคะ ดังนั้นหากมีอาการรุนแรง หายใจไม่ได้นานๆ อ่อนเพลีย เจ็บหน้าออก หรือมีอาการปวดศีรษะ ให้คุณแม่รีบพบแพทย์โดยด่วนค่ะวิธีรับมือกับอาการหายใจติดขัดขณะตั้งครรภ์✨พยายามหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่จะต้องใช้พลังเยอะ อย่างการซักผ้า ล้างจาน ทำกับข้าว เพราะหากทำมากไปจะทำให้คุณแม่รู้สึกหายใจลำบากและเหนื่อยง่าย✨พยายามนั่งให้ตัวตรงและผ่อนไหล หลังจากนั้นให้หายใจเข้าลึกๆ อย่างช้าๆ ก็จะทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น✨หากอยู่ในท่านอนให้ใช้หมอนหนุนร่างกายส่วนบน ก็จะทำให้หายใจได้ง่ายขึ้นค่ะ ✨หากรู้สึกว่าท่าที่กำลังนั่งหรือนอนอยู่นี้หายใจไม่ค่อยออกก็ลองหาท่าที่ตัวเองรู้สึกสบายและผ่อนคลายที่สุดค่ะ ✨การฝึกหายใจโดยการหายใจเข้าลึกๆ อย่างช้าๆ ก็จะช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยหอบได้ดีขึ้นค่ะ ✨อาจลองออกกำลังกายโดยการยกแขนไปข้างหน้าแล้วชูขึ้นศีรษะ แล้วเหวี่ยงแขนไปข้างหลังเบาๆ พร้อมกับหายใจเข้าและออกตามลำดับ เพื่อช่วยขยายปอด

👉 List บทความไตรมาสที่ 3

Content Image

คนท้องสามารถทำงานกะกลางคืนได้ไหม

     การพักผ่อน😴ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ แต่ด้วยหน้าที่การงานหรือภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่างๆ อาจทำให้คุณแม่ไม่สามารถละทิ้งไปได้ จึงต้องยอมอดหลับอดนอนเพื่อทำให้งานลุล่วงผ่านไปด้วยดี โดยเฉพาะการเข้าทำงานกะกลางคืน และการทำโอที การที่คนท้องทำงานเยอะจนไม่มีเวลานอน เข้านอนดึก จะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์อย่างไรบ้าง เราได้หาคำตอบมาให้คุณแม่แล้วค่ะ💁‍♀️ความเสี่ยงต่อสุขภาพคนท้องจากการนอนดึก✨ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลงคนท้องที่ทำงานในช่วงกลางคืน🌃 อาจทำให้การนอนหลับพักผ่อนได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อคุณแม่นอนไม่เพียงพอสิ่งหนึ่งที่ตามมาคือระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของคุณแม่ลดน้อยลงค่ะ และยังทำให้ลูกในท้องน้ำหนักตัวน้อยลงได้ค่ะ✨อัตราการเต้นของหัวใจลดลงอาการอัตราการเต้นของหัวใจ🫀ลดลง เป็นผลมาจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ เนื่องจากว่าการนอนหลับเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนท้องอย่างมาก✨เกิดความเครียดการทำงานในช่วงกลางคืนอาจทำให้เกิดความเครียดขึ้นได้🤬มากกว่าช่วงกลางวัน และเมื่อคนท้องเครียดมาก ก็จะส่งผลต่อสุขภาพและการเตริญเติบโตของลูกน้อยในท้องได้ และยังเสี่ยงที่จะคลอดก่อนกำหนดอีกด้วยค่ะ✨เสี่ยงต่อการแท้งลูกมีการศึกษาหนึ่งรายงานว่า ผู้หญิงที่ทำงานเป็นเวลานานในช่วงกลางคืนมักมีความเสี่ยงสูงที่อาจทำให้แม่ท้องคลอดก่อนกำหนด หรือไม่ก็เกิดอาการแท้งลูก🩸ได้ค่ะสิ่งที่คุณแม่ควรทำหากต้องทำงานกะกลางคืน👉พิจารณาลักษณะงานควรดูลักษณะงาน📋ว่ามีความอันตรายต่อลูกน้อยในท้องหรือไม่ และลองปรับการทำงานเพื่อลดอาการเสี่ยงการแท้ หรือการคลอดลูกก่อนกำหนด👉ควรนั่งพักเป็นระยะคุณแม่ไม่ควรยืนเป็นเวลานานๆ ควรนั่งพักผ่อน💺เป็นระยะ และควรปรับท่านั่งให้เป็นท่าที่สบายด้วยค่ะ👉เลี่ยงการสัมผัสกับแสงไฟช่วงกลางคืนการทำงานที่สัมผัสกับแสงไฟจ้าๆ เช่น แสงหลอดไฟนีออน💡 เป็นเวลานานนั้นอาจส่งผลเสียต่อดวงตาของคุณแม่ได้ 👉ทานอาหารเพิ่มเมื่อรู้สึกหิวคุณแม่ไม่ควรอดอาหารเด็ดขาด เพราะช่วงตั้งครรภ์ทารกต้องการสารอาหารมากขึ้น ดังนั้นคุณแม่ควรทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพเมื่อหิวในช่วงกลางคืน เช่น ผลไม้ 🍓👉ไม่ควรก้มตัวบ่อยการงอตัวเพื่อเก็บของ ยกของ หรือการก้มตัวบ่อยๆ นั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณแม่และทารกในครรภ์🤰 หากมีความจำเป็นจริงๆ คุณแม่ควรขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงาน👉เลี่ยงการดื่มกาแฟช่วงกลางคืนคุณแม่ควรเลี่ยงการดื่มกาแฟ☕️ช่วงกลางคืนในปริมาณที่มากจนเกินไป เพราะอาจนำไปสู่การแท้งลูกหรือน้ำหนักตัวลูกแรกคลอดน้อยเกินไปนั่นเอง     สรุปได้ว่า ไม่แนะนำให้คนท้องทำงานในช่วงกลางคืน เพราะในช่วงตั้งครรภ์ คุณแม่ควรนอนพักผ่อนให้ได้ 8-9 ชั่วโมง หากคุณแม่จำเป็นต้องทำงานช่วงกลางคืนก็ควรหาเวลาในช่วงอื่นๆ งีบหลับ หรือนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอค่ะ และควรเตรียมเบอร์ฉุกเฉิน🆘ไว้กรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินในช่วงกลางคืนด้วยค่ะ

Content Image

สัญญาณเตือนอาการก่อนคลอด

     เชื่อว่าช่วงเวลาหนึ่งสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์🤰และมีอายุครรภ์ที่มากเต็มทีอาจมีความกังวล นั่นก็คือช่วงเวลาก่อนคลอดนั่นเองค่ะ เพราะถือเป็นหนึ่งช่วงเวลาสำคัญที่จะกำหนดชีวิตของเจ้าตัวน้อย👶ในครรภ์ของเราไปได้ยาวๆในอนาคต วันนี้บทความของเราจึงชวนคุณผู้อ่านมาดูถึงสัญญาณก่อนที่บ่งบอกว่าคุณแม่กำลังจะคลอดว่ามีอะไรบ้าง หากคุณผู้อ่านเป็นคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์เองจะได้รู้ตัวและมีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจ แต่หากเป็นคุณผู้อ่านที่มีคนรอบตัวจนไปถึงคนในครอบครัวเป็นคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ จะได้สามารถช่วยดูแลให้คุณแม่ใกล้คลอดปลอดภัยและอุ่นใจได้ค่ะ💁‍♀️อาการที่คุณแม่อาจพบในช่วงท้องแก่แต่ยังไม่คลอด💫อาการท้องลดคุณแม่อาจรู้สึกหรือสังเกตได้ว่าขนาดท้องของตนเองแฟบลงเล็กน้อย เป็นผลจากการที่เจ้าตัวน้อย👶ในครรภ์เริ่มพลิกตัวกลับหัวมาอยู่ในท่าที่พร้อมออกมาดูโลกภายนอก หรือที่เรียกติดปากกันว่าการ “ท้องลด” นั่นเองค่ะ💫ปวดปัสสาวะถี่ขึ้นรู้สึกปวดปัสสาวะง่ายขึ้นและถี่ขึ้น ซึ่งก็เป็นผลมาจากการที่เจ้าตัวน้อยในครรภ์มีการกลับตัวค่ะ เมื่อกลับตัวแล้วบริเวณศีรษะของทารกจะไปเบียดพื้นที่ของกระเพาะปัสสาวะ ดังนั้นหากดื่มน้ำ🚰เข้าไปมากๆ กระเพาะปัสสาวะของคุณแม่จะมีพื้นที่ให้ขยายน้อยลง จึงมีความรู้สึกอยากปัสสาวะบ่อย🚽จนไปถึงอั้นปัสสาวะไม่ค่อยได้ ซึ่งนับเป็นเรื่องปกติสำหรับคุณแม่ที่มีอายุครรภ์มากๆค่ะ💫มีมูกหรือเมือกขาวไหลออกมาผ่านช่องคลอด สำหรับคุณผู้หญิงอย่างเรามักทราบกันดีอยู่แล้วว่ามูกหรือเมือก💦ที่ออกมาจากช่องคลอดนั้นมีลักษณะอย่างไร เนื่องจากมูกเหล่านั้นก็มีลักษณะคล้ายกับสิ่งที่เราเรียกว่าตกขาวตอนก่อนตั้งครรภ์นั่นเองค่ะ มูกที่ออกมาจะค่อนข้างเหนียวข้น ช่วงเวลาที่พบมูกเหล่านี้ได้มักอยู่ในช่วงก่อนที่คุณแม่จะคลอดจริงประมาณ 1-2 สัปดาห์ค่ะ💫มีอาการเจ็บท้องเตือนหรืออาการเจ็บท้องก่อนคลอด มักจะเกิดในช่วงที่คุณแม่มีอายุครรภ์ได้ประมาณ 8 เดือน🤰ซึ่งก็นับเป็นช่วงเวลาท้องแก่แล้ว คุณแม่บางท่านจึงอาจแยกไม่ออก ว่านี่เป็นเพียงอาการเจ็บท้องเตือนหรือเป็นอาการปวดท้องคลอดจริงนั่นเอง แต่อันที่จริงนั้นการปวดสองรูปแบบนี้ก็ไม่ได้เหมือนกันเสียทีเดียว แต่จะมีวิธีการแยกอย่างไรบ้างนั้น เราไปดูในหัวข้อถัดไปกันเลยค่ะเจ็บท้องก่อนคลอดหรือเจ็บท้องคลอดกันแน่เมื่อคุณแม่มีอายุครรภ์ที่ค่อนข้างมาก ใกล้จะได้เวลากำหนดคลอด⏳แล้ว มักจะมีอาการเจ็บท้องเกิดขึ้น แต่อาการเจ็บท้องในช่วงก่อนคลอดเปรียบเทียบกับเจ็บท้องตอนคลอดจริงก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว โดยจะมีข้อที่แตกต่างกันดังต่อไปนี้ค่ะ✨ความสม่ำเสมอของการเกิดความรู้สึกเจ็บ อาการเจ็บท้องก่อนคลอดแต่ยังไม่คลอด มักจะเป็นๆหายๆ คุณแม่จะรู้สึกเจ็บอย่างไม่สม่ำเสมอ คาดเดาไม่ค่อยได้ แต่หากถึงเวลาคลอดจริง คุณแม่จะมีอาการเจ็บท้องอย่างสม่ำเสมอ คาดเดาและกะประมาณเวลา🕓ได้ว่าตนเองรู้สึกเจ็บทุกกี่นาทีค่ะ✨ความถี่ของการเกิดความรู้สึกเจ็บ หากเป็นการเจ็บท้องก่อนคลอดแต่ยังไม่คลอด คุณแม่จะรู้สึกเจ็บแต่ละครั้งค่อนข้างห่างกัน อาจห่างกันในหลักชั่วโมงเลยก็เป็นได้ แต่หากคุณแม่รู้สึกเจ็บท้องถี่ขึ้นเป็นหลักนาที⏰ ก็อาจเป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกว่าคุณแม่กำลังเจ็บท้องคลอดจริงค่ะ✨ความรุนแรงของความเจ็บปวด หากเป็นเพียงอาการปวดท้องก่อนคลอด🤰 คุณแม่จะรู้สึกปวดไม่มากเท่าตอนปวดจะคลอดจริง แต่ในการปวดท้องจะคลอดจริงนั้น อาจไม่ได้เริ่มจากความรู้สึกปวดอย่างรุนแรงตั้งแต่แรก แต่จะเริ่มรู้สึกปวดมากขึ้นเมื่อระยะเวลาผ่านไปเรื่อยๆค่ะ✨บริเวณที่รู้สึกปวด สำหรับคุณแม่ที่ปวดท้องก่อนคลอดแต่ยังไม่ถึงเวลาคลอดจริง มักรู้สึกปวดบริเวณท้องน้อยค่ะ แต่หากเป็นสัญญาณปวดเมื่อถึงเวลาคลอดจริง🤰 คุณแม่มักรู้สึกปวดบริเวณส่วนบนของมดลูกไปจนถึงแผ่นหลังได้เลยค่ะ✨อาการหลังให้ยาแก้ปวด สำหรับอาการปวดท้องก่อนคลอดแต่ยังไม่คลอดจริง เมื่อให้ยาแก้ปวด💊แล้วคุณแม่จะรู้สึกดีขึ้น อาการปวดลดน้อยลง แต่หากเป็นการปวดคลอดจริง ยาอาจช่วยได้ไม่มากนักเพราะอย่างไรก็ตาม มดลูกของคุณแม่ก็ยังบีบตัวเรื่อยๆค่ะ✨ขนาดของปากมดลูก หากเป็นการปวดท้องก่อนคลอดแต่ยังไม่คลอดจริง ปากมดลูกของคุณแม่จะมีขนาดเท่าเดิมค่ะ แต่หากเป็นสัญญาณเตือนว่าปวดท้องจะคลอดจริง ปากมดลูกของคุณแม่จะขยายขนาดขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมในการเบ่งเจ้าตัวน้อยในครรภ์ออก🤰มาค่ะสัญญาณเตือนในการคลอดจริงอย่างที่เราได้พูดถึงไปในหัวข้ออาการก่อนคลอดว่าคุณแม่สามารถพบมูกออกจากช่องคลอดตัวเองในช่วงที่ท้องแก่มากๆ ช่วงก่อนคลอดมูกนั้นจะมีลักษณะข้นเหนียวคล้ายตกขาว💦ในช่วงก่อนตั้งครรภ์ แต่หากถึงเวลาคลอดแล้วมูกที่ออกมาจะเป็นมูกเลือด🩸ค่ะ💥อาการถุงน้ำคร่ำแตกอาการต่อไปนั้นถือว่าเป็นอาการที่ชัดเจนเป็นอย่างมาก และเราต่างก็รู้จักกันดี นั่นก็คืออาการถุงน้ำคร่ำแตกหรือที่เรียกกันง่ายๆว่าอาการน้ำเดิน💧นั่นเองค่ะ โดยปกติแล้วถุงน้ำคร่ำจะมีน้ำคร่ำอยู่ข้างใน ซึ่งเป็นของเหลวที่มีไว้เพื่อห่อหุ้มร่างกายของทารก🚼ไม่ให้ชนหรือเบียดโดยตรงกับอวัยวะภายในของคุณแม่ และมีไว้อำนวยความสะดวกในการพลิกตัวของทารก เมื่อถุงน้ำคร่ำแตกจึงเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าทารกจะอยู่ภายในครรภ์ไม่ได้แล้วนั่นเองค่ะ น้ำคร่ำที่ไหลออกมาสามารถแตกออกมาพรวดเดียวหรือค่อยๆไหลก็ได้ น้ำที่ออกมาจะมีลักษณะใส ไม่เป็นมูก คล้ายปัสสาวะแต่ไม่มีกลิ่นไม่มีสีค่ะ💥อาการเจ็บท้องคลอดมีอาการเจ็บท้องคลอดจริง ไม่ใช่เจ็บท้องคลอดหลอกตามที่เราได้จำแนกในหัวก่อนหน้านั่นเองค่ะ     จะเห็นแล้วนะคะว่าอาการหรือสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณแม่พร้อมคลอดแล้วนั้นไม่ได้สังเกตยากอย่างที่คิด หากคุณผู้อ่านเป็นคุณแม่ที่มีอายุครรภ์👩‍🦳ค่อนข้างมากหรือเป็นคนรอบตัวจนไปถึงคนในครอบครัว👨‍👩‍👧ของคุณแม่ท้องแก่ ควรหมั่นสังเกตอาการเหล่านี้ เพื่อจะได้เตรียมตัวเตรียมใจในวันที่คุณแม่คลอดจริง เป็นการอำนวยความสะดวกให้คุณแม่ไปถึงโรงพยาบาล🏥 อยู่ภายใต้การดูแลของสูตินรีแพทย์👩‍⚕️ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยมากที่สุดค่ะ

Content Image

ผักชีดีต่อคุณแม่ตั้งครรภ์จริงไหม

     ผักชี (Coriander)🌿ถือเป็นวัตถุดิบสำคัญของอาหารไทยส่วนใหญ่ เรานิยมนำผักชีมาโรยหน้าอาหาร เช่น เมนูข้าวมันไก่ เพราะผักชีนั้นเป็นผักที่หาทานได้ง่ายและมีกลิ่นเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์ แต่อย่างไรก็ตามในคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์บางท่านอาจมีอาการแพ้พืชตระกูลผักชีได้ วันนี้ทางเราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่คุณแม่ควรศึกษาว่าเกี่ยวกับการกินผักชีให้อย่างไรให้ปลอดภัยขณะตั้งครรภ์ประโยชน์ของผักชีสรรพคุณของใบผักชีในใบผักชีนั้นมีสรรพคุณช่วยบำรุงสายตา👁️ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด บรรเทาอาการคลื่นไส้ ช่วยให้ระบบย่อยดีขึ้น เสริมภูมิคุ้มกันและบำรุงร่างกายคุณแม่ตั้งครรภ์ให้แข็งแรง สรรพคุณของเมล็ดผักชีเมล็ดผักชีมีฤทธิ์ช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ อาการปวดท้อง ช่วยย่อยอาหาร และอีกทั้งยังสามารถช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวารหนักสำหรับคุณแม่ได้โทษของผักชีผักชีอาจทำให้เกิดกลิ่นตัว คุณแม่ไม่ควรกินผักชีในปริมาณที่มากเกินไป เนื่องจากผักชีนั้นมีกลิ่นฉุน อาจจะทำใก้เกิดกลิ่นตัว กลิ่นรักแร้ และกลิ่นปาก🙊 ที่ไม่พึงประสงค์ได้ ไม่เหมาะสำหรับคุณแม่ที่เป็นโรคไตในผักชีนั้นมีสารที่ทำให้เกิดการตกผลึกในไตและมีโพแทสเซียมสูง ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมากต่อคุณแม่ที่เป็นโรคไต เพราะจะส่งผลให้ไตทำงานหนักมากขึ้นและยังส่งผลต่อการเต้นของหัวใจ🫀ข้อแนะนำในการกินผักชีอย่างไรให้ปลอดภัยเลือกกินในปริมาณที่พอเหมาะคุณแม่สามารถนำเม็ดผักชีมาต้มกินในปริมาณที่พอเหมาะ จะสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดี และยังสามารถบำรุงน้ำนม🤱 สำหรับคุณแม่ที่มีภาวะน้ำนมน้อยอีกด้วยเลือกกินผักชีในช่วงที่มีอาการท้องอืดคุณแม่สามารถกินผักชีหากมีอาการแน่นท้อง ผักชีจะช่วยฟื้นฟูระบบย่อยอาหาร และช่วยให้คุณแม่ขับถ่ายได้สะดวกขึ้น🚽 เพราะผักชีมีฤทธิ์เป็นยาระบ่ายอ่อนๆ และมีปริมาณไฟเบอร์สูง จึงช่วยแก้ปัญหาท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์สำหรับคุณแม่ได้     ผักชีนั้นถือเป็นสมุนไพรท้องถิ่นที่หาซื้อได้ง่าย ราคาย่อมเยาว์และยังแฝงไปด้วยคุณประโยชน์มากมายที่ทางเราได้กล่าวไปข้างต้น หากคุณแม่ควรกินผักชีในปริมาณที่พอเหมาะ ก็จะปลอดภัยต่อสุขภาพของคุณแม่และทารกในครรภ์ ไอเดียเมนูสุขภาพจากผักชีที่คุณแม่สามารถทำได้เองง่ายๆ เช่น ต้มจืดหมูสับผักชี 🍲 และยำผักชีไข่ต้ม

Content Image

อาการท้องลดคืออะไร? เกิดขึ้นได้เมื่อไหร่?

อาการท้องลดเป็นอาการของหญิงตั้งครรภ์ ที่ระดับความสูงของท้องที่อยู่ระดับลิ้นปี่ในตอนแรก ค่อยๆลดระดับลง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่ทารกในครรภ์เคลื่อนศีรษะลงสู่อุ้งเชิงกรานตำแหน่งของท้องคุณแม่ในสัปดาห์ต่างๆระดับของยอดมดลูกโดยปกติแล้วเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์🤰 มดลูกของคุณแม่ก็จะเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งพอถึงสัปดาห์ที่ 20 ยอดของมดลูกจะอยู่ประมาณระดับสะดือ และเมื่อเข้าสู่อาทิตย์ที่ 32 ยอดของมดลูกจะอยู่ที่ประมาณกึ่งกลางของกระดูกลิ้นปี่กับสะดือ พอหลังเข้าสู่สัปดาห์ที่ 36 ของการตั้งครรภ์ยอดของมดลูกก็จะอยู่สูงประมาณลิ้นปี่นั่นเองค่ะท่าของทารกที่เตรียมคลอดสำหรับทารกที่จะคลอดในท่าปกติ ศีรษะของทารก👶จะเริ่มเคลื่อนต่ำลงไปสู่อุ้งเชิงกราน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอดที่กำลังจะมาถึง แต่จะมีทารกบางรายก็อาจนำก้นลงก่อน ซึ่งจะทำให้ดูเหมือนว่าท้องของคุณแม่ลดต่ำลงมาเมื่อมองจากภายนอกนั่นเองค่ะ คุณแม่จะรู้สึกอย่างไรเมื่อเกิดอาการท้องลด?จะหายใจสะดวกมากขึ้นเมื่อเกิดอาการท้องลด คุณแม่จะรู้สึกสบายตัวและจะรู้สึกโล่งท้องมากขึ้น เนื่องจากมดลูกของคุณแม่จะลดระดับลง ทำให้คุณแม่หายใจสะดวกขึ้น😮‍💨 เพราะมดลูกไม่ไปดันกระบังลม และเนื่องจากกระเพาะอาหารถูกกดน้อยลง  ดังนั้นเมื่อคุณแม่รับประทานอาหารก็จะทำให้รู้สึกไม่ค่อยแน่นท้องนั่นเองค่ะ อาจรู้สึกปวดบริเวณหัวหน่าวแต่อย่าเพิ่งดีใจไปนะคะ เพราะในเวลาเดียวกันคุณแม่อาจรู้สึกปวดหน่วงบริเวณช่องคลอด หรือ บริเวณหัวหน่าว และจะรู้สึกเหมือนลูกน้อยจะไหลออกมา ที่คุณแม่รู้สึกแบบนี้นั่นเป็นเพราะศีรษะของเจ้าตัวเล็ก👶 ได้ลงมาต่ำที่บริเวณอุ้งเชิงกราน ทำให้กระเพาะปัสสาวะของคุณแม่ถูกเบียด จึงทำให้มีพื้นที่น้อยลงนั่นเองค่ะ รวมถึงคุณแม่บางคนก็จะมีอาการเป็นตะคริวบ่อยขึ้น เท้าบวมขึ้น🦶 มีการลุกนั่งที่ลำบากกว่าเดิมด้วยค่ะ เราจะสามารถเห็นคุณแม่มีอาการท้องลดได้ตอนไหน?ท้องแรกสำหรับคุณแม่ที่ท้องเป็นครั้งแรก🤰  จะสามารถสังเกตอาการท้องลดได้หลังสัปดาห์ที่ 36 ขึ้นไป โดยท้องของคุณแม่จะมีขนาดลดลงจากการที่ลูกเริ่มเคลื่อนต่ำลงสู่อุ้งเชิงกรานเตรียมคลอดนั่นเองค่ะ เคยตั้งครรภ์มาแล้วสำหรับคุณแม่ที่เคยตั้งครรภ์มาแล้ว จะสามารถสังเกตอาการท้องลดได้ช้ากว่าในท้องแรก🤰  บางรายขนาดใกล้คลอดแล้วก็จะไม่มีอาการของการท้องลดเลย บางรายก็ไม่ลดเลยจนกระทั่งคลอด🏥เลยก็มีค่ะ

Content Image

คุณแม่ตั้งครรภ์ออกกำลังกายอย่างไรดี

     การออกกำลังกายนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับเราทุกคนรวมถึงคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์🤰ค่ะ แต่ในขณะเดียวกันช่วงที่คุณแม่กำลังตั้งครรภ์นั้น ร่างกายก็จะมีความอ่อนแอมากกว่าปกติ หากเป็นเช่นนั้นคุณแม่จะสามารถออกกำลังกายอย่างไร เพื่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพของตนเองและไม่สร้างผลเสียต่อร่างกายของตนเองและเจ้าตัวน้อย บทความนี้มีคำตอบให้คุณผู้อ่านค่ะ💁‍♀️รูปแบบการออกกำลังกายที่คุณแม่ตั้งครรภ์สามารถทำได้▶️สำหรับคุณแม่ที่ไม่ได้มีไลฟ์สไตล์ในการออกกำลังกายเป็นประจำ สามารถเริ่มออกกำลังกายเบาๆในเชิงคาร์ดิโอได้ด้วยการเดินเบาๆ🚶‍♀️ในระยะเวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจให้สูงขึ้นเล็กน้อยอย่างต่อเนื่อง มีประโยชน์ในเชิงการเสริมสร้างความแข็งแรงของหัวใจ🫀ค่ะ▶️สำหรับคุณแม่ที่มีไลฟ์สไตล์การออกกำลังกายมาก่อนตั้งครรภ์อยู่แล้ว อาจออกกำลังการในเชิงคาร์ดิโอโดยการวิ่งเบาๆ🏃‍♀️หรือวิ่งเหยาะๆได้ ซึ่งเป็นวิธีการบริหารหัวใจให้แข็งแรงเช่นเดียวกัน แต่ในกรณีที่ไม่ใช่คุณแม่สายเล่นกีฬามาตั้งแต่แรก ให้เริ่มจากการเดินเร็วจะปลอดภัยจากอาการบาดเจ็บมากกว่าค่ะ✨เล่นโยคะการเล่นโยคะ🧘‍♀️ในท่าที่ไม่ยากมาก จะช่วยให้คุณแม่ได้ยืดเส้นยืดสาย ได้ฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ แต่พยายามหลีกเลี่ยงการเล่นในที่ที่อากาศร้อน☀️หรืออากาศไม่ถ่ายเทค่ะ✨การว่ายน้ำคุณแม่ที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวหรือปัญหาการเดินอาจหันมาว่ายน้ำแทน🏊‍♀️ค่ะ ซึ่งนับเป็นการออกกำลังกายประเภทที่ทั้งเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและอัตราการเต้นของหัวใจในคราวเดียวกันค่ะ✨เล่นพิลาทิส หลายท่านอาจเข้าใจว่าพิลาทิสคือการโหนเชือก🧵หรือโหนผ้าจากที่สูง ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ แต่อันที่จริงแล้วพิลาทิสมีทั้งแบบเล่นบนเสื่อที่มีรูปแบบคล้ายการเล่นโยคะ🧘‍♀️ และยังมีรูปแบบที่เล่นกับอุปกรณ์หรือเครื่องพิลาทิสโดยเฉพาะที่มักจะมีตามฟิตเนสอีกด้วยค่ะ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของคุณแม่ คุณแม่อาจเลือกเล่นในรูปแบบที่ไม่ผาดโผนมาก และมีเทรนเนอร์หรือครูที่มีประสบการณ์คอยแนะนำและดูแลอย่างใกล้ชิดในขณะเล่นค่ะ✨การทำเวทเทรนนิ่งหรือการยกน้ำหนัก เมื่อเห็นคำว่ายกน้ำหนัก🏋️‍♀️แล้วคุณผู้อ่านอาจจะตกใจว่าคนท้องจะเล่นไหวได้อย่างไร แต่การยกน้ำหนักนั้นไม่จำเป็นต้องยกหนักค่ะ คุณแม่สามารถเลือกน้ำหนักเบาๆ แต่ยกหลายๆเซ็ต ยกหลายๆครั้งเพื่อบริหารการทำงานของกล้ามเนื้อได้ค่ะ และควรเลือกรูปแบบการยกที่ปลอดภัยต่อร่างกายของตนเอง จะเลือกใช้ดัมเบลในการเล่น การใช้แมชชีนหรือเครื่องออกกำลังกายยกน้ำหนัก จนไปถึงการทำบอดี้เวทที่ใช้น้ำหนักของร่างกายตนเองในการบริหารกล้ามเนื้อ💪 คุณแม่สามารถเลือกได้ตามความถนัดแต่ต้องไม่หักโหมค่ะการออกกำลังกายที่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงแบบที่ 1️⃣กีฬาใดๆก็ตามที่ต้องมีการปะทะหรือถึงเนื้อถึงตัว เนื่องจากแรงกระแทกจากการปะทะอาจส่งผลเสียต่อเด็กในท้อง🚼ได้ค่ะแบบที่ 2️⃣กีฬาผาดโผน ยกตัวอย่างเช่นการเล่นยิมนาสติก🤸‍♀️ เพราะเป็นกีฬาที่มีความเสี่ยงจะผิดพลาดมากกว่ากีฬาชนิดอื่นทั่วไปค่ะแบบที่ 3️⃣กีฬาขี่ม้า🏇 ในช่วงควบม้าอาจมีแรงกระแทกระหว่างตัวเรากับม้าที่ค่อนข้างสูง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อเด็กในท้องด้วยค่ะแบบที่ 4️⃣กีฬาดำน้ำ🤿 เนื่องจากการดำน้ำไปยังระดับความลึกที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ความกดอากาศหรือความดันอากาศรอบตัวเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นอันตรายต่ออวัยวะภายในร่างกายของคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์รวมถึงร่างกายของเด็กในครรภ์ด้วยค่ะหยุดกิจกรรมทันทีหากมีอาการแบบนี้เกิดขึ้น👉เมื่อคุณแม่มีอาการหน้ามืด เวียนศีรษะ😵‍💫 ต้องการคลื่นไส้อาเจียน🤮 จนไปถึงมีอาการโลกหมุน ทรงตัวไม่ได้ค่ะ👉เมื่อคุณแม่รู้สึกร้อนเกินไป🥵และกำลังขาดน้ำ👉เมื่อมีอาการบาดเจ็บอย่างผิดปกติเกิดขึ้นที่อวัยวะใดของร่างกายก็ตาม👉เมื่อมีเลือด🩸ออกมาจากช่องคลอด     จะเห็นแล้วนะคะว่าจริงๆแล้ว คุณผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์🤰ก็สามารถออกกำลังกายได้เช่นเดียวกับคนทั่วๆไป นอกจากจะสามารถทำได้แล้วยังเป็นสิ่งที่ควรทำด้วย อย่างไรก็ตามหากคุณแม่อยากลองออกกำลังกายประเภทไหนก็ควรไปปรึกษาแพทย์👩‍⚕️เจ้าของครรภ์ก่อน เพื่อพิจารณาถึงลักษณะกิจกรรม ความเข้มข้น และความถี่ของการออกกำลังกาย เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด และมีความเสี่ยงในการก่อโทษต่อทั้งร่างกายของคุณแม่เองและเจ้าตัวน้อยในครรภ์ให้มากที่สุดค่ะ

Content Image

ทำไมถึงหิวกลางดึกบ่อยจัง กินแล้วก็กิน...

มาถึงตอนนี้แล้วอย่าลืมตุนตู้เย็นด้วยอาหารเพื่อสุขภาพและอาหารที่คุณแม่อยากทานนะคะ แล้วคุณแม่จะแปลกใจว่าตัวเองหิวและทานอาหารตอนกลางคืนบ่อยแค่ไหนค่ะ! ซึ่งการที่คุณแม่ตื่นมาหิวตอนกลางคืนบ่อยๆเลยเนี่ยไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเลย โดยอาการหิวกลางคืนบ่อยๆนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร และจะสามารถรับมือได้อย่างไรบ้าง เราไปดูกันเลยค่ะ!ตื่นมาหิวตอนกลางคืน😋ฮอร์โมนการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนมีส่วนต่อความหิวโหยของการตั้งครรภ์ในช่วงดึกของคุณแม่🍲 ระดับฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้คุณแม่บอกไม่ได้ว่าคุณแม่รู้สึกหิวหรืออิ่มอยู่ ดังนั้นคุณแม่จะพบว่าตัวเองตื่นมากลางดึกเพราะความหิวและกำลังเปิดตู้เย็นเพื่อหาอาหาร🥡😋เมแทบอลิซึมคุณแม่ไม่ได้กินแค่เพื่อให้อิ่มท้องแต่ยังต้องให้สารอาหารแก่ลูกน้อยของคุณแม่ด้วย อัตราการเผาผลาญของคุณแม่เพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของทารกที่กำลังเติบโต👶 คุณแม่จะต้องการแคลอรีเพิ่มขึ้นประมาณ 340 แคลอรีต่อวันในไตรมาสที่ 2 หากคุณแม่มีแฝดสองหรือแฝดสาม คุณแม่อาจต้องการแคลอรีมากขึ้น ดังนั้นคุณแม่ควรปรึกษาแพทย์นะคะ 👩‍⚕️วิธีรับมือกับอาการหิวตอนดึก😋อย่าทนหิวเติมเต็มท้องว่างของคุณด้วยใยอาหารพิเศษ เพราะร่างกายย่อยได้ช้ากว่า อาหารที่อุดมด้วยไฟเบอร์จะทำให้คุณอิ่มนานขึ้น😃😋กินของว่างอย่างชาญฉลาดการกินของว่างตอนเที่ยงคืนอาจเป็นนิสัยของทุกคนแม้กระทั่งก่อนตั้งครรภ์🤰 ตราบใดที่คุณเลือกของว่างที่ดีต่อสุขภาพสำหรับทั้งคุณและลูกน้อย ก็ไม่มีปัญหา! ไข่ต้มสุก🥚, ชีส🧀, ผลไม้สดเพื่อสุขภาพ คุณแม่จะได้อร่อยและอิ่มท้องในยามค่ำคืนค่ะ😋จำกัดอาหารแปรรูปอาหารแปรรูปจะทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว และหลังบริโภคคุณจะรู้สึกหิวมากขึ้น แม้ว่าคุณจะกินไปแล้วก็ตาม🙁😋ดื่มน้ำให้เพียงพอคุณแม่ต้องดื่มน้ำมาก ๆ 🥛 เพื่อรองรับปริมาณเลือดและเติมน้ำคร่ำที่ปกคลุมลูกน้อยของคุณแม่ การดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยให้คุณแม่แปรรูปอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น😃😋หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้อาหารไม่ย่อยหรือแสบร้อนกลางอกอาหารทอดที่มีไขมัน🍔 ส้ม สะระแหน่ และโซดาเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในมื้อเย็น เพราะอาหารเหล่านี้มีไขมันสูงทำให้ย่อยยากขึ้น และหากน้ำตาลอยู่ในระดับสูงก็จะทำลายสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ ทำให้อาหารไม่ย่อยและปวดท้อง🥪ในที่สุด

Content Image

แม่ท้องใช้น้ำยาบ้วนปากได้ไหม

     คุณแม่คงเคยได้ยินคำว่ากลิ่นปากไม่ใช่เรื่องตลก เราควรให้ความสำคัญและใส่ใจมากๆ หากทำการปล่อยปละละเลยไปก็จะส่งผลไม่ดีต่อสุขภาพช่องฟันได้ จึงมักมีคำถามขึ้นมาว่าแม่ท้องสามารถใช้น้ำยาบ้วนปากได้ไหม ถ้าใช้แล้วจะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือเปล่า วันนี้ทางเราจะพาคุณแม่ไปหาคำตอบพร้อมกันค่ะ5 วิธีเลือกซื้อน้ำยาบ้วนปากคุณแม่ตั้งครรภ์🤰สามารถใช้น้ำยาบ้วนปากได้ตามปกติเลยนะคะ แต่ก็ควรพิจารณาเลือกดูผลิตภัณฑ์บ้วนปากที่อ่อนโยนต่อสุขภาพช่องฟัน ดังนั้นทางเราจึงได้ลิสต์ 5 วิธีการเลือกน้ำยาบ้วนปาก👄มาให้คุณแม่ทราบกันค่ะ💫เลือกน้ำยาบ้วนปากที่ผสมฟลูออไรด์ฟลูออไรด์ (Fluoride) เป็นส่วนผสมในน้ำยาบ้วนปากที่คุณแม่ควรมอง เพราะกลัวอะไรสามารถช่วยป้องกันโรคฟันผุและยังสามารถทำให้สุขภาพฟัน🦷ของคุณแม่แข็งแรงมากขึ้นค่ะ💫เลือกยี่ห้อที่มีประสิทธิภาพดีคุณแม่ควรเลือกซื้อน้ำยาบ้วนปากผ่านการรับรองมาตรฐานว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้การได้รับการยอมรับจากทันตแพทย์  ก็นั่นหมายความว่าน้ำยาบ้วนปากแบรนด์นั้นๆมีคุณภาพและมาตรฐานที่ดี💯💫เลือกน้ำยาบ้วนปากที่สกัดมาจากสมุนไพรน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมมาจากสารสกัดจากสมุนไพรทางธรรมชาติ☘️ จะมีลักษณะเป็นโมเลกุลขนาดเล็ก สามารถซอกซอนเพื่อเข้าไปทำความสะอาดช่องฟันได้อย่างดี และยังช่วยป้องกันการเกิดคราบไบโอฟิล์มในช่องปากได้ด้วยค่ะ💫เลือกน้ำยาบ้วนปากที่ผสมคลอเฮกซิดีนคลอเฮกซิดีน (Chlorhexidine) ถือว่าเป็นส่วนผสมที่ดีสำหรับคุณแม่ที่มีปัญหาเรื่องช่องปาก👄 โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีปัญหาเหงือกอักเสบอยู่บ่อยๆ เพราะสารตัวนี้จะเข้าไปช่วยดูแลเหงือกของคุณแม่ให้แข็งแรง💪 และยังสามารถช่วยลดการเกิดคราบไบโอฟิล์มในช่องปากได้ด้วยเช่นกัน💫เลือกน้ำยาบ้วนปากที่ผสมเซทิลไพริดิเนียมคลอไรด์สารเซทิลไพริดิเนียมคลอไรด์ (Cetylpyridinium Chloride : CPC) จะเข้าไปทำให้ฟัน🦷ของคุณแม่ดูสะอาดขึ้น และช่วยลดการเกิดคราบไบโอฟิล์ม ลดการเกิดอาการเหงือกอักเสบได้เช่นกัน ประโยชน์ของการใช้น้ำยาบ้านปาก👉ช่วยลดกลิ่นปากการใช้น้ำยาบ้วนปากเป็นประจำหลังการแปรงฟันสามารถทำให้ช่วยระงับกลิ่นปากที่ไม่พึงประสงค์ได้🙊 หรือคุณแม่สามารถใช้น้ำยาบ้วนปากหลั่งจากทานอาหารเสร็จก็ได้นะคะ เพื่อช่วยลดกลิ่นปากจากเศษอาหาร🍝ที่ติดอยู่ตามซอกฟัน👉ช่วยป้องกันการสะสมของเชื้อจุลินทรีย์น้ำยาบ้วนปากมีฤทธิ์ในการลดการสะสมของเชื้อจุลินทรีย์และแบคทีเรีย🦠ในช่องปากได้ ทำให้สุขภาพฟันของคุณแม่นั้นสะอาดปราศจากเชื้อโรค👉ช่วยป้องกันโรคเหงือกอักเสบการที่คุณแม่จะมีสุขภาพเหงือกที่ดีนั้นคุณแม่ไม่ควรละเลยการแปรงเหงือกด้วยนะคะ เพราะสุขภาพเหงือกที่ดีก็ควรได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอเช่นเดียวกันค่ะ คุณแม่สามารถใช้แปรงไฟฟ้า🪥ในการเข้ามาช่วยดูแลสุขภาพเหงือกและฟันได้ด้วยนะคะ4 วิธีการบ้วนปากอย่างถูกต้อง1️⃣ เตรียมน้ำยาบ้วนปากใส่ในแก้วคุณแม่สามารถเทน้ำยาบ้วนปากลงในแก้ว🥃เพื่อเป็นการจำกัดปริมาณที่จะใช้แต่ละครั้ง ทำให้สะดวกต่อการบ้วนปาก และลดอาการระคายเคืองเนื่องจากใช้น้ำยาบ้วนปากในปริมาณที่มากเกินไปได้2️⃣ เทน้ำยาบ้วนปากเข้าไปในช่องปากหลังจากจัดเตรียมน้ำยาบ้วนปากในปริมาณที่พอเหมาะ คุณแม่สามารถค่อยๆเทน้ำยาบ้วนปากเข้าไปในช่องปาก และควรระวังอาการสำลัก🤢จากการกลืนน้ำยาบ้วนปากด้วยนะคะ3️⃣ กลั้วน้ำยาบ้วนปากในช่องปากตามคำแนะนำของทันตแพทย์ คุณแม่ควรกลั้วน้ำยาบ้วนปากให้ทั่วช่องปากไปเรื่อยๆเป็นระยะเวลาประมาณ 30 - 60 วินาที⏳ และไม่ควรกลั้วนานเกินไปกว่านั้น เพราะอาจจะส่งผลไม่ดีต่อสุขภาพช่องปากได้ค่ะ4️⃣ ทำการพูดน้ำยาบ้วนปากทิ้งหลังจากทำการกลั้วน้ำยาบ้วนปากเป็นเวลา 30 - 60 วินาทีแล้ว คุณแม่สามารถบ้วนน้ำยาบ้วนปากทิ้งได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องกลัวตามด้วยน้ำเปล่า💧อีกรอบนะคะ     ทราบกันแล้วใช่ไหมคะว่าน้ำยาบ้วนปากนั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคุณแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคุณแม่ที่ต้องการดูแลสุขภาพปากและฟัน🦷ให้มีสุขอนามัยที่ดี ไร้กลิ่นไม่พึงประสงค์ คุณแม่ควรเลือกน้ำยาบ้วนปาก👄ที่เหมาะกับสุขภาพฟันของ ไม่ทำให้คุณแม่รู้สึกแสบปากขณะกลั้วปาก เพราะนั่นหมายถึงอาการระคายเคืองต่อสุขภาพช่องปากที่อาจส่งผลร้ายมากกว่าผลดีต่อตัวคุณแม่ค่ะ

Content Image

แม่ท้องทำเลเซอร์กำจัดขนได้ไหม

     คุณแม่หลายๆท่านที่รักสวยรักงามเป็นชีวิตจิตใจ ชอบเข้าคลินิกเพื่อทำการกำจัดขนโดยใช้วิธีการเลเซอร์เป็นประจำ แต่ถ้าหากคุณแม่กำลังตั้งครรภ์🤰 ยังจะสามารถกำจัดขนโดยวิธีการทำเลเซอร์ได้ไหม แสงเลเซอร์มีผลต่อความปลอดภัยของทารกในครรภ์หรือเปล่า เราไปหาคำตอบพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️การเลเซอร์กำจัดขน คืออะไร✨เลเซอร์กำจัดขน (Laser hair removal)เป็นหัตถการที่ใช้ลำแสงเพื่อทำลายรากขน โดยพลังงานที่ยิงลงไปจะแทรกซึมเข้าไปสู่ผิวหนัง ทำให้เกิดความร้อน♨️เพียงพอที่จะทำลายไปถึงรากลึกของเส้นขน การยิงเลเซอร์จะได้ผลดีกับบุคคลที่มีผิวสีอ่อนและมีเส้นขนสีเข้ม แต่อย่างไรก็ตามแพทย์ไม่แนะนำให้ทำเลเซอร์กำจัดขนขณะตั้งครรภ์❎ เพราะอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อทั้งแม่ตั้งครรภ์และทารกภายในครรภ์👶 จากการได้รับแสงเลเซอร์ที่ถูกปล่อยออกมานั่นเองค่ะอันตรายจากการทำเลเซอร์กำจัดขนขณะตั้งครรภ์👉คุณแม่เสี่ยงผิวไหม้คุณแม่เสี่ยงที่จะมีผิวไหม้จากการทำเลเซอร์กำจัดขนในขณะตั้งครรภ์ หากพนักงานทำการปรับคลื่นแสงที่ไม่เหมาะสมกับสีผิวของคุณแม่🤰👉คุณแม่เสี่ยงเม็ดสีตรงผิวคล้ำขึ้นผลเสียจากการทำเลเซอร์อีกอย่างหนึ่งคือการที่อาจทำให้มีการเพิ่มขึ้นของเม็ดสี จึงทำให้ผิวตรงบริเวณที่ได้รับการเลเซอร์มีความคล้ำขึ้นอย่างชัดเจน👩🏽👉เสี่ยงแท้งบุตรสิ่งที่ร้ายแรงที่สุดจากการทำเลเซอร์กำจัดขน คือเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร🩸ของทารกในครรภ์คุณแม่ เพราะทารกอาจได้รับอันตรายจากคลื่นแสงที่ถูกปล่อยออกมาจากเครื่องเลเซอร์ทางเลือกอื่นสำหรับกำจัดขนของแม่ตั้งครรภ์🪒การโกนขนการโกนขนจัดเป็นวิธีที่ง่าย สะดวก และรวดเร็ว⏳ที่สุดสำหรับคุณแม่ในการกำจัดขน อีกทั้งการโกนขนจัดเป็นวิธีที่มีราคาย่อมเยาว์💰 หลังจากโกนขนแล้วแนะนำให้คุณแม่ทำมอยเจอร์ไรเซอร์ตามหลังด้วยค่ะ🖱️การแว๊กซ์ขนการแว๊กขนเป็นอีกวิธีที่สามารถกำจัดขนได้ถึงรากขน แต่อย่างไรก็ตามในคุณแม่ที่มีผิวลักษณะบอบบาง ไม่ควรใช้วิธีแว๊กซ์ขนในการกำจัดขน เพราะอาจทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคือง อาการปวดแสบปวดร้อน🥵 และยังสามารถติดเชื้อ🦠จากการแว๊กซ์ขนได้🧴ครีมกำจัดขนครีมกำจัดขนเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ คุณแม่สามารถเลือกใช้ได้ แต่ก่อนใช้แนะนำให้คุณแม่ทดลองแตะครีมกับผิวหนังดูก่อนว่าเกิดอาการแพ้หรือไม่ หากคุณแม่ไม่มีอาการแพ้ต่อครีมกำจัดขนที่เลือกใช้ ก็สามารถทำการใช้ครีมกำจัดขน🧴ได้เลยค่ะ และควรเลือกทำในห้องที่มีการระบายอากาศได้ดี💨     คุณแม่ทราบแล้วใช่ไหมคะว่าควรหลีกเลี่ยงการกำจัดขนด้วยเลเซอร์ในขณะตั้งครรภ์ไปก่อน🙅‍♀️ เพราะอาจจะมีความเสี่ยงต่อเจ้าตัวน้อยภายในครรภ์ได้ คุณแม่สามารถเลือกใช้วิธีทางเลือกอื่นสำหรับกำจัดขนได้ตามที่ในบทความได้ระบุไว้ข้างต้น หากคุณแม่มีข้อสงสัยต่างๆเกี่ยวกับการกำจัดขน สามารถทำการปรึกษาและรับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ👩‍⚕️ได้ค่ะ

Content Image

วิธีแก้ปัญหาแม่ตั้งครรภ์มีกลิ่นตัวแรง

     ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากลิ่นเหงื่อและกลิ่นตัวงั้นเป็นปัญหาที่น่าหนักใจอย่างมากสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ วันนี้ทางเราจึงได้รวบรวมประเภทของผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย ถ้ามีแบบไหนบ้าง เรามาหาคำตอบได้พร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย มีกี่ประเภท?ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภทหลัก ดังต่อไปนี้ 1️⃣ ประเภทโรลออน ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายประเภทโรลออนมีข้อดี คือหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด และมีราคาที่ไม่แพง💰 แต่ก็มีข้อเสีย คือ โรลออนจะทิ้งคราบไว้บนเสื้อผ้าได้ง่าย หากคุณแม่ไม่รอจนกว่าผลิตภัณฑ์จะแห้งสนิท 2️⃣ ประเภทสเปรย์ สเปรย์ระงับกลิ่นกายจัดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายที่จะเหมาะจะใช้หลังคุณแม่ออกกำลังกาย🏋️‍♀️ เพราะมีน้ำหนักเบาและให้ความรู้สึกเย็นสบาย แต่อาจจะไม่ค่อยเหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์และคุณแม่ที่ให้นมบุตร เพราะละอองของสเปรย์จะฟุ้งไปทั่วทำให้คุณแม่เผลอสูดดมและถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณแม่และทารกในครรภ์นั่นเองค่ะ3️⃣ ประเภทเจลข้อดีของผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายประเภทเจล คือ มีกลิ่นหอมยาวนาน🌬️ แต่จะใช้เวลาในการซึมซาบเข้าสู่ผิวนานกว่าปกติ เนื่องจากเนื้อเจลจะมีเนื้อสัมผัสที่หนา เมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายประเภทอื่น 4️⃣ ประเภทแท่งผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายในรูปแบบแท่ง จะมีลักษณะเป็นสีขาวใส ใช้งานได้ง่าย✅  มีสัมผัสเนื้อแห้งและไม่เหนียวเหนอะหนะ เช่น สารส้มในรูปแบบแท่ง แต่ก็มีข้อเสียคือ แตกได้ง่ายหากคุณแม่ใช้งานแรงเกินไป5️⃣ ประเภทเซรั่มผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายประเภทนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับเซรั่มบำรุงผิวหน้า🧴 มีเนื้อสัมผัสบางเบาคล้ายเซรั่ม ทำให้ผิวดูดซึมส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้นและแห้งเร็วขึ้นผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายแบบไหนที่เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์มากที่สุด?👉ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายประเภทดรายเซรั่ม (Dry Serum) ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายประเภทดรายเซรั่ม มีลักษณะเนื้อบางเบา🪽 ทำให้ซึมซาบและบำรุงเข้าลึกถึงชั้นผิวได้ดีกว่า ไม่เหนียวเหนอะหนะเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายประเภทอื่นๆ อีกทั้งยังไม่ทิ้งคราบขาวในบริเวณใต้วงแขนของคุณแม่ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีรอยพับทำให้เกิดการเสียดสีและเกิดความอับชื้นได้ง่าย คุณแม่จึงมั่นใจได้เลยว่าผลิตภัณฑ์ลดกลิ่นคายประเภทนี้มีส่วนผสมที่ปลอดภัยต่อใต้วงแขนและยังช่วยระงับกลิ่นกายคุณแม่🤰ได้ด้วยเช่นกัน     ทราบกันแล้วใช่ไหมคะถึงประเภทต่างๆของผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย คุณแม่สามารถเลือกประเภทผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน มีส่วนผสมมาจากธรรมชาติ☘️ หาซื้อได้ง่าย และยังต้องมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นสามารถระงับกลิ่นตัวได้จริงๆอีกด้วยค่ะ

Content Image

คนท้องก็ออกกำลังกายได้ การออกกำลังกายที่ปลอดภัยสำหรับคนท้อง

คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์นั้นเมื่ออายุครรภ์มากขึ้นเรื่อยๆ การขยับเขยี้อนร่างกายก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ลำบากมากขึ้น รวมถึงยังต้องระมัดระวังไม่ให้กระทบกระเทือนกับลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์ด้วย การเคลื่อนไหวร่างกายเยอะๆอาจทำให้เหนื่อยมากจนไม่มีแรงได้ แต่การอยู่นิ่งๆทั้งวันก็อาจส่งผลให้คุณแม่หงุดหงิดและไม่สบายตัวได้ ดังนั้นวันนี้เราจะมาดูถึงการออกกำลังกายที่คุณแม่สามารถทำได้กันค่ะออกกำลังกายมีประโยชน์ต่อคนท้องอย่างไร?การออกกำลังกายเบาๆ...เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ อ่อนเพลียน้อยลง รู้สึกสบายตัวขึ้น ลดความเครียด และทำให้นอนหลับได้ดีขึ้น💤 รวมถึงจะทำให้คุณแม่ฟิตหุ่นได้เร็วขึ้นหากมองในระยะยาวแต่การออกกำลังกายนั้นจะต้องนึกถึงความความสามารถของคุณแม่และความปลอดภัยของครรภ์ด้วย โดยก่อนจะออกกำลังกายคุณแม่ควรปรึกษาและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์👩‍⚕️นะคะประเภทการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับคุณแม่ท้องว่ายน้ำการว่ายน้ำนั้นถือเป็นการออกกำลังกายที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับคนท้องเพราะมีน้ำ🏊‍♀️คอยช่วยพยุง ช่วยทำให้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ของร่างกายใช้ง่ายมากขึ้น ลดอาการปวดระหว่างการตั้งครรภ์ได้ แต่ควรเลี่ยง ท่าต่างๆที่อาจกระทบกระเทือนครรภ์ได้แก่ ท่ากรรเชียง ท่าผีเสื้อ และให้ว่ายท่ากบ ท่าฟรีสไตล์เบาๆไปก่อนนะคะ เดินการเดินนั้นเป็นวิธีออกกำลังกายที่ส่งผลกระทบต่อเขาและข้อน้อย จึงเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับคนท้องที่สุดวิธีหนึ่ง โดยควรใส่รองเท้าที่สามารถช่วยรอบรับการเดิน🚶‍♀️ของคุณแม่ได้ และหากเลือกได้ก็สามารถลองไปเดินตามสวนสาธารณะ เพื่อสูดอากาศคลายเครียดได้ค่ะเต้นรำการเต้นรำเบา ๆ 💃จะช่วยให้คุณแม่คลายเครียดและผ่อนคลายมากขึ้น แต่ควรหลีกเลี่ยงการกระโดด เต้นจังหวะแรง หรือ มีการหมุนตัว หรือผาดโผนไปก่อนนะคะ โยคะในปัจจุบันก็มีหลายๆแห่งที่เปิดสอนโยคะสำหรับคนท้อง🧘‍♀️โดยเฉพาะ ซึ่งโยคะนั้นจะช่วยให้คุณแม่ได้ยืดกล้ามเนื้อ แถมเป็นการออกกำลังที่มีผลกระทบต่อข้อต่างๆน้อยอีกด้วย นอกจากนั้นหากคุณแม่มีเวลาฝึกเป็นประจำก็จะช่วยให้คุณแม่คลอดง่ายขึ้นอีกด้วยค่ะ การออกกำลังกายแบบไหนที่คนท้องควรหลีกเลี่ยง✨คุณแม่ตั้งครรภ์นั้นควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่เสี่ยงต่อการปะทะอย่างการเล่นสควอช แบตมินตัน หรือต่อยมวย✨หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ต้องย่อตัวหรือยกขามากๆ เพราะจะทำให้เลือดไหวเวียนไม่สะดวกและเสี่ยงต่อการล้ม✨หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ต้องนอนหงายกับพื้น เพราะอาจทำให้คุณแม่หน้ามืดได้เมื่อลุกขึ้นมา เพราะครรภ์จะไปทับหลอดเลือดดำทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวกนั่นเองค่ะ เมื่อใดที่ควรหยุดออกกำลังกายอาการแบบนี้ควรหยุดออกกำลังกาย✨เมื่อมีอาการปวดท้อง✨มีของเหลวไหลออกมาจากช่องคลอด✨มีอาการเจ็บหน้าอก✨มีอาการเวียนศีรษะ หรือหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม✨เกิดอาการปวดบริเวณน่อง หรือน่องมีอาการบวม✨ทารกดิ้นน้อยลง✨อ่อนเพลียมากผิดปกติ✨หายใจสั้นและถี่ก่อนออกแรง หรือขณะออกกำลังกาย✨ปวดศีรษะ✨ปวดที่บริเวณเชิงกราน✨เกิดการหดตัวของมดลูกจนทำให้รู้สึกเจ็บแบบไหนที่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายขณะตั้งครรภ์ ?ทั้งนี้คุณแม่🤰ที่มีปัญหาสุขภาพบางอย่างเช่น มีภาวะต่ำ ปากมดลูกอ่อนแอ มีภาวะแท้งคุมคาม หรือมีประวัติการแท้งมาก่อน การหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายก็อาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดค่ะ ดังนั้นก่อนการออกกำลังกายใดๆก็ตาม คุณแม่ควรปรึกษากับคุณหมอ👩‍⚕️ เพื่อตรวจเช็คสุขภาพ และออกกำลังตามความเหมาะสมของตนเอง หรือหากคุณหมอให้นอนพัก การนอนพักก็จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับคุณแม่ค่ะ และแม้ว่าการออกกำลังกายจะดีต่อสุขภาพของคุณแม่ แต่ก็ควรระวังและหมั่นสังเกตร่างกายของตนเองให้ดี โดยหากเกิดอาการเหล่านี้ ก็ควรไปพบคุณหมอทันที เพราะเป็นสัญญาณของการออกกำลังกายมากเกินไปและอาจทำให้เกิดอันตรายได้นั่นเองค่ะ (ขอบคุณข้อมูลจากเวป pobpad)

Village Baby Co., Ltd.

4F, 83 Uisadang-daero, Yeongdeungpo-gu, Seoul, Republic of Korea

Partnership inquiries babybilly.global@villagebaby.kr

|

|

Language

Copyright Baby Billy. All rights reserved.