Baby Image

ที่แอป Baby Billy คุณสามารถดูเนื้อหาเพิ่มเติมได้!

📖 บทความที่ถูกอ่านมากที่สุด

Content Image

Checklist ของเตรียมคลอด&ของใช้เด็กอ่อน, โหลดไฟล์ PDF กันได้เลย!

คุณแม่คนไหนที่กำลังใกล้คลอดและกำลังมองหาเช็กลิสต์ของเตรียมคลอดแล้วล่ะก็ คุณแม่มาถูกที่แล้วล่ะค่ะ!💡 เบบี้บิลลี่ได้เรียบเรียงลิสต์เตรียมคลอดมาให้อย่างสวยงาม ดูง่าย ไม่สับสนมาแล้ว! โดยคุณแม่สามารถดาวโหลดน์เป็นไฟล์ PDF📝 รวมถึงสามารถปริ้นท์ออกมาดูได้ง่ายๆเลยค่ะ มาดูตัวอย่าง 'ลิสต์ของเตรียมคลอด Baby Billy' กันค่ะลิสต์จัดกระเป๋าไปโรงพยาบาล ลิสต์ของเตรียมคลอดมีอะไรบ้าง?เบบี้บิลลี่ได้จัดลิสต์ของเตรียมคลอดออกเป็น 3 แบบด้วยกัน1️⃣จัดกระเป๋าไปโรงพยาบาล 2️⃣ของจำเป็นหลังคลอดสำหรับคุณแม่3️⃣ของจำเป็นหลังคลอดสำหรับลูกน้อยโดยสามารถเลือกดูได้ตามความจำเป็นของคุณแม่แต่ละท่านเลยค่ะ ลิสต์สบายตาและเข้าใจง่ายลิสต์ของเบบี้บิลลี่ได้เขียนบอกอธิบายความจำเป็นของของแต่ละอย่างเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจได้ว่าควรซื้อของสิ่งนั้นหรือไม่ตามไลฟ์สไตล์และความต้องการของแต่ละท่าน😎 ดาวโหลดได้ที่นี่เลยค่ะ!กดปุ่มด้านล่างเพื่อดาวโหลดลิสต์เป็นไฟล์ PDF ได้เลย! หวังว่าลิสต์จะเป็นประโยชน์สำหรับคุณพ่อคุณแม่ไม่มากก็น้อยนะคะ เบบี้บิลลี่พร้อมเป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่เสมอค่า 🌞 ลิสต์ของเตรียมคลอด

Content Image

อาหารที่ควรเลี่ยงระหว่างการตั้งครรภ์

ตอนนี้คุณแม่กำลังมีเจ้าตัวเล็กอยู่ในครรภ์ ดังนั้นอะไรที่คุณแม่ทานเข้าไปก็จะเป็นการทานเผื่อลูกน้อยในท้องด้วยเช่นกัน ดังนั้นเมื่อคุณแม่รู้ตัวว่าตนเองตั้งครรภ์ก็ควรตื่นตัวและระมัดระวังสิ่งที่ทานอยู่เสมอ โดยพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งของที่อาจทำให้คุณแม่ป่วยหรืออาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของลูกน้อยค่ะทำไมถึงควรหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดในระหว่างตั้งครรภ์?เพราะอาหารบางชนิดมีแบคทีเรีย เช่น E.coli🦠 ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย ในขณะเดียวกันการตั้งครรภ์ยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณแม่ลดลง ทำให้คุณแม่เสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บต่างๆได้ เช่น ไข้หวัดใหญ่  ผู้ที่ตั้งครรภ์ยังมีแนวโน้มที่จะป่วยจากภาวะแทรกซ้อน เช่น การแท้งบุตรหรือการคลอดก่อนกำหนดหากรับประทานอาหารอย่างไม่ถูกต้อง😟 ซึ่งอาจส่งผลร้ายต่อทารกในครรภ์ทำให้เกิดความพิการแต่กำเนิดอย่างรุนแรงหรือการติดเชื้อร้ายแรงได้ค่ะ😔อาหารต้องห้ามระหว่างตั้งครรภ์🐟ปลาที่มีระดับปรอทสูงปลานั้นเต็มไปด้วยสารอาหารที่ช่วยบำรุงสมองและโอเมก้า-3 อย่างไรก็ตาม ปลาบางชนิดมีระดับปรอทสูงนั้นเป็นอันตรายต่อระบบประสาทที่กำลังพัฒนาของทารก🧠 ยิ่งปลาตัวใหญ่และอายุมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีสารปรอทมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเราแนะนำให้คุณแม่ หลีกเลี่ยงการทานปลาฉลาม🦈 ปลานาก ปลาแมคเคอเรล ปลาไทล์ และปลาทูน่านะคะ 🥩อาหารดิบปรุงไม่สุกงดเว้นจากอาหารดิบ เพราะอาหารดิบนั้นสามารถสะสมแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดอาหารเป็นพิษได้ เช่น E.coli หรือ Salmonella ปลาดิบในซาซิมิ🍣 หอยนางรมดิบก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกันอาหารที่มีส่วนผสมของไข่ไม่สุก🥚 เป็นที่แพร่หลายมาก เช่น มูสโฮมเมด แป้งดิบหรือแป้งคุกกี้ มายองเนส เป็นต้น คุณแม่ตั้งครรภ์ 🤰 ที่กินไข่ดิบและไข่ที่ปรุงไม่สุกเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะติดเชื้อซัลโมเนลลา ดังนั้นควรเลี่ยงไปก่อนดีกว่านะคะ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มเหล่านี้☕คาเฟอีนคาเฟอีนจะปลุกคุณเมื่อคุณเหนื่อย อย่างไรก็ตาม การบริโภคคาเฟอีนที่มากเกินไปอาจไปขัดขวางความสามารถในการดูดซึมธาตุเหล็ก ซึ่งนำไปสู่โรคโลหิตจางได้☕คุณแม่ไม่ควรบริโภคคาเฟอีนเกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน และหลีกเลี่ยงแหล่งอาหารที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนต่างๆ เช่น ช็อคโกแลต🍫 ชาดำหรือชาเขียว บาร์ให้พลังงาน, ของหวานรสกาแฟ, ไอศกรีม🍨, รวมถึงโยเกิร์ตก็ไม่ควรทานเกิน 200 มก.ต่อวันค่ะ🥛นมและน้ำผลไม้ที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นมพร่องมันเนย🥛 และชีส🧀 เป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพของการตั้งครรภ์ของคุณแม่ อย่างไรก็ตามนมที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากอาจมีลิสเทอเรียและเชื้อโรคอื่นๆ ควรตรวจสอบฉลากผลิตภัณฑ์ก่อนตัดสินใจซื้อเสมอนะคะ🐄🍷แอลกอฮอล์แอลกอฮอล์เป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณอย่างมากในระหว่างตั้งครรภ์ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะความความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ที่เข้าสู่กระแสเลือดของคุณก็จะเข้าสู่ลูกน้อยของคุณเช่นกัน😔 ส่งผลให้เกิดอาการแอลกอฮอล์ในครรภ์ (Fetal alcohol syndrome, FAS) ซึ่งอาจทำให้ใบหน้าผิดรูปและมีความบกพร่องทางสติปัญญา .☠️

Content Image

สัญญาณการดิ้นของทารกในครรภ์

การดิ้นของทารกเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นการบ่งบอกถึงสุขภาพของทารก ดังนั้นการบันทึกความเปลี่ยนแปลงก็เป็นวิธีที่ดีในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นต่อทารกในครรภ์ได้ โดยวันนี้เราจะพูดถึงเรื่องของสัญญาณการดิ้นของทารก รวมถึงการตรวจสุขภาพครรภ์ว่ามีอะไรกันบ้างค่ะ ไปดูพร้อมๆกันเลยค่ะ สัญญาณการดิ้น👶 การดิ้นหากลูกน้อยดิ้นน้องลงหรือไม่ดิ้นเลย อาจเป็นสัญญาณว่าลูกน้อยของคุณกำลังตกอยู่ในอันตราย😟🛑โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงเวลาใกล้กำหนดคลอด หากลูกน้อยดิ้นห่างออกไป หรือ หยุดดิ้น คุณแม่ควรควรรีบพบแพทย์ทันทีค่ะ👩‍⚕️ การที่ทารกดิ้นในครรภ์นั้นเป็นการเคลื่อนไหว🚼หรือการทำอากัปกิริยาต่างๆของทารกนั่นเองค่ะ คุณแม่จะสามารถรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของลูกในท้อง ซึ่งคุณแม่ควรคอยสังเกตถึงความผิดปกติเพื่อความปลอดภัยของทารกในครรภ์ของคุณแม่นะคะ 👶 อาการของคุณแม่ คุณแม่อาจเริ่มรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของลูกน้อยในครรภ์ในสัปดาห์ที่ 16-20 หรือเมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์นั่นเอง การขยับตัวของลูกน้อยนั่นจะมีการต่อย🚼 เตะ ม้วนตัว และ พลิกตัว ซึ่งบางท่านอาจจะรู้สึกเหมือนเส้นประสาทกระตุกเบาๆ โดยการดิ้นของทารกจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ📈 จนถึงสัปดาห์ที่ 32 และจะคงที่หลังจากนั้น การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้อีกในช่วงใกล้วันที่ครบกำหนดคลอด🤰ในช่วงอายุครรภ์ 1-3 เดือนทารกจะมีการขยับตัวเพียงเล็กน้อยและไม่บ่อย จนเมื่อเข้าสู่อายุครรภ์ 4-6 เดือน ก็จะมีการขยับตัวมากขึ้นโดยส่วนใหญ่จะสามารถรับรู้การเคลื่อนไหวได้ในช่วงนี้ และทารกอาจมีการขยับตัวถึง 30 ครั้งต่อชั่วโมง ในช่วงอายุครรภ์ 7-9 เดือน📈การตรวจสุขภาพของครรภ์และทารก👶  การตรวจอัลตราซาวด์ (Fetal Ultrasound) เป็นการใช้การส่งคลื่นเสียง🔉เพื่อให้สะท้อนกลับมาเป็นภาพนั่นเอง โดยจะสามารถเห็นการเคลื่อนไหวและท่าทางของเด็กในครรภ์ รวมถึงสามารถทราบถึงอัตราการเต้นของหัวใจอีกด้วย💓 👶 การตรวจสุขภาพทารกในครรภ์ (Nonstress Test) เป็นการตรวจอัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ วิธีการตรวจคือจะทาเจลบนแผ่นเหล็กขนาดเล็กแล้ววางลงบนท้องของคุณแม่🤰 จากนั้นจะขาดเข็มขัดเพื่อไม่ได้แผ่นเหล็กขยับนั่นเองค่ะ 👶 การตรวจวัดความเร็วของเลือดในหลอดเลือดทารกในครรภ์ (Fetal Doppler Velocimetry) วิธีนี้คล้ายกับวิธีการตรวจสุขภาพทารกแต่จะมีการใช้คลื่นเสียงร่วมด้วย🔉 โดยวิธีนี้จะสามารถตรวจอัตราการเต้นของหัวใจของทารก💓 รวมถึงสามารถตรวจการไหลเวียนของเลือดภายในรกและสายสะดือได้อีกด้วย

Content Image

ตั้งครรภ์แล้วทำไมถึงลมเยอะ เรอบ่อย ผายลมบ่อย?

คุณแม่หลายๆท่านที่กำลังกลุ้มใจว่าทำไมช่วงนี้ถึงชอบเรอบ่อย ตดบ่อย รู้สึกไม่สบายตัว ซึ่งเมื่อผายลมบ่อยๆ สามีก็จะแซวบ้าง ลุกหนีบ้าง จริงแล้วๆอาการเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่ตั้งครรภ์หรือเปล่าและจะมีวิธีรับมืออย่างไรบ้าง เราไปดูกันเลยค่ะ อะไรที่ทำให้คนท้องผายลมอยู่บ่อยๆ?เรามาทำความรู้จักกับร่างกายของคนท้องกันเถอะก่อนอื่นเลยเราต้องทำความเข้าใจว่าในร่างกายของผู้ที่ตั้งครรภ์เนี่ยมีระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่สูง จึงทำให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว และทำให้ไม่สามารถกลั้นการผายลม💨ได้ ซึ่งมดลูกของคุณแม่ที่ขยายใหญ่ขึ้นก็ไปเบียดกระเพาะอาหาร ทำให้ย่อยอาหารได้ไม่ดี จึงเป็นสาเหตุของการมีลมเยอะนั่นเองค่ะอาจเกิดจากอาหารต่างๆที่ทานเข้าไปอาหารบางอย่างมีความย่อยยาก หรือ เป็นตัวที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร เช่น ขนมปัง🍞 ข้าวโอ๊ต มันฝรั่ง ข้าวโพด นม ชีส หมากฝรั่ง หน่อไม้ฝรั่ง กะหล่ำปลี  ถั่วลิสง ถั่วดำ น้ำอัดลม น้ำหวานต่างๆ หรืออาจมีจากการกลืนอากาศเข้าไป เช่น จากการเคี้ยวหมากฝรั่ง ดื่มน้ำอัดลม ดื่มจากหลอด สูบบุหรี่ หรือกลืนน้ำลายบ่อยๆวิธีการลดการเรอและการผายลมการเรอหรือการผายลมบ่อยๆ เป็นเรื่องที่น่าอายสำหรับสาวๆ ยิ่งตั้งครรภ์แล้วยิ่งท้องอืด ลมเยอะ ยิ่งเรอบ่อย ซึ่งวันนี้เรามีวิธีลดอาการผายลมมาฝากกันแล้วค่ะพยายามเลือกทานอาหารที่สร้างแก๊สน้อยพยายามเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สเยอะๆ เช่น ถั่ว🥜 ข้าวโพด หัวหอม หน่อไม้ฝรั่ง หรือ นม ไอศกรีม น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ซึ่งจริงๆแล้วแต่ละคนก็ได้รับผลจากอากาศแต่ละชนิดต่างกัน และสำหรับบางคนทานเข้าไปอาจไม่เกิดแก๊สก็ได้ ดังนั้นให้พยายามสังเกตตนเองว่าเราสามารถทานอะไรและไม่สามารถทานอะไรบ้าง อาหารอันไหนที่ทำให้เราเรอ หรือผายลมเยอะก็ให้หลีกเลี่ยงไปค่ะ ไล่ลมโดยการยกขาในระหว่างที่ตั้งครรภ์หากรู้สึกว่ามีปริมาณแก๊ส💨 ในท้องเยอะ ให้ลองหาที่ยกขาขึ้น เพราะการยกขาจะทำให้ลดแรงกดของลูกน้อยในครรภ์ลง จึงทำให้สามารถย่อยอาหารได้ดีขึ้นนั่นเองค่ะ โดยขณะที่ยกขาขึ้นควรจะใส่เสื้อผ้าสบายๆ เพื่อไม่ให้ไปขัดขวางการย่อยอาหารนะคะ ลดปริมาณอาหารแต่เพิ่มจำนวนมื้ออาหารพยายามลดปริมาณอาหารที่ทานในแต่ละมื้อลง🍲 และเพิ่มความถี่ในการทานมากขึ้น เพื่อให้ร่างกายสามารถย่อยอาหารได้ง่ายขึ้น และช่วยลดแก๊สในกระเพาะอาหารค่ะอาการแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์?ทำไมจึงตดเหม็น? ปกติคนเราตดวันละกี่ครั้ง?โดยปกติแล้วคนเราจะตดหรือผายลมประมาณ 6-10 ครั้ง/วัน โดยการเรอหรือการผายลมมักจะเกิดขึ้นหลังการรับประทานอาหาร ซึ่งอาหารบางอย่างก็สามารถส่งผลให้เวลาผายลมมีกลิ่นเหม็นได้ เช่น อาหารที่มีแบคทีเรีย🦠ที่สร้างไฮโดรเจนซัลไฟด์ แก๊สมีเทน หรืออาหารที่มีสารซัลเฟอร์ อาการอย่างไรที่ควรไปหาหมอ?✨มีอาการท้องเสียบ่อยๆ✨มีอาการท้องผูกซ้ำๆ✨มีอาการปวดท้องเป็นเวลานาน✨มีอาการท้องอืดเป็นเวลานาน✨กลั้นอุจจาระไม่ได้ ✨อุจจาระมีเลือด✨น้ำหนักลดแบบไม่ทราบสาเหตุ✨มีอาการไข้สูง อาเจียน ปวดกล้ามเนื้อ หนาวสั่น ปวดข้อ 

Content Image

อาการปวดหัวช่วงการตั้งครรภ์

เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ บางท่านก็อาจพบว่าตนเองจู่ๆก็มีอาการปวดศีรษะตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งอาการปวดหัวก็อาจเกิดจากภาวะปวดไมเกรน หรืออาจจะเป็นสัญญาณเตือนของโรคภัยต่างๆ ที่อันตรายกว่านั้น เช่น ภาวะครรภ์เป็นพิษ ซึ่งในวันนี้เราจะไปทำความเข้าใจกับเจ้าอาการปวดหัวนี้ให้ละเอียดขึ้นกันดีกว่าค่ะ สาเหตุของอาการปวดหัว✨ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลงการเพิ่มขึ้นและความผันผวนของฮอร์โมนเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณแม่ปวดหัวได้🤕 โดยเฉพาะช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์🙁✨การยืนหรือนั่งในท่าที่ไม่เหมาะสมส่วนใหญ่จะเกิดในช่วงการตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 3 เมื่อครรภ์ของคุณแม่เริ่มใหญ่ขึ้นจะส่งผลให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ แบกรับน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้น และเมื่อคุณแม่มีท่าการนั่งหรือยืนที่ไม่เหมาะสมก็อาจส่งผลให้ปวดศีรษะได้ ซึ่งหากปวดศีรษะในช่วงนี้ควรรรีบพบแพทย์ทันทีเพราะอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเกิดจากภาวะความดันโลหิตสูงหรือครรภ์เป็นพิษนั่นเองค่ะ 🤕✨การอดนอนและสารอาหารการขาดการพักผ่อนอันเนื่องมาจากความเครียด ซึมเศร้า หรืออาจจะเป็นเจ้าอาการคัดจมูก👃ตอนกลางคืนที่ทำให้นอนไม่หลับ ส่งผลให้ปวดศีรษะในตอนเช้าได้ หรืออาจจะมาจากการที่ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เพราะรับประทานอาหารที่มีสารอาหารไม่ครบ🥣 ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้คุณแม่เกิดอาการปวดศีรษะได้เช่นกันค่ะ อาการปวดศีรษะขณะตั้งครรภ์ที่พบบ่อย✨ปวดหัวจากความตึงเครียดอาการปวดหัวจากความตึงเครียดเป็นอาการปวดศีรษะที่พบบ่อยที่สุดในช่วงไตรมาสแรก คุณแม่จะรู้สึกปวดอย่างต่อเนื่องที่บริเวณตา👁️ที่ศีรษะ🧠และที่หลังคอของคุณแม่ หากคุณแม่ปวดหัวบ่อยๆ ก็อาจจะเป็นผลเสียต่อการตั้งครรภ์ได้✨ปวดหัวไซนัสอาการปวดหัวไซนัสจะเกิดขึ้นเมื่อคุณแม่เป็นหวัดหรือติดเชื้อทางเดินหายใจ😷โดยคุณแม่อาจรู้สึกเหมือนมีแรงกดหรือปวดที่แก้ม รอบดวงตา และที่หน้าผาก🤯✨ปวดหัวไมเกรนการปวดไมเกรนเป็นการปวดที่พบมากที่สุดในช่วงการตั้งครรภ์ในไตรมาสแรก คุณแม่จะมีอาการปวดปานกลางถึงขั้นรุนแรง โดยทั่วไปแล้วจะมีอาการปวดศีรษะข้างใดข้างหนึ่ง โดยความเจ็บปวดจะลดลงในไม่ช้าเมื่อร่างกายของคุณแม่คุ้นเคยกับปริมาณฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 😃การป้องกันและรักษาไมเกรนระหว่างตั้งครรภ์✨เทคนิคการผ่อนคลายลองการทำสมาธิ หรือโยคะ🧘 เพื่อลดความเครียดและอาการปวดหัว หรืออาจจะลองฝึกทำสมาธิ หรืออาจปรึกษากับแพทย์เพื่อขอคำแนะนำได้นะคะ👩‍⚕️✨ดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันน้ำตาลในเลือดต่ำ ให้คุณแม่ลองทานอาหารมื้อเล็กๆ 🍲 บ่อยๆ ตลอดทั้งวัน ดื่มน้ำให้เพียงพอ จิบน้ำอย่างช้าๆ หากคุณแม่มีอาการคลื่นไส้จากไมเกรน✨การอาบน้ำอาบน้ำเย็นหรือล้างหน้าด้วยน้ำเย็น🚿 จะสามารถบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนได้ชั่วคราวและการอาบน้ำอุ่นสามารถบรรเทาอาการปวดศีรษะจากความตึงเครียดได้🛁✨นอนหลับพักผ่อนการนอนหลับพักผ่อนในห้องที่เงียบและมืดจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้😴 ง่ายๆแค่นี้เองคะ✨ออกกำลังกายการออกกำลังกายเบาๆ ระหว่างการตั้งครรภ์ สามารถลดความรุนแรงของไมเกรน และลดการกลับเป็นซ้ำของไมเกรนได้ แถมยังช่วยลดความเครียดที่อาจทำให้ปวดหัวตึงเครียดอีกด้วยคะ🏃‍♀️

👉 List บทความไตรมาสที่ 2

Content Image

โฟลิก สารอาหารที่สำคัญสำหรับคนท้อง

     คุณแม่ท้องมักจะได้ยินจากหมอให้อย่าลืมรับประทานโฟลิก จริงๆแล้วโฟลิกมีความสำคัญต่อคนท้องมากแค่ไหน เราไปหาคำตอบพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️โฟลิกคนท้อง คืออะไร?✨กรดโฟลิก (Folic Acid) ถือว่าเป็นสุดยอดอาหารที่สำคัญของคุณแม่ที่แพลนจะตั้งครรภ์ และคุณแม่ที่ตั้งครรภ์อยู่แล้ว🤰 เพราะโฟลิกมีความจำเป็นในการช่วยสร้างตัวอ่อน และเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยพัฒนาทารกในครรภ์ให้มีความสมบูรณ์ได้ นอกจากนี้การรับประทานกรดโฟลิกในช่วงตั้งครรภ์ อาจช่วยป้องกันลูกพิการแต่กำเนิด รวมทั้งความบกพร่องต่าง ๆ ของระบบประสาทที่ร้ายแรง เช่น กระดูกสันหลังบิดเบี้ยว🦴 ภาวะสมองเสื่อม🧠 และเยื่อหุ้มสมองเจริญนอกกะโหลก อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะผิดปกติต่าง ๆ ในการคลอดด้วย เช่น ครรภ์เป็นพิษ หรือภาวะคลอดก่อนกำหนด เป็นต้นปริมาณโฟลิกที่คนท้องควรได้รับต่อวัน👉ขั้นต่ำ 400 ไมโครกรัมทุกวันแม่ท้องทุกคนควรได้รับกรดโฟลิกอย่างน้อย 400 ไมโครกรัมทุกวัน โดยคุณแม่สามารถรับประทานวิตามินกรดโฟลิกเพื่อช่วยในการเพิ่มปริมาณกรดโฟลิกต่อวันได้ เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดความบกพร่องของระบบประสาทของลูกในครรภ์🤰 ดังนั้นการรับประทานโฟลิกอย่างสม่ำเสมอจึงถือเป็นเรื่องที่คุณแม่ไม่ควรมองข้ามแต่อย่างไรก็ตาม การได้รับกรดโฟลิกมากเกินไป ก็อาจเป็นอันตรายต่อคุณแม่ได้เช่นกัน👎 ไม่ว่าโฟลิกที่ได้รับจะมาจากอาหารที่คุณแม่รับประทาน หรือจากอาหารเสริม ผลข้างเคียงอาจทำให้เกิดภาวะย่อยสลายกรดโฟลิกในกระแสเลือดไม่ทัน จนทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพได้ ซึ่งอาจกระทบต่อทั้งแม่และทารกในครรภ์ หากคุณแม่ได้รับกรดโฟลิกมากเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาภาวะขาดวิตามินบี 12 และมีปัญหาสุขภาพจิตโฟลิกสามารถพบได้ในอาหารประเภทไหนบ้าง?อาหารที่คุณแม่ควรรับประทานในช่วงตั้งครรภ์ เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณกรดโฟลิกให้ได้ประมาณ 400 ไมโครกรัมต่อวัน มีดังนี้🥬ผักใบเขียวผักใบเขียว จัดเป็นอาหารชั้นดีที่อุดมไปด้วยโฟลิก เช่น ผักโขม กะหล่ำปลี หรือผักกาดเขียว 1 จานใหญ่ต่อวันก็จะช่วยเพิ่มกรดโฟลิกให้แก่ร่างกายได้อย่างเพียงพอสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์🥜พืชตระกูลถั่วพืชตระกูลถั่วอุดมไปด้วยกรดโฟลิก เช่น ถั่วแดง เมล็ดถั่ว ถั่วฝัก หรือถั่วเลนทิล ย่อมให้โฟลิกที่ดีแก่ร่างกายอย่างมาก ยกตัวอย่าง เช่น คุณแม่รับประทานถั่วแดง 1 ถ้วย จะให้โฟลิก 131 ไมโครกรัม ดังนั้นคุณแม่จึงควรเลือกรับประทานให้เหมาะสม และพอดี🥦บร็อคโคลี่บร็อคโคลี่ 1 ถ้วย ทำให้ร่างกายได้รับกรดโฟลิกมากถึง 26% ของจำนวนกรดโฟลิกที่ร่างกายต้องการต่อวัน คุณแม่สามารถรับประทานบร็อคโคลี่ได้โดวยการนำไปลวกให้สุก แล้วทานคู่กับน้ำสลัด🥗 ก็จะช่วยเพิ่มกรดโฟลิกได้ดีกว่าการนำบร็อคโคลี่ไปผัดหรือทอดค่ะ🍇ผลไม้รสเปรี้ยวผลไม้รสเปรี้ยวนั้นถือว่ามีกรดโฟลิกสูงเป็นพิเศษ โดยเฉพาะส้ม🍊 ที่มีกรดโฟลิกสูงถึง 50 กรัม นอกจากนี้องุ่น กล้วย มะละกอ และสตรอว์เบอร์รีก็ให้กรดโฟลิกที่สูงอีกเช่นกัน ถือว่าเป็นการเพิ่มกรดโฟลิกให้ร่างกายคุณแม่ได้ง่ายๆเพียงทานผลไม้🥚ไข่ไข่ 1 ฟองจะให้โฟลิกมากถึง 22 กรัมต่อวัน ไม่ว่าจะเป็น ไข่ไก่ หรือไข่เป็ด ก็ถือว่าเป็นอาหารที่หาทานได้ง่าย มีราคาถูก และยังอุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุมากมาย อีกทั้งยังให้โปรตีน ซีลีเนียม ไรโบฟลาวิน และวิตามินบี 12 นอกจากในไข่ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงของการผิดปกติของดวงตา👁️อีกเช่นกัน     สรุปได้ว่าโฟลิกถือว่าเป็นสารอาหารที่สำคัญสำหรับคนท้องเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากโฟลิกจะช่วยพัฒนาระบบประสาท🧠ของลูกน้อยในครรภ์แล้ว ยังช่วยให้คุณแม่คลอดบุตรได้ง่ายอีกด้วย ดังนั้นคุณแม่ควรรับประทานโฟลิกในปริมาณที่พอดีต่อวัน เพราะถ้าหากรับประทานมากจนเกินไป ก็อาจส่งผลเสียต่างๆต่อทารกในครรภ์และสุขภาพจิตของคุณแม่ด้วยเช่นกัน 

Content Image

คุณแม่แว็กซ์ขนขณะตั้งครรภ์ได้ไหม

     คนท้องแว็กซ์ขนได้ไหม? มักเป็นคำถามที่พบได้บ่อยในคุณแม่มือใหม่ที่กำลังตั้งครรภ์🤰 เนื่องจากในช่วงตั้งครรภ์นั้นสภาพผิวของคุณแม่จะมีความเซนซิทีฟสูงและระคายเคืองได้ง่ายกว่าปกติ และด้วยระบบฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน ทำให้คุณแม่หลายๆท่านมีขนขึ้นเยอะผิดปกติ เป็นสาเหตุให้คุณแม่รู้สึกไม่มั่นใจ จึงมองหาวิธีกำจัดขนที่ง่ายที่สุด คือการแว็กซ์ขน วันนี้ทางเราได้รวบรวมข้อมูลที่คุณแม่ควรศึกษาก่อนแว็กซ์ขนในช่วงตั้งครรภ์ข้อควรระวังในการแว๊กซ์ขนขณะตั้งครรภ์เลี่ยงการแว็กซ์ขนก่อนกำหนดคลอดคุณแม่ควรเลี่ยงการทำบิกินี่แว็กซ์ 👙 หรือบราซิลเลี่ยนด้วยในช่วงเดือนสุดท้ายก่อนกำหนดคลอด เพราะว่าเป็นช่วงที่ผิวคุณแม่เสี่ยงต่อการระคายเคืองมากและเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บในระหว่างการทำคลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคุณแม่ที่จะคลอดวิธีธรรมชาติความสะอาดของอุปกรณ์ที่ใช้ในการแว๊กซ์ขนคุณแม่ควรเลือกใช้บริการกับร้านแว็กซ์ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ช่างมีประสบการณ์ รวมไปถึงควรเลือกร้านที่ อุปกรณ์และเครื่องมือในการให้บริการ เช่น ผ้าแว็กซ์ขน ไม้พาย น้ำมันเช็ดแว็กซ์ ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ 🦠 ด้วยแอลกอฮอล์และอบด้วยเครื่อง UV Sterilizer ทุกครั้งก่อนที่คุณแม่จะเข้ารับบริการข้อดีของการใช้วิธีแว็กซ์ในการกำจัดขนปลอดภัยต่อผิวที่บอบบางในช่วงตั้งครรภ์คุณแม่ควรเลือกใช้แว็กซ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น แว็กซ์จากน้ำผึ้งแท้ 🍯 โดยเลือกเป็นแว็กซ์น้ำผึ้งออร์แกนิค เพราะแว็กซ์น้ำผึ้งนั้นปลอดภัยและไม่ระคายเคืองต่อผิวคุณแม่อย่างแน่นอน เนื่องจากปราศจากส่วนผสมจากสารสังเคราะห์และสารเคมีอันตรายซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผิวลดโอกาสในการเกิดการคะคายเคืองและขนคุดการกำจัดขนด้วยการโกนขน 🪒 มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดแผลมากกว่าการแว็กซ์ขน เนื่องจากใบมีดไปเสียดสีกับผิว ทำให้เกิดอาการคันและเกิดขนคุดขึ้นในที่สุด ดังนั้นการใช้แว็กซ์จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมมากกว่าสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีผิวบอบบางและระคายเคืองได้ง่ายกว่าผู้หญิงปกติบริเวณสำคัญที่ควรระวังก่อนทำการแว็กซ์ขนแว็กซ์ขนบริเวณเส้นกลางหน้าท้อง (Linea Alba)ในช่วงเดือนที่สี่ของการตั้งครรภ์ คุณแม่จะสังเกตเห็นว่าเส้นกลางหน้าท้องที่อยู่บริเวณหัวหน่าวถึงเหนือสะดือนั้นจะมีสีเข้มและมีขนขึ้นตามมา ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนขณะตั้งครรภ์ 🤰 ไม่แนะนำให้ทำการแว็กซ์ขนที่บริเวณนี้ เพราะเป็นบริเวณที่ผิวบอบบางและจะเริ่มกลับมาเป็นปกติหลังจากคลอดแว็กซ์ขนบริเวณหัวหน่าว (Pubic hair)โดยปกติวิสัญญีแพทย์ 👨‍⚕️ จะไม่แนะนำให้คุณแม่กำจัดขนบริเวณหัวหน่าวออกไปด้วยวิธีแว็กซ์ เพราะก่อนการผ่าคลอดนั้นผู้ช่วยแพทย์จะนิยมทำการโกนขนบริเวณหัวหนาวให้คุณแม่ เพราะวิธีนี้ช่วยให้แพทย์ควบคุมฝีเย็บได้และสะดวกต่อการเย็บในกรณีที่มีแผลฉีกขาดบริเวณฝีเย็บจากการคลอด     การกำจัดขนด้วยการแว็กซ์ถือเป็นวิธีหนึ่งที่ค่อนข้างปลอดภัยและลดความเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผล ตุ่มคัน ต่อคุณแม่ในช่วงตั้งครรภ์ที่มีผิวบอบบางและระคายเคืองง่ายมากกว่าปกติ อีกทั้งยังปลอดภัยและลดการบาดเจ็บจากการโกนขนด้วยมีดโกนทั่วไป คุณแม่ควรคัดสรรและคำนึงถึงคุณภาพของแว็กซ์ที่เลือกใช้ในการกำจัดขน ควรเป็นแว็กซ์ที่ปราศจากน้ำหอม สารแต่งกลิ่น รวมไปถึงเป็นแว็กซ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน เพื่อช่วยการันตีว่าแว็กซ์นั้นปลอดภัยต่อคุณแม่จริงๆ

Content Image

แม่ท้องเป็นวัณโรค ลูกในท้องจะติดเชื้อด้วยไหม

     แม่ท้องที่เป็นวัณโรคอาจจะมีความกังวลว่าเชื้อนี้จะส่งต่อไปถึงทารกในครรภ์👶ได้ไหม และถ้าหากว่าลูกติดเชื้อแล้วจะเป็นอันตรายหรือไม่ บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวัณโรค ทั้งอาการของวัณโรคและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับทารกที่ติดเชื้อวัณโรคมาให้คุณแม่ทราบกันค่ะ💁‍♀️วัณโรค คืออะไร✨วัณโรค (Tuberculosis : TB) จัดว่าเป็นโรคติดต่อทางการหายใจ😮‍💨 สามารถแพร่เชื้อจากละอองเสมหะขนาดเล็กผ่านทางการ ไอ จาม🤧 หรือพูด วัณโรคจะส่งผลกระทบต่อปอด🫁เป็นหลัก ถือว่าเป็นปัญหาสุขภาพที่ค่อนข้างมีความร้ายแรงต่อคุณแม่ตั้งครรภ์ เชื้อวัณโรคถือว่าเป็นเชื้อที่สามารถส่งต่อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ได้ เพราะฉะนั้นถ้าหากคุณแม่เป็นวัณโรคแล้ว อาจจะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆที่ตามมาได้ เช่น การคลอดก่อนกำหนดของทารก วิธีรับมือกับเชื้อวัณโรคสู่แม่และทารก👉กรณีที่แม่ติดเชื้อวัณโรคแต่ทารกไม่ติดเชื้อคุณแม่ควรเข้ารับการรักษาการติดเชื้อเป็นระยะเวลา 3-4 เดือน คุณแม่ควรสวมใส่หน้ากากอนามัย😷อยู่เสมอจนกว่าจะพ้นระยะเวลาการแพร่เชื้อ โดยช่วงนี้ไม่จำเป็นต้องแยกห้องรักษาของแม่กับทารกออกจากัน👉กรณีที่แม่ติดเชื้อและทารกได้รับผลการตรวจเป็นผลบวกในเคสนี้จะไม่พบอาการอื่นๆแฝง คุณแม่สามารถเข้ารับการรักษา🩺วัณโรคได้ตามปกติ ส่วนทารกก็ควรได้รับการรักษาจากอาการติดเชื้อแฝงด้วยเช่นกัน โดยที่ไม่มีความจำเป็นจะต้องแยกห้องรักษาของแม่กับทารกเหมือนกันค่ะ👉กรณีที่ทั้งแม่และทารกติดเชื้อวัณโรคระยะแสดงอาการแพทย์จะทำการรักษาให้ทั้งคุณแม่และทารกแรกคลอด👶ที่ติดเชื้อวัณโรคในระยะแสดงอาการ โดยที่คุณแม่ควรสวมใส่อีกทั้งควรหน้ากากอนามัยเสมอระหว่างระยะเวลาการรักษา และไม่จำเป็นต้องแยกห้องรักษากับทารกค่ะวัณโรครักษาได้อย่างไร?💊รักษาได้ด้วยการใช้ยาร่วมกันแค่จะทำการรักษาโดยการให้ยาร่วมกันหลายๆชนิด ขึ้นอยู่กับอาการของคุณแม่🤰 เช่น ยาไรแฟมพิซินไป ไอโซไนอาซิด ไพราซินาไมด์ และอีแทมบูทอล 💊รักษาเชื้อวัณโรคแฝง (LTBI)เชื้อวัณโรคแฝงคือภาวะที่คุณแม่ติดเชื้อ🦠 Mycobacterium tuberculosis แต่ไม่มีการแสดงออกของอาการวัณโรค แพทย์จะทำการรักษาเชื้อ LTBI เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดโรควัณโรคในอนาคต ซึ่งการรักษาเชื้อ LTBI จะใช้ยาบางชนิดร่วมกัน เช่น ยาไอโซไนอาซิด และยาไรแฟมพิน ซึ่งเป็นตัวยาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยต่อคุณแม่ตั้งครรภ์ค่ะ     เชื้อวัณโรคจัดเป็นเชื้อที่ส่งผลร้ายแรงต่อทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์ คุณแม่ควรอยู่ให้ห่างจากพื้นที่ที่มีการระบาดของเชื้อวัณโรคและป้องกันตัวเองโดยการสวมใส่หน้ากากอนามัย😷ทุกครั้งที่ออกจากบ้าน และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อวัณโรค อีกทั้งคุณแม่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ👩‍⚕️เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองและทารกในครรภ์เป็นระยะๆ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ลูกน้อยติดเชื้อไปด้วยค่ะ

Content Image

ท้องแล้วฉีดน้ำหอมอยู่ระวัง! อันตรายกับลูกในครรภ์

น้ำหอมหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่หลายๆคนใช้ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจและเสน่ห์ให้กับเรา แต่เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์แล้วจะสามารถใช้น้ำหอมต่อไปได้หรือไม่ จะมีผลกระทบอะไรต่อทารกในครรภ์หรือเปล่า เราไปดูกันเลยค่ะท้องแล้วยังสามารถใช้น้ำหอมได้ไหม?หลีกเลี่ยงน้ำหอม?จากงานวิจัยพบว่าคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ควรหลีกเลี่ยงน้ำหอม เทียนหอม สเปร์หอม ไมโครเวฟ รวมถึงการใช้พลาสติก👃หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ผสมน้ำหอมไม่เพียงเท่านั้นคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงน้ำหอมที่ถูกผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น สบู่🧼 ผงซักฟอง น้ำยาซักผ้า ของใช้ในครัวเรือนและของใช้ต่างๆงานวิจัยบ่งบอกว่าอย่างไร?งานวิจัยจาก University Of Illinois พบว่าสารเคมีที่อยู่ในน้ำหอมนั้นมีผลต่อการพัฒนาสมอง🧠 โดยได้ทำการทดลองในหนูที่ตั้งครรภ์ และพบว่าหนูที่ใช้ชีวิตอยู่กับน้ำหอมและพลาสติกนั้น ลูกหนูที่เกิดมามีระดับปัญญาที่แย่กว่าโดยการทดลองยังสรุปได้ว่าแม้ว่าแม่หนู🐁จะไม่ได้รับผลกระทบแต่ลูกหนูนั้นได้รับผลกระทบโดยตรง ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงน้ำหอม สเปรย์ต่างๆ และพลาสติกนั่นเองค่ะหลังคลอดล่ะ ใช้น้ำหอมได้ไหม?หลังจากที่คุณแม่คลอดลูกแล้วก็ยังไม่ควรใช้น้ำหอมเพราะผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำหอม โคโลญจน์ สเปรย์ฉีดตัวหลายๆตัวมีส่วนผสมของสารเคมีที่สามารถเป็นอันตรายต่อสุขภาพของลูกน้อยได้ โดยหายลูกยังอ่อน👶อยู่ก็จะมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับสารเคมีที่เป็นอันตรายจากน้ำหอมเหล่านี้โดยการศึกษาของสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในปี 1991 พบว่าสารเคมี 95% ในน้ำหอมเป็นสารประกอบที่ทำมาจากปิโตเลียม รวมถึง Greenpeace ยังพบว่าแบรนด์น้ำหอมชื่อดังกว่า 36 แบรนด์ มีส่วนประกอบของสารเคมีที่สามารถก่อให้เกิดอันตรายได้ อย่างพาทาเลต และ มัสค์สังเคราะห์ ซึ่งสารเคมีสองตัวนี้สามารถมีผลกระทบต่อกระแสเลือด🩸ในสมอง🧠  รวมถึงยังทำให้เกิดอาการปวดไมเกรนได้สุดท้ายนี้สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมยังพบว่าสารเคมี Linalool ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในน้ำหอมสามารถกระทบต่อระบบหายใจและยังก่อให้เกิดอาการง่วงและซึมเศร้าได้อีกด้วย😴 (ขอบคุณข้อมูลจาก Anna O'rourke,her)ทราบอย่างนี้แล้วหากเป็นไปได้ก็ควรเลี่ยงการฉีดน้ำหอมกันไปก่อนเพื่อพัฒนาการและสุขภาพที่แข็งแรงของลูกน้อยนะคะ

Content Image

เคล็ดลับฝึกให้ลูกพูดสองภาษาตั้งแต่เด็ก

ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวไกลทำให้เรามีโอกาสได้พูดคุยจากคนต่างชาติได้ง่ายขึ้น รวมถึงเมื่อทำงานก็มีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร ดังนั้นการสอนให้ลูกพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษาก็จะทำให้ลูกได้เปรียบ ซึ่งเราจะมีวิธีสอนลูกอย่างไรให้ลูกสามารถพูดสองภาษาได้อย่างเป็นธรรมชาติและเรียนรู้อย่างรวดเร็ว เราไปดูกันเลยค่ะ กลยุทธ์การสอนภาษาที่สองให้ลูกควรจะสอนลูกพูดภาษาที่สองตั้งแต่เมื่อไหร่ดี?คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนให้ลูกพูดภาษาที่สอง🔤ได้ตั้งแต่ลูกยังอยู่ในครรภ์ได้เลยค่ะ โดยอาจอ่านนิทาน หรือ เปิดเพลงให้ฟังโดยใช้ภาษาที่สองก็จะทำให้ลูกทำความคุ้นเคยและเริ่มรับรู้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เพราะหากคุณแม่พูดกับลูกในครรภ์🤰บ่อยๆ ลูกก็จะเกิดการเรียนรู้และมีความคุ้นเคยกับมันค่ะ หลังคลอด คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถสอนต่อได้เลยจนลูกอายุ 7 ขวบ เพราะหลังจากนั้นลูกจะมีความคิดเป็นของตนเองและอาจต่อต้าน หรือ อาจรู้สึกสับสน รวมถึงยังเป็นวัยที่เข้าเรียนและได้รับการเรียนจากโรงเรียน🏫แล้วด้วยค่ะ คุณพ่อคุณแม่คือกุญแจสำคัญเทคนิคที่ดีที่สุดในการสอนลูกพูดสองภาษาคือตัวคุณพ่อ👨และคุณแม่👩เองค่ะ เพราะหากคุณพ่อคุณแม่พูดภาษาที่สองกับลูกในชีวิตประจำวันทุกๆวันๆ ทำให้เป็นเรื่องปกติลูกก็จะสามารถพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นอีกหนึ่งภาษา🔤ที่ใช้ในทุกๆวัน โดยเวลาคุยกับลูกก็ไม่ควรแปลให้ลูก ให้เริ่มพูดคำง่ายๆก่อนเช่น Dog, Go, Yes, No แล้วค่อยพูดยาวๆเป็นประโยคก็จะทำให้ลูกค่อยๆเข้าใจเองค่ะ วิธีทำให้ลูกจดจำได้ง่ายขึ้นเปิดการ์ตูนให้ลูกดู📺คุณพ่อคุณแม่สามารถเปิดการ์ตูนที่เป็นภาษาที่สองให้ลูกฟัง เพื่อให้ลูกซึมซึบสำเนียงและการออกเสียงที่ถูกต้อง อาจเปิดเพลงที่เป็นภาษาที่สอง หรือ อ่านนิทานภาษาที่สองให้ลูกฟัง เมื่อลูกได้ฟังบ่อยๆก็จะทำให้ลูกจดจำคำศัพท์ต่างๆได้ดีขึ้นค่ะ โปสเตอร์ภาษา หนัง หนังสืออ่าน📖ก็เป็นอีกตัวช่วยที่เป็นประโยชน์เมื่อสอนภาษาที่สองให้เจ้าตัวเล็ก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถสอดแทรกภาษาที่สองผ่านกิจกรรมต่างๆได้ โดยไม่ควรทำให้เป็นเรื่องที่จริงจังเพราะลูกจะเกิดการต่อต้านและจะไม่อยากเรียนรู้ค่ะ ทำกิจกรรมอื่นพร้อมกับสอนภาษาไปด้วยเมื่อทำกิจกรรมพร้อมๆกับการเรียนรู้ภาษา🔤จะทำให้เด็กเรียนรู้และจดจำได้มากกว่า ดังนั้น เมื่อคุณพ่อคุณแม่พาลูกน้อยออกไปข้างนอกลองชวนลูกพูดคุยและลองบอกคำศัพท์ต่างๆ เมื่อพบสิ่งของหรือสิ่งมีชีวิตต่างๆระหว่างทาง หรืออาจเปิดเพลง🎶ภาษาที่สองให้ลูกเต้นตามจังหวะเพลงไปด้วย หรือจะชวนลูกดูหนังที่เป็นภาษาอังกฤษโดยไม่มีซับ เพื่อให้ลูกได้ดูและฟังการกระทำของตัวละคร และจับความหมายของคำพูดนั้นๆอยากให้พูดเก่งต้องให้ลูกคิดเป็นภาษาอังกฤษวิธีทำให้ลูกคิดเป็นภาษาที่สองเทคนิคสำคัญที่ทำให้ลูกเก่งพูดสองภาษาคือการฝึกให้ลูกคิดเป็นภาษาอังกฤษ🔤แล้วสื่อสารออกมาได้ทันทีโดยไม่ต้องแปลกลับจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ โดยพยายามสื่อสารกับลูกด้วยภาษาอังกฤษแบบไม่ต้องแปลความหมายให้ฟัง แม้ว่าในช่วงแรกของการพูดลูกอาจจะไม่เข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่พูดถึงอะไร คุณพ่อ👨คุณแม่👩สามารถบอกใบ้โดยการชี้หรือทำท่าทางประกอบเพื่อให้ลูกเข้าใจ แทนการแปลหรือบอกให้ลูกฟังแล้วลูกจะเข้าใจได้เองค่ะ ใช้ความอดทนการจะฝึกให้ลูกพูดภาษาที่สองนั้น คุณพ่อคุณแม่จะต้องใช้ความอดทน และรอให้ลูกเรียนรู้ คอยพูดคุยกับลูกเป็นภาษาที่สอง และชมเชยเมื่อลูกทำสำเร็จลูกก็จะมีกำลังใจในการพูดและเรียนรู้เองค่ะ 

Content Image

การหัวเราะคือยาวิเศษ

เคยสงสัยไหมคะว่าคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่แล้วหัวเราะแรงจนทำให้ต้องเกร็งหน้าท้องนานนั้นเป็นอันตรายต่อลูกในท้องหรือเปล่า ซึ่งวันนี้เราได้นำคำตอบมาฝากคุณพ่อคุณแม่กันแล้วค่ะ จะเป็นอย่างไรบ้างนั้นเราไปดูกันเลยค่ะ  หัวเราะแรงๆแล้วเป็นอันตรายกับทารกในครรภ์ไหม?หัวเราะแรงๆ ลูกจะเป็นอันตรายไหม?หลายๆคนอาจกังวลว่าการเผลอหัวเราะแรงๆ หรือ หัวเราะหนักๆ จะทำให้เกิดอันตรายกับทารกในครรภ์ไหม ซึ่งคำตอบก็คือ ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เพราะไม่ได้เป็นอันตรายค่ะ การที่คุณแม่หัวเราะออกมาจำทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความสุข💗 และทำให้คุณแม่อารมณ์ดีนั่นเองค่ะแล้วการหัวเราะแรงๆ จะทำให้ลูกมีโอกาสคลอดก่อนกำหนดมากขึ้นไหม?โอกาสที่คุณแม่จะหัวเราะเกร็งหน้าท้องนานๆ แล้วเกิดการคลอดลูกก่อนกำหนด🏥นั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก แถมยังตรงกันข้ามคือ การหัวเราะช่วยลดความเสี่ยงในการคลอดลูกก่อนกำหนดอีกด้วยนะคะ ดังนั้นไม่ต้องกังวลไปค่ะทารกในครรภ์จะรู้สึกอย่างไรเมื่อคุณแม่หัวเราะเสียงดังเคยสงสัยไหมคะว่าเวลาที่หัวเราะเสียงดังแล้วลูกในครรภ์จะรู้สึกอย่างไร เวลาหัวเราะหน้าท้องของคุณแม่จะจมีการเคลื่อนไหว ซึ่งการเคลื่อนไหวเหล่านี้ก็จะไปกระตุ้นให้ทารกในครรภ์เคลื่อนไหวด้วยซึ่งการหัวเราะ😃ของคุณแม่ก็จะทำให้ลูกมีความสุขไปด้วย และในทางกลับกัน หากคุณแม่รู้สึกเศร้าลูกก็จะรู้สึกเศร้าไปด้วยคุณแม่หัวเราะบ่อยๆ ดีต่อทารกในครรภ์อย่างไรช่วยพัฒนาการของทารกในครรภ์คุณแม่สามารถลองดูว่าลูกน้อยมีปฎิกิริยาอย่างไรผ่านการอัลตร้าซาวด์ ดูกันแบบเรียวไทม์ไปเลยว่าลูกมีการดื้นหรือไม่ ซึ่งเรามักจะพบว่าทารก👶จะตื่นตัวเมื่อคุณแม่หัวเราะมีความสุข  ลดภาวะการเกิดโรคซึมเศร้า😥บางครั้งการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในช่วงที่ตั้งครรภ์ก็อาจทำให้คุณแม่หดหู่และเกิดโรคซึมเศร้าโดยไม่รู้ตัว ซึ่งคุณแม่ควรหัวเราะและควรทำให้ตัวเองสนุกสนานเพื่อไม่ให้เกิดความเครียด โดยหากยังไม่หายซึมเศร้าให้ปรึกษาคุณหมอ เพื่อให้รักษาได้อย่างถูกทางค่ะ การหัวเราะยังมีประโยชน์อื่นๆอีกเช่นช่วยลดอาการปวดคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ส่วนใหญ่จะมีความรู้สึกปวดตามตัว ไม่ว่าจะเป็นการปวดหลัง ปวดขา🦵 ปวดหัว หรือแม้แต่การเวียนหัว คลื่นไส้แพ้ท้องต่างๆ ซึ่งการที่คุณแม่ได้หัวเราะออกมาร่างกายจะผลิตสารความสุข ที่ทำหน้าที่เหมือนย้าแก้ปวด จึงเป็นการบรรเทาอาการเจ็บปวดเหล่านั้นลงได้นั่นเองค่ะ ช่วยลดอาการความดันโลหิตสูงคุณแม่ตั้งครรภ์อาจเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษได้จากการมีความดันโลหิตสูง🩸 หรืออาจเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆได้ ดังนั้นให้พยายามคลายเครียด หาอะไรสนุกๆทำให้ตนเองหัวเราะบ่อยๆ ก็จะทำให้ช่วยลดระดับของความดันโลหิตลงมาได้ค่ะ ส่งเสริมระบบประสาทของทารกในครรภ์แม้ว่าทารกจะได้รับการพัฒนาการทางสมองที่ดีจากการทานอาหารที่มีประโยชน์ แต่การหัวเราะก็สามารถกระตุ้นเซลล์สมอง🧠และความฉลาดทางอารมณ์ของทารกได้ เพราะการหัวเราะสามารถช่วยกระตุ้นระบบประสาทของลูกน้อยได้นั่นเองค่ะ  เราจะเห็นได้ว่าการหัวเราะเป็นเรื่องที่มีแต่ประโยชน์ ดังนั้นคุณแม่ก็อย่าลืมหัวเราะบ่อยๆ เพื่อตัวคุณแม่เองและเพื่อเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในท้องนะคะ

Content Image

คนท้องเป็นกรดไหลย้อน อาการที่ไม่ควรมองข้าม

     หนึ่งในปัญหาที่มักเกิดขึ้นกับคนท้องบ่อย ๆ คืออาการกรดไหลย้อนในคนท้องค่ะ ซึ่งคุณแม่บางคนเป็นบ่อยมากจนรู้สึกรำคาญ รู้สึกไม่สบายตัว จะลุก จะนั่ง จะทำอะไรก็พาลแต่จะพะอืดพะอมอยู่ตลอดเวลา🤢 วันนี้ทางเราจึงได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกรดไหลย้อนในคนท้องมาให้คุณแม่ทราบ มาดูพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️ สาเหตุที่ทำให้คนท้องเป็นกรดไหลย้อน👉ความผิดปกติของหูรูดที่บริเวณหลอดอาหารหรือความดันของหูรูดต่ำกรดไหลย้อนก็คือภาวะที่น้ำกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นมายังหลอดอาหาร ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของหูรูดที่บริเวณหลอดอาหารหรือความดันของหูรูดต่ำ จึงทำให้ไม่สามารถป้องกันการไหลย้อนกลับของกรดในกระเพาะอาหารได้ มากไปกว่านั้น ยังอาจเกิดจากการบีบตัวของหลอดอาหารและกระเพาะอาหารที่ผิดปกติ ทำให้ย่อยอาหารได้ช้า และอาหารเกิดการคั่งค้างจนไหลย้อนกลับมายังหลอดอาหาร🤢สำหรับคนท้อง🤰นั้นจะมีสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนในร่างกายเข้ามาร่วมด้วย เนื่องจากขณะตั้งครรภ์ระดับฮอร์โมนในร่างกายของคนท้องจะมีการเปลี่ยนแปลง ก็จะส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อในระบบทางเดินอาหาร อาจทำให้กล้ามเนื้อในระบบทางเดินอาหารทำงานผิดปกติ ไม่สามารถป้องกันการไหลย้อนกลับของอาหารและกรดในกระเพาะอาหารได้ จึงทำให้คนท้องมีโอกาสเป็นกรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้นค่ะอาการที่บ่งบอกว่าคุณแม่เป็นกรดไหลย้อนอาการอาจจะแตกต่างกันในเรื่องของระดับความรุนแรงว่าเป็นมาก หรือน้อย หรือเป็นบ่อยแค่ไหน แต่โดยทั่วไปแล้วก็จะมีอาการที่คล้าย ๆ กัน ดังนี้     • รู้สึกแสบร้อนที่บริเวณกลางอก     • จุกเสียดหรือเจ็บที่หน้าอกหลังรับประทานอาหาร     • รู้สึกอึดอัด หนัก และแน่นท้อง      • ท้องอืด ท้องเฟ้อ     • มีอาการเรอ หรือเรอเหม็นเปรี้ยว😮‍💨     • มีรสเปรี้ยวหรือขมในปาก🥴     • ไอหรือเจ็บคอ👉วิธีแก้หรดไหลย้อนสำหรับคนท้องคุณแม่ที่มีอาการกรดไหลย้อนขณะตั้งครรภ์ อย่าเพิ่งกังวลใจว่าจะรักษาไม่หาย เพราะอาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดไป และอาการกรดไหลย้อนคนท้องรักษาให้ดีขึ้นได้ เพียงแค่ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันเล็ก ๆ น้อย ๆโดยวิธีแก้กรดไหลย้อนในคนท้องที่คุณแม่สามารถทำได้ง่าย ๆ มีดังนี้     • พยายามกินอาหารหลาย ๆ มื้อ แบ่งเป็นมื้อเล็ก ๆ🍽️ แทนที่จะกินอาหารแค่เพียง 3 มื้อใหญ่ การแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อเล็ก ๆ ก็จะช่วยให้สามารถย่อยอาหารได้ดีกว่าการกินอาหารมื้อใหญ่ทีเดียว     • กินช้า ๆ เคี้ยวให้ละเอียด😋 เพราะถ้าคุณแม่เคี้ยวไม่ละเอียด และอาหารที่กินเข้าไปยังมีชิ้นใหญ่อยู่ ก็จะทำให้ใช้เวลาในการย่อยนานขึ้น และทำให้รู้สึกอึดอัดท้อง     • หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ทั้งเผ็ดจัด🌶️ เปรี้ยวจัด ของหมักดองทั้งหลาย ของทอดทั้งหลายทั้งปวง และแอลกอฮอล์ อาหารเหล่านี้กระตุ้นให้เกิดแก๊สในระบบทางเดินอาหารได้ง่าย ทั้งยังส่งผลให้กล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารคลายตัว ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงของอาการเสียดท้องได้ง่าย     • ไม่กินข้าวคำ น้ำคำ💧 เพราะถ้าดื่มน้ำในระหว่างกินอาหารไปด้วย จะยิ่งทำให้มีของเหลวในกระเพาะอาหารมากขึ้น เสี่ยงที่กรดในกระเพาะอาหารและอาหารจะไหลย้อนกลับมายังหลอดอาหารง่ายขึ้น     • ไม่นอน😴ทันทีหลังจากที่กินอาหารเสร็จ เพราะเสี่ยงจะทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้น เนื่องจากกรดในกระเพาะอาหารยังทำหน้าที่ในการย่อยอาหารอยู่ ถ้ากินปุ๊บนอนปั๊บ อาจทำให้น้ำกรดที่กำลังย่อยอาหารอยู่ไหลย้อนกลับมากัดเซาะเนื้อเยื่อที่หลอดอาหาร และก่อให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอกได้ง่ายขึ้น     • เคี้ยวหมากฝรั่งที่ไม่มีน้ำตาลหลังอาหาร เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำลายให้มากขึ้นในขณะที่เคี้ยวหมากฝรั่ง ปริมาณน้ำลายที่เพิ่มขึ้นอาจช่วยเพิ่มความเป็นกลางของกรดที่ไหลย้อนขึ้นมายังหลอดอาหาร     • หากจะเอนหลัง หลังจากที่กินอาหาร ควรจัดหมอนให้สูงขึ้นกว่าปลายเท้า🦶 หรือจะวางหมอนเสริมที่ใต้บ่าด้วยก็ได้ เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับมายังหลอดอาหารได้ง่ายขึ้น     ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วอาการกรดไหลย้อนมักไม่ได้รุนแรงจนถึงกับต้องไปพบแพทย์👨‍⚕️ เพราะส่วนมากมักจะดีขึ้นได้หากปรับพฤติกรรมการกินวิธีที่ดีที่สุดในการใช้ยาลดกรดไหลย้อน แต่อย่างไรก็ตาม หากอาการของคุณแม่แย่ลง คุณแม่ควรขอแนะนำให้คุณแม่ปรึกษากับแพทย์โดยตรงค่ะ เพื่อความปลอดภัยของการตั้งครรภ์ไม่ควรซื้อยามากินเองนะคะ

Content Image

วิธีอ่านผลอัลตราซาวด์

     เมื่ออยู่ในช่วงตั้งครรภ์🤰 สิ่งที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงและการเจริญเติบโตของลูกน้อย👶ในครรภ์ตั้งแต่เริ่มรู้ว่าท้อง จนคลอด ก็คือวิธีการอัลตราซาวด์นี่แหละค่ะ ที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ได้เห็นลูกน้อยแบบใกล้ชิดและเห็นภาพที่สุด แต่บางครั้งเมื่อแพทย์ให้ผลการตรวจอัลตราซาวด์มา คุณพ่อคุณแม่ก็ถึงกับงง เพราะมันมีคำศัพท์ที่ชวนสับสนเหลือเกิน ทำให้สงสัยว่าจริงๆแล้วมีวิธีการอ่านอย่างไร เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน เรามาค่อยๆดูและทำความเข้าใจการอ่านผลอัลตราซาวด์กันไปทีละแบบนะคะ💁‍♀️รู้จักและเข้าใจอัลตราซาวด์การอัลตราซาวด์ หรือ ภาษาอังกฤษ Ultrasound คือการตรวจทางการแพทย์ โดยมีวิธีการคือใช้คลื่นเสียง🔊ความถี่สูงมากกว่า 20,000 Hz คลื่นเสียงเพื่ออัตราซาวด์ แพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยโรคต่างๆ ภายในร่างกายรวมทั้งการตรวจสุขภาพของลูกน้อย👶ในครรภ์ของคุณแม่ทำความเข้าใจหลักการทำงานของอัลตราซาวด์หลักการทำงานของเครื่องอัลตราซาวด์ คือการที่แพทย์ตรวจ🩺ด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ผ่านหัวจรวจ ซึ่งจะทำหน้าที่รับสัญญาณคลื่นเสียงที่สะท้อนกลับระดับต่างๆ สามารถบอกได้ถึงความหนาแน่น ไปจนถึงระดับความลึกของเนื้อเยื่อที่หัวตรวจนั้นสัมผัส นำสัญญาณที่ได้รับนั่นมาประมวลผลเป็นภาพ🖥️ขึ้นมา เพื่อที่แพทย์จะใช้ภาพที่เห็นและค่าที่แสดงนั้นตรวจวินิจฉัยโรค ตรวจทารกในครรภ์ หรือเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยให้ศัลยแพทย์เห็นภาพร่างกายขณะผ่าตัดได้อีกด้วยตรวจอัลตราซาวด์มีแบบไหนบ้าง✨รู้จักการอัลตราซาวด์แบบ 2 มิติ การตรวจอัลตราซาวด์แบบ 2 มิติ จะให้ภาพเป็นภาพลักษณะตัดขวางทีละภาพตามแนวของคลื่นเสียง🔊ความถี่สูงที่ส่งออกไปในแนวระนาบ อธิบายเพื่อความเข้าใจง่ายคือ มิติที่ 1 เป็นความกว้าง มิติที่ 2 เป็นความยาว โดยคุณพ่อคุณแม่👫จะเห็นภาพเป็นภาพลูกน้อยในครรภ์เงาขาวดำ แต่จะไม่สามารถมองเห็นหน้าทารกได้ชัดเจน คุณพ่อคุณแม่อาจจะไม่เข้าใจภาพเลย หรือมองภาพไม่ออกตามที่แพทย์บอก✨รู้จักการอัลตราซาวด์แบบ 3 มิติ แน่นอนว่า 3 มิติ ย่อมเห็นภาพได้ชัดเจนกว่า 2 มิติค่ะ เพราะเครื่องอัลตราซาวด์แบบ 3 มิตินี้ สามารถแสดงภาพออกมาได้หลายด้านทั้งกว้าง สูง และลึก โดยที่หัวตรวจจะเป็นตัวส่งคลื่นเสียงความถี่สูงที่ส่งผ่านมา ในหลายมุมที่แตกต่างกัน ซึ่งภาพที่ได้ภาพออกมาที่แสดงพื้นผิวของทารก คุณพ่อคุณแม่จะเห็นทั้งรูปร่างและรูปทรงของลูกน้อย🚼ในครรภ์เลยนะคะ อีกทั้งยังเหมือนจริงมากขึ้นด้วยค่ะ เพราะได้ทั้งเห็นใบหน้าและรายละเอียดของทารกชัดเจนคุณพ่อคุณแม่อาจจะเริ่มคาดเดากันสนุกๆแล้วค่ะได้ว่าเมื่อลูกน้อยจะคลอดออกมาแล้วจะมีหน้าตาเหมือนพ่อหรือแม่✨รู้จักการอัลตราซาวด์ 4 มิติ การตรวจอัลตราซาวด์แบบ 4มิติให้ภาพคล้ายกับอัลตราซาวด์ 3 มิติค่ะ แต่ที่ดีขึ้นและ ได้เห็นลูกน้อยในครรภ์เป็นภาพเคลื่อนไหวแบบเรียลไทม์🖥️ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่จะได้เห็นลูกน้อยแบบถ่ายทอดสดเลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะจะเห็นทุกการเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นการหาว🥱 ดูดนิ้ว อ้าปาก😫 ขยับนิ้วเล็กๆ หรือลูกน้อยกำลังการยิ้มอารมณ์ดีอยู่ในครรภ์ ทั้งนี้ถ้าหากมีความผิดปกติ แพทย์จะสามารถเห็นได้ชัดและวางแผนการรักษาได้ค่ะคุณแม่อ่านค่าอัลตร้าซาวด์ได้แบบง่ายๆ ตามค่าต่อไปนี้👉CRL เป็นค่าที่ได้จากความยาวตัวอ่อนจากหัวถึงก้น โดยแพทย์ใช้ค่านี้สำหรับคำนวณอายุครรภ์👉BPD เป็นค่าที่แสดงความกว้างของศีรษะลูกน้อยในครรภ์👉HC เป็นค่าที่ได้จากการวัดเส้นรอบวงของศรีษะลูกน้อยในครรภ์👉AC เป็นค่าที่วัดได้จากเส้นรอบท้องของลูกน้อยในครรภ์👉FL เป็นค่าที่ได้จากการวัดกระดูกต้นขาของลูกน้อยในครรภ์👉EFW เป็นค่าที่แสดงค่าประมาณน้ำหนักของลูกน้อยในครรภ์👉NT เป็นค่าที่แสดงความหนาของเนื้อเยื่อต้นคอทารก แพทย์ใช้ค่านี้ช่วยคัดกรองโรคดาวน์👉EDD เป็นค่าที่ประมาณวันครบกำหนดคลอด👉EFW1 (HAD-1) เป็นค่าน้ำหนักโดยประมาณที่ได้มากจากสูตรที่ชื่อ Haddlock👉EFW2 (SHEPARD) เป็นค่าน้ำหนักโดยประมาณที่ได้มากจากสูตรที่ชื่อ Shepard👉FHS เป็นค่าที่แสดงการตรวจการเต้นของหัวใจด้วยคลื่นเสียง👉Gestational sac เป็นค่าที่แสดงถุงการตั้งครรภ์👉Fetal cardiac pulsation เป็นค่าที่แสดงอัตราการเต้นของหัวใจทารก👉Placental site เป็นค่าที่ระบุตำแหน่งรก👉Placental grading เป็นค่าที่บอกลักษณะเนื้อรก

Content Image

คุณแม่ตั้งครรภ์ไอจนเจ็บท้อง จะมีผลอะไรต่อลูกในครรภ์ไหม?

คุณแม่หลายๆท่านที่ตั้งครรภ์แล้วร่างกายอาจจะเกิดการปรับตัวไม่ทัน และทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นได้ บางท่านอาจมีอาการเจ็บคอ และไอร่วมด้วย โดยบางท่านอาจมีอาการไอแรงและบ่อย จึงเกิดความกังวลว่าจะส่งผลกระทบอะไรต่อลูกในครรภ์หรือไม่ ไปพบคำตอบกันเลยค่ะ หากคุณแม่ตั้งครรภ์มีอาการไอเรื้อรังควรทำอย่างไร?ถ้าหากคุณแม่กำลังมีอาการไข้หวัดหรือมีอาการไอเรื้อรัง คุณแม่ไม่ควร⛔ซื้อยาลดไข้มาทานด้วยตนเองโดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์เพราะการทานยาที่ไม่เหมาะสมอาจส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองและร่างกายของทารกในครรภ์ได้ ดังนั้นก่อนจะทานยาอะไรควรจะไปพบแพทย์ก่อนนะคะ👩‍⚕️คุณแม่ตั้งครรภ์ไอหนัก มีผลต่อทารกในครรภ์หรือไม่? โดยปกติแล้วหากคุณแม่เป็นไข้หวัดธรรมดา หรือ ไข้หวัดใหญ่ เชื้อก็จะไม่ได้ส่งผ่านรกไปทำให้ทารกในครรภ์ติดเชื้อได้ ดังนั้นคุณแม่ก็ไม่ต้องกังวลไปนะคะว่าลูกในครรภ์จะติดเชื้อหวัดไปด้วย แต่หากคุณแม่ไอหนัก หรือ ไอบ่อยๆก็อาจทะให้มดลูกบีบรัดตัวบ่อยและอาจทำให้รู้สึกเจ็บท้อง🤰ได้นั่นเองค่ะ เราจะสามารถดูแลตนเองได้อย่างไรบ้าง?น้ำเปล่าช่วยได้แนะนำให้คุณแม่ดื่มน้ำเปล่า🌊ทันทีที่รู้สึกคันคอ หรือจะไอนะคะ เพราะหากมีการระคายเคืองในคอส่วนใหญ่จะเกิดจากภาวะการขาดสารน้ำของเนื้อเยื่อในบริเวณนั้นจึงทำให้เกิดอาการไอนั่นเองค่ะ และการที่คุณแม่มีไข้ มีเหงื่อ💦 ก็จะทำให้ร่างกายของคุณแม่ขาดน้ำได้มากกว่าปกตินั่นเองทานยาแก้ไอ ปรึกษาคุณหมอก่อนโดยคุณแม่สามารถทานยาแก้ไอ💊ได้ แต่จะต้องเป็นยาแก้ไอที่มีส่วนผสมชนิด เด๊กซโตร และ เมโทรฟาน เท่านั้นจึงจะมีความปลอดภัยต่อคุณแม่ท้อง แน่นอนว่าการดูแลสุขภาพระหว่างการตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ อย่าลืมออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อสุขภาพของคุณแม่และทารกในครรภ์นะคะ 

Content Image

เห็ดทรัฟเฟิลปลอดภัยต่อคนท้องจริงหรอ?

     คุณแม่คงเคยได้ยินกับเมนูที่ทำมาจากเห็ดทรัฟเฟิล🍄กันใช่ไหมคะ เช่น สปาเก็ตตี้ทรัฟเฟิล🍝 เห็ดทรัฟเฟิลนั้นถือเป็นเห็ดยอดนิยมในปัจจุบันที่มีราคาแพงมาก สามารถหาทานได้ตามร้านอาหารหรูที่พร้อมเสิร์ฟเมนูพรีเมี่ยม แต่เห็ดทรัฟเฟิลนั้นปลอดภัยต่อคุณแม่ตั้งครรภ์จริงๆ วันนี้เราจะไปหาคำตอบพร้อมๆกันค่ะ💁‍♀️เห็ดทรัฟเฟิล คืออะไร?เห็ดทรัฟเฟิล (Truffle) คือเห็ดราชนิดที่ไม่มีพิษ เห็ดชนิดนี้สามารถพบได้บริเวณต้นไม้🌳 และมีรากงอกอยู่รอบๆ เห็นทรัฟเฟิลไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง จึงมีลักษณะคล้ายๆปรสิต จัดเป็นเห็ดหายาก สามารถพบได้แค่ในบางประเทศเท่านั้น และต้องใช้สุนัข🦮ในการดมกลิ่นหา ทำให้เห็ดชนิดนี้มีราคาแพง คุณประโยชน์ของเห็ดทรัฟเฟิลเห็ดทรัฟเฟิล🍄นั้นจัดว่าเป็นเหตุที่ให้พลังงานมาก โดยเห็ดทรัฟเฟิลขนาด 100 กรัม จะให้พลังงานประมาณ 284 กิโลแคลอรี่ อีกทั้งเห็ดทรัฟเฟิลยังอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ ดังต่อไปนี้ ✨จัดเป็นแหล่งของสารอาหารชั้นดีในเห็ดทรัฟเฟิลนั้นอุดมไปด้วยโปรตีนและแร่ธาตุต่างๆ ที่จำเป็นต่อคุณแม่ตั้งครรภ์🤰 เช่น คาร์โบไฮเดรต วิตามินซี ธาตุเหล็ก ไฟเบอร์ โซเดียม แมงกานีส แมกนีเซียม และแคลเซียม เป็นต้น จึงจัดว่าเป็นอาหารที่ช่วยเสริมสุขภาพของคนท้องได้อย่างดี✨มีฤทธิ์ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียสารสกัดจากเห็ดทรัฟเฟิลมีส่วนช่วยในการต่อต้านการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย🦠ที่มีชื่อว่า สแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus) ในเห็ดทรัฟเฟิลมากถึง 66 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแบคทีเรียชนิดนี้สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้✨มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์สูงในเห็ดทรัฟเฟิลนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง หรือ ในภาษาอังกฤษที่เรียกกันว่า antioxidant ซึ่งสารนี้สามารถช่วยให้ร่างกายของคุณแม่แข็งแรง💪และมีภูมิคุ้มกันต่อโรคหลายๆประเภท เช่น โรคหัวใจ🫀 โรคมะเร็ง เป็นต้น ✨บรรเทาอาการอักเสบเนื่องจากเห็ดทรัฟเฟิลสามารถช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระแล้ว ยังสามารถช่วยลดอาการอักเสบได้ด้วย แต่อย่างไรก็ตามถ้าหากคุณแม่มีอาการอักเสบที่รุนแรง เห็ดทรัฟเฟิลไม่สามารถรักษาให้หายได้นะ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ👩‍⚕️เพื่อรับการรักษาค่ะอันตรายจากเห็ดทรัฟเฟิล👉มีสารปนเปื้อนเชื้อโรคถึงแม้ว่าเห็ดทรัฟเฟิลนั้นจะอุดมไปด้วยสารอาหารนานาชนิด แต่มีการพบว่าในเห็ดทรัฟเฟิลนั้นมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคได้ เชื้อโรค🦠นี้ทำให้เกิดโรคที่มีชื่อว่า โรคทอกโซพลาสโมซิส (Toxoplasmosis) เป็นเชื้อที่พบได้ในอุจจาระแมว💩และอาหารที่ปรุงไม่สุก หากคุณแม่ตั้งครรภ์ได้รับเชื้อนี้เข้าไป จะทำให้เกิดอาการคล้ายอาการเป็นหวัด มีลักษณะอาการเป็นไข้🤒 ปวดศีรษะ มีอาการเจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อ รวมไปถึงอาจมีอาการต่อมน้ำเหลืองบวมด้วยค่ะ     สรุปได้ว่าคุณแม่สามารถทานเห็ดทรัฟเฟิลได้ค่ะ✅ แต่ควรให้ความสำคัญกับการเก็บรักษาเห็ดทรัฟเฟิล เพื่อไม่ให้ปนเปื้อนเชื้อโรค และควรนำเห็ดทรัฟเฟิลไปปรุงให้สุกก่อนทาน เพียงเท่านี้ก็จะเป็นการกำจัดเชื้อโรคที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณแม่และเจ้าตัวน้อยภายในครรภ์👶ได้ค่ะ

Village Baby Co., Ltd.

4F, 83 Uisadang-daero, Yeongdeungpo-gu, Seoul, Republic of Korea

Partnership inquiries babybilly.global@villagebaby.kr

|

|

Language

Copyright Baby Billy. All rights reserved.