Baby Image

ที่แอป Baby Billy คุณสามารถดูเนื้อหาเพิ่มเติมได้!

📖 บทความที่ถูกอ่านมากที่สุด

Content Image

สารให้ความหวานในน้ำอัดลมก่อให้เกิดมะเร็ง?

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ยืนยันการจำแนกสารให้ความหวานเทียม แอสปาร์แตมเป็นสารที่ 'มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' หรือ 'Possibly carcinogenics to humans' ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้  📢 ในขณะที่ข้อโต้แย้งด้านความปลอดภัยยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็กล่าวได้ว่าแอสปาร์แตมสามารถพบได้ในอาหารและเครื่องดื่มหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มลดน้ำหนัก เจลาติน หมากฝรั่ง ไอศกรีม ยาสีฟัน ยาอมแก้ไอ ผลิตภัณฑ์จากนม แล้วแบบนี้เราจะมีโอกาสเป็นมะเร็งหรือไม่ สารนี้จะหายไปจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเลยหรือไม่ คุณแม่หลายๆท่านกำลังสับสนกับเรื่องนี้🤰🏻 บิลลี่ จึงขออาสามาเช็กข้อเท็จจริงค่ะ!😉ทำความรู้จักกับแอสปาร์แตม🍹แอสปาร์แตม.....มีรสหวานกว่าน้ำตาล 200 เท่า แทบไม่มีแคลอรีเลย🙅🏻‍♀️ หลายๆท่านอาจจะยังไม่คุ้นกับชื่อของแอสปาร์แตม ซึ่งความจริงแล้วเราสามารถพบเจ้าแอสปาร์แตมนี้ในชีวิตประจำวันของเราได้ โดยสารนี้ใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากได้รับการอนุมัติในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2524 จึงเป็นสารปรุงแต่งอาหารที่ถูกนำมาใช้เพื่อให้อาหารมีรสหวาน 👅 ในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกโดยปัจจุบันยังคงมีการใช้ในอาหารและเครื่องดื่มแคลอรี่ต่ำ อย่าง Coke Zero, Diet Coke หมากฝรั่ง ลูกอม โยเกิร์ต ไอศรีม ซอส และขนมอีกหลากหลายชนิด แต่ไม่นานมานี้องค์กรอนามัยโลกหรือ WHO ประกาศให้เจ้าสารที่ถูกใช้ในเชิงเพื่อสุขภาพ กลายเป็นสารก่อมะเร็งแทน ข่าวนี้ทำให้ผู้อ่านหลายๆท่านหนักใจ เพราะเราต่างต้องเคยบริโภคสารนี้กันทั้งนั้น รู้จักประเภทของสารก่อมะเร็งองค์การระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง (IARC) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ WHO ได้ประกาศให้แอสปาร์แตมเป็นสารที่ 'มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' หรือ 'Possibly carcinogenics to humans'💥 ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้  โดย IARC ได้ระบุให้แอสปาร์แตมเป็นสารก่อมะเร็งในระดับ 2B ซึ่งการนิยามสารก่อมะเร็งของ IARC สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระดับใหญ่ๆดังนี้ระดับที่ 1 เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานบ่งชี้มากพอในเชิงสถิติ ว่าก่อให้เกิดโรคมะเร็งในมนุษย์ สารกลุ่มนี้ตามกฎหมายและข้อกำหนดขององค์กรอาหารและยาในแต่ละประเทศ จะต้องไม่ถูกเติมหรือมีการปนเปื้อนในอาหารอยู่แล้ว มักเป็นสารที่ถูกใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและวัสดุอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า ตัวอย่างสารในกลุ่มนี้ได้แก่ สารหนูหรืออาร์เซนิค หรือสารในกลุ่มเบนซีนค่ะระดับที่ 2A เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานงานวิจัยออกมายืนยันเช่นกันว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ยังถือว่ามีจำนวนงานวิจัยที่น้อย จึงได้แต่ใช้คำว่า 'มีแนวโน้มที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' แทน ยังไม่สามารถยืนยันได้เพราะยังมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือไม่เพียงพอค่ะ อย่างไรก็ตามสารในกลุ่มนี้ก็ยังมีหลักฐานบ่งชี้เพียงพอว่าก่อมะเร็งได้ในสัตว์ทดลองค่ะ ยกตัวอย่างเช่นซิลิกาที่ใช้ทำซองดูดความชื้นนั่นเองค่ะระดับที่ 2Bเป็นสารที่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ส่วนหนึ่งบ่งชี้ว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะยืนยัน ในกรณีของการก่อมะเร็งในสัตว์ก็มีแต่ยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าสามารถก่อมะเร็งได้เช่นเดียวกันค่ะ ซึ่งเจ้าแอสปาร์แตมเองก็อยู่ในกลุ่มนี้ นั่นทำให้เราสามารถตีความได้ว่า ทางองค์กรอนามัยโลกให้ข้อมูลว่าแอสปาร์แตมอาจจะก่อมะเร็งทั้งในสัตว์และในคน แต่ยังเป็นหลักฐานที่มีจำนวนน่าเชื่อถือไม่เพียงพอ เมื่อคำนวณความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติค่ะระดับที่ 3 เป็นสารที่ยังไม่มีข้อมูลว่าสามารถก่อมะเร็งได้ทั้งในร่างกายมนุษย์เองและร่างกายของสัตว์ค่ะสรุปแล้วแอสปาร์แตมอันตรายแค่ไหนแอสปาร์แตมก่อมะเร็งจริงหรือไม่?โดยความจริงแล้วสารระดับ 2B นั้นสามารถพบได้ในส่วนผสมในของที่เรารับประทานหรือใช้กันในชีวิตประจำวัน🍽️ อย่าง กรดคาเฟอิกในกาแฟ ว่างหางจระเข้ น้ำมันมะพร้าว รวมถึงกิมจิและผักดองอื่นๆด้วย ซึ่งคนไม่ได้ให้ความสำคัญเท่ากับสารทดแทนความหวาน หลักฐานจึงยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าแอสปาร์แตมจะทำให้เราเป็นมะเร็งจริงๆ แม้กระทั่งหลักฐานในสัตว์ทดลองเองก็ยังไม่ได้มีจำนวนมากพอที่จะยืนยันได้ จึงสามารถสรุปได้ว่า ไม่ได้ห้ามบริโภคเป็นอาหาร และไม่ได้หมายความว่าการรับประทานแอสปาร์แตมจะทำให้เกิดมะเร็ง แต่มีความจำเป็นที่จะต้องจำกัดปริมาณในการรับประทานสารให้ความหวานเทียมค่ะ🙌🏻  ยังสามารถรับประทานน้ำอัดลม 0% ได้หรือไม่?ยังสามารถรับประทานได้ค่ะ โดยค่าที่ปลอดภัยในการรับประทานแอสปาร์แตมจะอยู่ที่ไม่เกิน 40 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม👀 หากจะพูดให้เห็นภาพ หากคุณผู้อ่านมีน้ำหนักตัวประมาณ 50 กิโลกรัมนั่นหมายความว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานแอสปาร์แตมได้ในปริมาณที่ปลอดภัยไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ในน้ำอัดลมที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลหนึ่งกระป๋อง มักใส่แอสปาร์แตมไม่เกิน 300 มิลลิกรัม นั่นแปลว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานน้ำอัดลมชนิดนั้นได้ประมาณ 6-7 กระป๋องโดยประมาณเลย ซึ่งนับเป็นปริมาณที่ค่อนข้างเยอะมากต่อวัน หากไม่ได้ติดน้ำอัดลมกลุ่มนี้ เรามักจะกินไม่ถึงปริมาณที่มีความเสี่ยงว่าจะก่อมะเร็งอยู่แล้วค่ะ🫡 ข้อควรระวังสำหรับผู้ปกครอง🍹สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์จากการศึกษาที่ประกาศโดย American Society for Reproductive Medicine ในปี 2559 📑 สารให้ความหวานเทียมในเครื่องดื่ม 0% จะลดความสามารถของผู้หญิงในการปฏิสนธิและส่งผลต่อสุขภาพของเซลล์ไข่ โดยหากบริโภคในระหว่างตั้งครรภ์ ว่ากันว่าอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์และทำให้เด็กเสี่ยงเป็นโรคอ้วนได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มอัดลมที่มีระดับน้ำตาลสูงหากเป็นไปได้นะคะ!🙅🏻‍♀️🍹 แล้วคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังเลี้ยงลูกอยู่ล่ะ?หากคุณมีโรคทางพันธุกรรมที่เรียกว่าฟีนิลคีโตนูเรีย (PKU) ซึ่งไม่สามารถเผาผลาญแอสปาร์แตมได้ ก็ควรจะหลีกเลี่ยงการรับประทานสิ่งที่มีแอสปาร์แตม 🚫 โดยไม่ใช่เพียงคุณแม่และลูกน้อยเท่านั้นที่ควรเลี่ยง แต่ยังรวมถึงแม่ที่วางแผนหรือกำลังตั้งครรภ์ด้วย ในกรณีของทารกแรกเกิด ทารกจะได้รับการทดสอบที่โรงพยาบาลหลังคลอด ดังนั้นหากมีความผิดปกติก็สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนั้นไม่ต้องกังวลจนมากเกินไปนะคะ!แม้ว่ากระทรวงความปลอดภัยด้านอาหารและยาจะได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยของสารให้ความหวาน แต่คุณพ่อคุณแม่บางคนก็ยังคงกังวล ท่ามกลางความขัดแย้งเรื่องแอสปาร์แตม หัวหน้าสำนักโภชนาการและความปลอดภัยด้านอาหารของ WHO แนะนำว่าควรพิจารณา 'การดื่มน้ำแทนเครื่องดื่มที่มีรสหวาน🥛' แทนที่จะมองหาของหวานอื่นทดแทน ลองเลิกนิสัยชอบความหวานและพึ่งพาอาหารแปรรูป แล้วหันมาใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพกันดูนะคะ 💖

Content Image

เคล็ดลับฝึกให้ลูกพูดสองภาษาตั้งแต่เด็ก

ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวไกลทำให้เรามีโอกาสได้พูดคุยจากคนต่างชาติได้ง่ายขึ้น รวมถึงเมื่อทำงานก็มีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร ดังนั้นการสอนให้ลูกพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษาก็จะทำให้ลูกได้เปรียบ ซึ่งเราจะมีวิธีสอนลูกอย่างไรให้ลูกสามารถพูดสองภาษาได้อย่างเป็นธรรมชาติและเรียนรู้อย่างรวดเร็ว เราไปดูกันเลยค่ะ กลยุทธ์การสอนภาษาที่สองให้ลูกควรจะสอนลูกพูดภาษาที่สองตั้งแต่เมื่อไหร่ดี?คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนให้ลูกพูดภาษาที่สอง🔤ได้ตั้งแต่ลูกยังอยู่ในครรภ์ได้เลยค่ะ โดยอาจอ่านนิทาน หรือ เปิดเพลงให้ฟังโดยใช้ภาษาที่สองก็จะทำให้ลูกทำความคุ้นเคยและเริ่มรับรู้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เพราะหากคุณแม่พูดกับลูกในครรภ์🤰บ่อยๆ ลูกก็จะเกิดการเรียนรู้และมีความคุ้นเคยกับมันค่ะ หลังคลอด คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถสอนต่อได้เลยจนลูกอายุ 7 ขวบ เพราะหลังจากนั้นลูกจะมีความคิดเป็นของตนเองและอาจต่อต้าน หรือ อาจรู้สึกสับสน รวมถึงยังเป็นวัยที่เข้าเรียนและได้รับการเรียนจากโรงเรียน🏫แล้วด้วยค่ะ คุณพ่อคุณแม่คือกุญแจสำคัญเทคนิคที่ดีที่สุดในการสอนลูกพูดสองภาษาคือตัวคุณพ่อ👨และคุณแม่👩เองค่ะ เพราะหากคุณพ่อคุณแม่พูดภาษาที่สองกับลูกในชีวิตประจำวันทุกๆวันๆ ทำให้เป็นเรื่องปกติลูกก็จะสามารถพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นอีกหนึ่งภาษา🔤ที่ใช้ในทุกๆวัน โดยเวลาคุยกับลูกก็ไม่ควรแปลให้ลูก ให้เริ่มพูดคำง่ายๆก่อนเช่น Dog, Go, Yes, No แล้วค่อยพูดยาวๆเป็นประโยคก็จะทำให้ลูกค่อยๆเข้าใจเองค่ะ วิธีทำให้ลูกจดจำได้ง่ายขึ้นเปิดการ์ตูนให้ลูกดู📺คุณพ่อคุณแม่สามารถเปิดการ์ตูนที่เป็นภาษาที่สองให้ลูกฟัง เพื่อให้ลูกซึมซึบสำเนียงและการออกเสียงที่ถูกต้อง อาจเปิดเพลงที่เป็นภาษาที่สอง หรือ อ่านนิทานภาษาที่สองให้ลูกฟัง เมื่อลูกได้ฟังบ่อยๆก็จะทำให้ลูกจดจำคำศัพท์ต่างๆได้ดีขึ้นค่ะ โปสเตอร์ภาษา หนัง หนังสืออ่าน📖ก็เป็นอีกตัวช่วยที่เป็นประโยชน์เมื่อสอนภาษาที่สองให้เจ้าตัวเล็ก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถสอดแทรกภาษาที่สองผ่านกิจกรรมต่างๆได้ โดยไม่ควรทำให้เป็นเรื่องที่จริงจังเพราะลูกจะเกิดการต่อต้านและจะไม่อยากเรียนรู้ค่ะ ทำกิจกรรมอื่นพร้อมกับสอนภาษาไปด้วยเมื่อทำกิจกรรมพร้อมๆกับการเรียนรู้ภาษา🔤จะทำให้เด็กเรียนรู้และจดจำได้มากกว่า ดังนั้น เมื่อคุณพ่อคุณแม่พาลูกน้อยออกไปข้างนอกลองชวนลูกพูดคุยและลองบอกคำศัพท์ต่างๆ เมื่อพบสิ่งของหรือสิ่งมีชีวิตต่างๆระหว่างทาง หรืออาจเปิดเพลง🎶ภาษาที่สองให้ลูกเต้นตามจังหวะเพลงไปด้วย หรือจะชวนลูกดูหนังที่เป็นภาษาอังกฤษโดยไม่มีซับ เพื่อให้ลูกได้ดูและฟังการกระทำของตัวละคร และจับความหมายของคำพูดนั้นๆอยากให้พูดเก่งต้องให้ลูกคิดเป็นภาษาอังกฤษวิธีทำให้ลูกคิดเป็นภาษาที่สองเทคนิคสำคัญที่ทำให้ลูกเก่งพูดสองภาษาคือการฝึกให้ลูกคิดเป็นภาษาอังกฤษ🔤แล้วสื่อสารออกมาได้ทันทีโดยไม่ต้องแปลกลับจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ โดยพยายามสื่อสารกับลูกด้วยภาษาอังกฤษแบบไม่ต้องแปลความหมายให้ฟัง แม้ว่าในช่วงแรกของการพูดลูกอาจจะไม่เข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่พูดถึงอะไร คุณพ่อ👨คุณแม่👩สามารถบอกใบ้โดยการชี้หรือทำท่าทางประกอบเพื่อให้ลูกเข้าใจ แทนการแปลหรือบอกให้ลูกฟังแล้วลูกจะเข้าใจได้เองค่ะ ใช้ความอดทนการจะฝึกให้ลูกพูดภาษาที่สองนั้น คุณพ่อคุณแม่จะต้องใช้ความอดทน และรอให้ลูกเรียนรู้ คอยพูดคุยกับลูกเป็นภาษาที่สอง และชมเชยเมื่อลูกทำสำเร็จลูกก็จะมีกำลังใจในการพูดและเรียนรู้เองค่ะ 

Content Image

การพัฒนาสมองของลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์เป็นยังไงนะ?

     ทารกในครรภ์มีการก่อตัวของของระบบประสาทและสมอง🧠ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ในครรภ์ และเริ่มมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามช่วงอายุครรภ์ โดยคุณพ่อคุณแม่👫สามารถช่วยกระตุ้นการพัฒนาของลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ไปจนถึงหลังการคลอดของลูกได้เลยค่ะ นับตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์คุณพ่อคุณแม่อาจจะตื่นเต้นและรอวันที่ได้เจอหน้าลูกน้อย ดังนั้นทางเราจึงได้รวบรวมเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการกระตุ้นการพัฒนาสมองของทารกเพื่อให้ทารกมีพัฒนาการที่ดีสมวัยมาให้ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ทราบค่ะการกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ควรเริ่มเมื่อไหร่ดี?นับตั้งแต่กระบวนการปฏิสนธิสมบูรณ์ ไข่กับสเปิร์มจะสร้างเป็นตัวอ่อน ซึ่งตัวอ่อนในท้องของคุณแม่🤰ก็จะเริ่มพัฒนาไปเรื่อยๆ พร้อมกับสร้างอวัยวะรวมทั้งเซลล์สมองที่มีการเพิ่มจำนวนและขนาดอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นเนื้อสมองและเส้นใยประสาทที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายเส้นใยประสาทเพื่อทำหน้าที่ต่างๆ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่👫ควรเริ่มกระตุ้นการพัฒนาการสมองของลูกน้อยตั้งแต่อายุครรภ์ 8 สัปดาห์ ไปจนถึงอายุ 2 ขวบ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่คุณพ่อคุณแม่จะใส่ใจเรื่องการส่งเสริมการพัฒนาของลูกปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นให้ลูกมีพัฒนาการสมองที่ดีการที่ลูกจะมีพัฒนาการที่ดีนั้นมักเกี่ยวข้องกับหลายๆ ปัจจัย โดยปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อการพัฒนาของลูกน้อยในครรภ์ การพัฒนาการของวัยทารก รวมไปถึงการพัฒนาของระดับสติปัญญา🧠✨และการเรียนรู้ตั้งแต่ในครรภ์ไปจนถึงหลังคลอดมีดังนี้พันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาจากคุณพ่อคุณแม่พันธุกรรมของลูกน้อยนอกจากหน้าตา👶 สีผิว และสีผมที่ได้รับการถ่ายทอดมาแล้ว ยีน🧬ทั้งหมดในร่างกายยังมีความเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองและระบบประสาทด้วยการรับประทานอาหารและสารอาหารที่คุณแม่ได้รับในขณะตั้งครรภ์ช่วงตั้งครรภ์คุณแม่ต้องใส่ใจกับสุขภาพมากที่สุด ดังนั้นการใส่ใจเรื่องการรับประทานอาหารในช่วงนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะสารอาหารต่างๆ🥗 ที่คุณแม่รับประทานเข้าไปจะส่งผลกับทารกในครรภ์ ระบบการทำงานของร่างกายคุณแม่เสียงการทำงานของหัวใจ🫀 เสียงการบีบตัวของลำไส้ หรือเสียงการเคลื่อนไหวของกระแสโลหิตล้วนมีความสำคัญ เพราะลูกน้อยในท้องของคุณแม่สามารถได้ยิน👂เสียงพวกนี้ ซึ่งจะกระตุ้นเรื่องการพัฒนาการได้ยินของลูกน้อยอารมณ์ของคุณแม่ช่วงตั้งครรภ์หากคุณแม่มีความเครียดมาก😡ในระหว่างตั้งครรภ์จะส่งผลกระทบกับการพัฒนาสมองของลูกน้อยในครรภ์ด้วยวิธีการช่วยกระตุ้นให้ลูกฉลาดตั้งแต่อยู่ในครรภ์ลูบหน้าท้องกระตุ้นความรู้สึกการที่คุณแม่ลูบหน้าท้องเบาๆ🤰จะทำให้ลูกน้อยรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นระบบประสาทและสมองส่วนความรู้สึกได้ชวนลูกคุยบ่อยๆ หรือเปิดเสียงดนตรีให้ลูกฟังลูกน้อยในครรภ์ของคุณแม่สามารถได้ยินเสียงผ่านผนังหน้าท้อง🎧🤰 ซึ่งทารกในครรภ์จะได้ยินเสียงได้ดีตั้งแต่อายุครรภ์ 5 เดือนขึ้นไป การที่คุณพ่อคุณแม่มีการพูดคุยกับลูกส่งผลให้ทารกมีความคุ้นเคยจากเสียง และคุณแม่สามารถหยิบหนังสือ📖🗣️มาอ่านออกเสียงให้ลูกน้อยฟัง โดยเสียงจากคุณแม่จะกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อสมองที่มีความซับซ้อนของการได้ยิน ตีความเสียง และส่วนความทรงจำ นอกจากนี้การเปิดเพลง🎶ให้ลูกฟังทำให้ทารกในครรภ์มีพัฒนาการที่ดีทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ดีด้วย😄ส่องไฟฉายบริเวณผิวท้องของคุณแม่เพื่อกระตุ้นการมองเห็นคุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการส่วนการมองเห็น👁️ ด้วยการดึงดูดความสนใจของทารกในครรภ์ โดยการส่องไฟฉาย🔦 เลื่อนไป-มา หรือ เปิด-ปิดไฟฉาย พร้อมกับพูดคุยและเล่นกับลูกน้อยไปด้วย แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ทำในที่มืด🌌จะช่วยเรื่องการมองเห็นได้ดีกว่าที่สว่าง และควรเริ่มทำตั้งแต่ทารกเริ่มดิ้นไปจนถึงวันที่คลอด การนั่งโยกเก้าอี้ หรือการออกกำลังกายจะช่วยพัฒนาการเคลื่อนไหวของลูกคุณแม่สามารถนั่งโยกเก้าอี้🪑หน้า-หลัง พร้อมเอามือลูบหน้าท้องไปพรางๆ และเปิดเพลงฟัง🎵 หรือออกกำลังกายเบาๆ จะช่วยกระตุ้นเรื่องการพัฒนาด้านเซลล์ประสาทการทรงตัวและพัฒนาเรื่องระบบประสาทการสัมผัสของทารก     คุณแม่ควรใส่ใจเรื่องการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์🍲 หมั่นดูแลร่างกายให้พร้อมจนถึงวันคลอด และนอกจากการบำรุงร่างกายที่ดีแล้ว คุณแม่ควรออกกำลังกาย🚶‍♀️แต่พอเหมาะ ไม่ควรหักโหมจนเกินไป เพราะอาจจะเกิดอันตรายต่อตัวคุณแม่และทารกในครรภ์ได้ รวมไปถึงการให้ความสำคัญต่อการเสริมพัฒนาการของทารกในครรภ์ เพื่อเป็นการช่วยให้ลูกมีพัฒนาการการเรียนรู้ที่ดี โดยเน้นให้ความสำคัญเกี่ยวกับการกระตุ้นสมอง🧠และระบบประสาทตั้งแต่ลูกน้อยอยู่ในครรภ์ไปจนถึงหลังการคลอด🤱

Content Image

สีเทียนช่วยเสริมสร้างพัฒนาการได้อย่างไร?

ทราบหรือไม่ค่ะว่าสีเทียนนอกจากจะสร้างความเพลิดเพลินให้ลูกแล้วยังเสริมสร้างพัฒนาการและทักษะต่างๆได้อีกด้วยค่ะ โดยสีเทียนมีประโยชน์อะไรกับลูกบ้างนั้นเราไปดูกันเลยค่ะ ประโยชน์ของสีเทียนเมื่อลูกมีอายุ 3 ขวบ หรือเมื่อเข้าสู่วัยกำลังเจริญเติบโต ลูกจะเริ่มสนใจและเริ่มหยิบดินสอต่างๆมาขีดเขียนกัน ซึ่งหากให้ลูกได้ใช้สีเทียนระบายจะมีประโยชน์ต่างๆดังนี้ค่ะ ขั้นแรกของการจับดินสอสีเทียนนั้นมีขนาดใหญ่กว่าดินสอหรือปากกาทั่วไป ดังนั้น สีเทียนจึงเป็นจุดเริ่มต้นในการฝึกจับเขียนที่ดี เพราะขนาดของสีเทียน🖍️จะเต็มพอดีกับมือเล็กๆของลูก และเมื่อลูกเริ่มชินในการจับแล้ว อาจจะลองเปลี่ยนขนาดของสีเทียนให้เล็กลงเพื่อเตรียมพร้อมลูกให้จับปากกาและดินสอได้นั่นเองค่ะการประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อมือและตาการให้ลูกได้ระบายสีเทียนจะช่วยเสริมสร้างการทำง่ายร่วมกันของกล้ามเนื้อมือ✋และตา เพราะเขาจะต้องใช้มือหยิบสีเทียนและนำไปวาดบนกระดาษที่จัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งในช่วงแรกลูกอาจจะยังวาดไม่ค่อยเป็นรูปเป็นร่างเพราะกล้ามเนื้อมือของลูกจะยังไม่แข็งแรงพอ แต่เมื่อลูกโตขึ้นเขาจะค่อยๆขีดเส้นให้เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นเองค่ะทำความคุ้นเคยกับการขีดเขียนการระบายสีด้วยสีเทียน🖍️นั้นนอกจากจะช่วยในเรื่องของการฝึกประสานมือและตาแล้วยังช่วยให้ลูกได้เรียนรู้การลงน้ำหนักบนกระดาษ🎨 เรียนรู้การควบคุมทิศทางในการลงสี และแรงกดแค่ไหนจึงเหมาะสมในการเคลื่อนไหว ซึ่งในการทำเช่นนี้จะเป็นการฝึกทักษะการเขียนให้ลูก และเป็นพื้นฐานให้ลูกก่อนจะเริ่มฝึกเขียนตัวหนังสือโดยใช้ดินสอในอนาคตประโยชน์อื่นๆของสีเทียนเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์เมื่อลูกอยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโตเขาจะมีจินตนาการเป็นของตัวเอง และบางครั้งเราจะเห็นได้ว่าเขาจะอยู่กับจิตนาการของพวกเขา หรืออาจทำกิจกรรมหลายๆอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว ซึ่งการที่ลูกได้ระบายสี🖌️นั้นจะเป็นการเสริมสร้างจินตานาการของเขาให้เขาได้เล่าเรื่องราวที่อยู่ในหัว กลายเป็นรูปร่างที่สามารถมองเห็นได้ โดยเมื่อลูกวาดเสร็จ คุณพ่อคุณแม่สามารถถามถึงความหมายของรูปที่ลูกวาดได้ค่ะเป็นการฝึกสมาธิกิจกรรมการวาดภาพระบายสีนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้ลูกมีสมาธิมากขึ้น โดยเฉพาะถ้าลูกน้อยเป็นเด็กที่ไม่สามารถอยู่นิ่งได้ก็ลองให้ลูกจับดินสอเทียน🖍️ ดูนะคะ เพราะนอกจากที่ลูกจะได้เรียนรู้เรื่องของชื่อสี รูปร่างเรขาคณิตต่างๆแล้ว ยังเป็นการฝึกให้ลูกมีสมาธิได้อีกด้วย หรือคุณแม่อาจหาภาพที่มีการวาดมาให้แล้วเหลือเพียงลงสี เพื่อให้ลูกได้ฝึกความอดทนและความมีสมาธิที่จะระบายให้ครบและระบายไม่ออกนอกเส้นค่ะเรียนรู้เรื่องของสีการระบายสีเป็นการฝึกให้ลูกรู้จักกับชื่อของสีต่างๆ🎨 รวมถึงได้เรียนรู้เกี่ยวกับรูปร่างของภาพวาดที่ตนวาดระบายลงไป โดยคุณแม่สามารถสอดแทรกเนื้อหาเช่นการอาจวาดรูปทรงเรขาคณิตและค่อยๆบอกชื่อให้ลูกฟัง หรือ วาดแล้วนับจำนวนภาพที่วาดลงไปให้ลูกฟังเท่านี้ลูกก็จะได้เรียนรู้ผ่านการเล่นได้แล้วค่ะวิธีคลายเครียดการระบายสี🖍️เป็นกิจกรรมที่นักจิตวิทยาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ความคิด💡ของเด็ก ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็อาจให้กระดาษเปล่ากับลูกและให้ลูกใช้สีเทียนวาดระบายลงไป เพื่อที่ลูกจะได้ปลดปล่อยจินตนาการ ระบายอารมณ์และความเครียดของพวกเขาได้นั่นเองค่ะ 

Content Image

ใช้จุกหลอกดีหรือไม่?

วัยที่สามารถใช้จุกนมหลอกได้ คือทารกที่มีอายุตั้งแต่ 2 – 12 เดือน และห้ามใช้ในทารกแรกเกิดจนถึงช่วง 1 เดือนเพราะอาจทำให้ทารกสับสนระหว่างหัวนมของแม่และจุดหลอกและอาจทำให้ไม่ยอมดูดหัวนมแม่ได้จุกหลอกคืออะไร?✨จุกหลอกคือ?จุกนมปลอมที่ช่วยให้ทารกรู้สึกผ่อนคลายและช่วยเบี่ยงเบนความสนใจได้เวลาที่ทารกร้อง รวมถึงยังช่วยป้องกันทารกดูดนิ้ว👈 โดยมีทั้งวัสดุที่เป็นซิลิโคนและยาง ✨ควรให้ลูกเริ่มใช้จุกหลอกเมื่อไร?ควรจะรอให้ลูกอายุ 3-4 สัปดาห์ก่อนแล้วจึงค่อยให้ลูกใช้จุกหลอกได้ เพื่อให้ลูกได้มีเวลาทำความคุ้นเคยกับการดื่มนมจากอกของคุณแม่ แต่หากป้อนลูกโดยการใช้ขวดนม🍼ตั้งแต่แรกก็ไม่มีปัญหา สามารถเริ่มใช้จุกหลอกได้เลยเพราะมีลักษณะคล้ายกันค่ะ✨ควรให้ลูกหยุดใช้จุกหลอกเมื่อไร?คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกหยุดใช้จุกหลอกเมื่อลูกอายุ 6 เดือน - 1 ปี แต่ส่วนมากเด็กจะหยุดใช้ไปเองเมื่ออายุ 2-4 ปี โดยหากลูกติดจุกหลอกจนไม่สามารถเลิกได้ คุณพ่อคุณแม่จะต้องหาวิธีช่วยให้ลูกเลิกติดจุกหลอก หรืออาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ👩‍⚕️เพื่อหาทางแก้ไขค่ะข้อดีข้อเสียของการใช้จุกนมหลอก✨ข้อดีมีอะไรบ้างหากใช้จุกนมหลอกจะสามารถลดการร้องไห้😭เมื่อลูกร้องกินนมหลังเพิ่งทานนมได้ไม่นาน ทั้งยังช่วยลดการดูดปากและการเล่นน้ำลายได้ รวมถึงยังลดการดูดนิ้วในเวลานอนได้อีกด้วยจุกนมหลอกจะช่วยให้ทารก👶ผ่อนคลายและไม่งอแง ทำให้คุณแม่มีเวลาทำอย่างอื่นมากขึ้นระหว่างที่ลูกเพลินกับจุกนมหลอก และในเด็กที่ร้องโคลิก ก็จะสามารถใช้เพื่อช่วยลดการร้องได้ และยังช่วยลดอัตราการเสี่ยง SIDS ได้ด้วย✨ข้อเสียมีอะไรบ้างทารกอาจติดจุกนมหลอกมากจนทานนมแม่🥛น้อยลง และเมื่อดูดนมแม่น้อยลงอาจทำให้ขาดการดูดกระตุ้นจนทำให้ปริมาณน้ำนมของแม่ลดลงไปด้วย รวมถึงมีโอกาสที่ทารกจะกลับมาดูดนิ้วเหมือนเดิมหลังเลิกจุกนมหลอก และหากติดมากๆ เวลานำไปเก็บ หรือ ทำความสะอาดลูกก็จะร้องไห้งอแงทันที😭หากใช้จุกนมหลอกเพื่อช่วยให้ลูกหลับ💤 เมื่อนมหลอกหลุดออกลูกอาจร้องไห้ทันที รวมถึงมีโอกาสที่จะติดเชื้อจากการใช้จุกนมหลอกหากรักษาความสะอาดไม่ดีพอ เช่น การติดเชื้อในหูชั้นกลางข้อแนะนำในการใช้✨ควรทำสิ่งเหล่านี้หากเลือกที่จะใช้จุกนมหลอกควรเลือกอันที่คล้ายจุกนมยางที่สุดและควรทำความสะอาดให้บ่อยครั้งเหมือนการใช้ขวดนม และพยายามใช้จุกนมหลอกเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น อย่างเวลาลูกงอแง😭มาก หรือ เวลาเข้านอน✨ไม่ควรทำสิ่งเหล่านี้หากลูกน้อย👶ไม่ได้ร้องอยากดูดก็ไม่ควรเสนอให้ลูกดูดก่อน และไม่ควรให้ลูกดูดจุกนมหลอกนานเกินไป ควรให้ลูกน้อยเลิกก่อนอายุครบ 1 ขวบเพราะจะเลิกยากขึ้นหากเกินจากนั้น ให้พยายามหากิจกรรมเบี่ยงเบนความสนใจของลูกน้อยเมื่อลูกน้อยโตขึ้น

👉 List บทความ13-18 เดือน

Content Image

ทำไมหนูถึงอมข้าว?

ปัญหาที่สามารถพบได้บ่อยๆ ในเด็กอายุระหว่าง 1-5 ขวบ คือลูกจะชอบอมข้าว ไม่ค่อยเคี้ยว หรือเคี้ยวช้าเวลาป้อนข้าว อะไรคือสาเหตุที่ลูกอมข้าวเราไปดูกันเลยค่ะสาเหตุที่ลูกชอบอมข้าว✨อิ่มแล้วหรือลูกน้อยอาจอมข้าวเพราะอิ่มแล้วและไม่อยากทานต่อ หากทานมาสักพักแล้วลูกอมข้าวนั่นแปลว่าลูกอาจจะอิ่มแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรบังคับหลอกล่อให้ทานต่อค่ะ❌✨มีสิ่งรบกวนอื่นๆ ลูกอาจอมข้าวเพราะมีสิ่งที่ดึงความสนใจของลูกไป ให้คุณพ่อคุณแม่พยายามตัดสิ่งรบกวนต่างๆ ที่ดึงความสนใจของลูกจากโต๊ะอาหารไป เช่น โทรทัศน์📺 หรือขวดนมที่ชงรอไว้ เป็นต้น✨ไม่ชอบการถูกบังคับสาเหตุที่เป็นไปได้ที่ลูกชอบอมข้าว🍚คือ ลูกไม่ชอบการถูกบังคับให้ทานข้าว จึงต่อต้านด้วยการอมข้าว ดังนั้นคุณพ่อคุณไม่ไม่ควรไปบังคับให้ลูกทานข้าว เพราะเขาจะยิ่งต่อต้านมากขึ้น และทำให้ไม่มีความสุขในการกิน✨บรรยากาศน่าเบื่ออีกสาเหตุหนึ่งที่เป็นไปได้คือ ลูกอมข้าวเพราะเบื่อบรรยาบนโต๊ะอาหาร โดยคุณพ่อคุณแม่อาจสร้างสีสันโดยการทำอาหารให้เป็นรูปทรงต่างๆ เช่น ดาว หัวใจ เลือกจานชาม🍽️ที่มีตัวการ์ตูนที่ลูกชอบ และไม่จับผิดหรือกดดันลูกให้ทานข้าว ให้ลูกรู้สึกสนุกและผ่อนคลายเมื่อทานอาหาร✨ไม่ได้ฝึกมาก่อนคุณพ่อคุณแม่อาจไม่ได้ฝึกให้ลูกทานข้าวมาก่อนจึงทำให้ลูกอมข้าว🍚 ให้คุณพ่อคุณแม่นั่งทานอาหารกับลูกน้อย และโชว์วิธีการเคี้ยวข้าวให้ดู จากนั้นก็กลืน แล้วให้ลูกทำตาม ลูกอาจพบว่าการเคี้ยวอาหารนั้นยากกว่าการกลืนนมได้ ก็ต้องค่อยๆทำความคุ้นเคยกันไปค่ะลองทำตามนี้ ✨ลองจัดจานอาจลองให้ลูกเลือกซื้อจานอาหารด้วยตนเอง โดยมีลายและสีสันที่ลูกชอบ รวมถึงอาจลองจัดรูปแบบของอาหารให้มีความน่ากินและน่ารัก ลองจัดเป็นรูปหัวใจ รูปดาว⭐ หรือตัวการ์ตูนที่ลูกชอบก็ได้ค่ะ ✨เริ่มจากอาหารที่ลูกคุ้นเคยลองให้ลูกทานอาหารที่คุ้ยเคยก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มอาหารใหม่ๆเข้ามาในจานพร้อมกับเมนูที่ลูกคุ้น เด็กบางคนอาจใช้เวลาปรับตัวมากหน่อยแต่เพื่อให้ลูกได้รู้จักกับเมนูที่หลากหลาย🥘ขึ้นก็ให้ค่อยๆลองเสนอเมนูใหม่อื่นๆไปเรื่อยๆนะคะ✨สลับเปลี่ยนเมนูเช่นในมื้อนี้เมื่อให้ลูกทานข้าวแล้วก็อาจเปลี่ยนเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว สลับไปเป็น ขนมปัง🍞 สปาเก็ตตี้ ลูกจะได้ไม่เบื่อค่ะ✨ให้ลูกหยิบอาหารด้วยตนเองลองให้ความอิสระกับลูกให้ลูกได้หยิบอาหารเข้าปากด้วยตนเอง แม้ว่าจะเลอะเทอะหน่อยและอาจจะต้องวุ่นวายกับการทำความสะอาดหน่อย🧹 แต่นี่คือหนึ่งในการเรียนรู้ (แนะนำให้ทำความสะอาดหลังลูกทานเสร็จเรียบร้อยแล้วนะคะ ไม่เช่นนั้นอาจเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ลูกไม่ทานได้ค่ะ)✨ไม่ควรให้ลูกดูโทรทัศน์ข้อห้ามคือ ไม่ควรเปิดทีวี📺หรือวีดีโอขณะทานข้าวไปด้วย เพราะจะทำให้ลูกจดจ่ออยู่กับรายการทีวีจนไม่เป็นอันกินนั่นเองค่ะ✨ทานร่วมกับคนอื่นการได้ทานร่วมกับคนในบ้าน หรือเพื่อนๆวัยเดียวกัน จะเป็นการสร้างบรรยากาศที่สนุกสนานในการกิน และจะทำให้ลูกอยากกินมากขึ้นค่ะ

Content Image

เก็บด่วน! สิ่งของเหล่านี้ต้องเก็บไว้ให้พ้นมือเด็ก

     ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ้าตัวน้อยของเราในวัยที่หัดเคลื่อนไหวด้วยตนเอง ไม่ว่าจะด้วยการเดินหรือคลานนั้น มักเป็นวัยกำลังเรียนรู้ของเด็ก แต่คงเป็นเรื่องที่ไม่ดีนักหากพัฒนาการทางการเรียนรู้ต้องแลกมาซึ่งความปลอดภัยของเด็กเอง เนื่องจากเด็กๆในวัยนี้ถือว่าเป็นวัยที่กำลังอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสิ่งต่างๆรอบตัว สิ่งของรอบตัวที่วางในที่ที่เจ้าตัวน้อยสามารถเข้าถึงได้จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง ถึงแม้ว่าจะดูเป็นสิ่งของทั่วๆไปที่อาจจะดูไม่ได้เป็นอันตรายสำหรับวัยอย่างเราๆ หากอยู่ในมือเด็กก็อาจเปนอันตรายได้☠️ วันนี้บทความของเราจึงพาคุณผู้อ่านมาดูถึงสิ่งของกลุ่มต่างๆที่ควรถูกเก็บให้พ้นมือเด็ก เผื่อว่าคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองท่านอื่นๆที่ต้องดูแลเด็กๆจะตกหล่นอะไรไป จะมีสิ่งของประเภทไหนบ้างนั้น เราไปดูพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️กลุ่มสารเคมีที่ใช้ในการทำความสะอาดสารที่ใช้ทำความสะอาดร่างกายจนไปถึงเครื่องประทินผิวชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ครีมอาบน้ำ สบู่🧼 แชมพู ครีมบำรุงผม ยาสีฟัน จนไปถึงเครื่องสำอางของคุณแม่ แม้ว่าจะดูเป็นสารเคมีในกลุ่มที่แม้แต่เจ้าตัวน้อยเองก็ต้องใช้อยู่แล้ว แต่หากลูกๆของเรามีอายุที่น้อยมาก การปล่อยให้อาบน้ำด้วยตนเองคนเดียวคงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างเสี่ยงอันตราย ไม่เพียงแต่เรื่องหกล้มในห้องน้ำ แต่ยังหมายถึงการที่เด็กอาจรับประทานสารเหล่านี้เข้าไปด้วย แม้สารบางประเภทจะไม่ก่ออันตรายหากรับประทานในปริมาณน้อยๆ แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นอาหารที่สามารถรับประทานเข้าไปได้อยู่ดีค่ะสารที่ใช้ทำความสะอาดภายนอก ในที่นี้ครอบคลุมตั้งแต่กลุ่มสารทำความสะอาดเสื้อผ้า น้ำยาล้างเครื่องสุขภัณฑ์🚽 จนไปถึงน้ำยาทำความสะอาดอื่นๆที่บางอย่างก็เหมาะกับการใช้ภายนอก บางอย่างก็ไม่เหมาะกับการสัมผัสด้วยผิวหนังหรืออวัยวะเปล่าๆเลย กลุ่มนี้ก็ควรเก็บให้พ้นมือเด็กค่ะ เพราะไม่ได้ก่ออันตรายแค่ในกรณีที่เด็กนำเข้าปากเท่านั้น เพียงเทออกมาสัมผัสพื้นผิว ดวงตา👁️ หรือการได้ดมไอระเหยของสารก็สามารถก่ออันตรายแก่เด็กได้แล้วค่ะ กลุ่มสารหรือสิ่งของที่จัดเป็นวัตถุอันตรายกลุ่มวัตถุแหลมคม ไม่ว่าจะเป็นมีด เข็ม หรือกรรไกร✂️ จนไปถึงมีดโกน เครื่องตัดกระดาษ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าอันตรายต่อเด็กและต่อคนวัยทั่วไปหากใช้ไม่ระมัดระวัง จึงควรเก็บในที่ที่มิดชิด เด็กไม่สามารถหยิบไปเล่นหรือเอาเข้าปากได้ค่ะกลุ่มวัตถุอันตราย ยกตัวอย่างเช่นแบตเตอรี่🪫 ถ่านกระดุม ถ่านทั่วไปที่มีขนาดเล็ก ง่ายต่อการที่เด็กจะนำเข้าปากและกลืนลงท้อง นอกจากนี้ยังรวมถึงสเปรย์ที่ใช้ในวัตถุประสงค์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สเปรย์จุดไฟ สเปรย์สี สเปรย์จัดแต่งทรงผม เพราะสารบรรจุกระป๋องสเปรย์ส่วนใหญ่มีคุณสมบัติในการติดไฟ🔥 บางชนิดเมื่อสัมผัสผิวหนังและดวงตาอาจก่อความระคายเคืองได้อีกด้วยค่ะกลุ่มที่ไม่ได้จัดเป็นสารเคมีอันตราย    สำหรับสิ่งของในกลุ่มนี้ แม้ตัวมันเองจะไม่ได้ถูกจัดว่าเป็นวัตถุอันตราย☠️ แต่เมื่อใช้ผิดวัตถุประสงค์หรืออยู่ในที่ที่เด็กเข้าถึงได้ ก็อาจก่ออันตรายได้ กลุ่มนี้จะประกอบไปด้วยสิ่งของต่อไปนี้ค่ะยาประเภทต่างๆ แม้ว่าจะไม่ได้จัดเป็นกลุ่มวัตถุอันตราย แต่หากใช้ผิดวิธี ยกตัวอย่างเช่นการนำยาที่ใช้ภายนอกมารับประทาน💊 หรือการใช้ยาใดๆเกินปริมาณที่แนะนำ จนไปถึงการรับยาโดยไม่จำเป็น ก็มีแนวโน้มที่จะก่ออันตรายต่อผู้รับยาค่ะข้าวของเครื่องใช้ทั่วไปที่มีขนาดเล็กพอที่เด็กจะสามารถนำเข้าปากและกลืนลงท้องได้ ที่เห็นได้อย่างชัดเจนและเป็นข่าวค่อนข้างบ่อยก็คือเหรียญบาท🪙 กระดุม เครื่องประดับ จนไปถึงของเล่นชิ้นเล็กๆเลยค่ะเมล็ดของผลไม้ ถูกต้องค่ะว่าเมล็ดผลไม้บางชนิดนั้นสามารถรับประทานได้ แต่เมล็ดของผลไม้บางชนิดที่มีขนาดใหญ่และเปลือกเมล็ดแข็ง🍉 ก็มีโอกาสที่เมล็ดเหล่านั้นจะอุดตันหลอดลมของเด็กได้ค่ะ🤢     อ่านมาถึงตรงนี้คุณผู้อ่านก็จะเห็นแล้วนะคะ ว่ายังมีสิ่งของอีกมากมายที่แม้จะไม่ถูกจัดว่าเป็นวัตถุอันตรายด้วยจุดประสงค์การใช้งานของตัวมันเอง แต่ก็อาจเกิดอันตรายได้เมื่อไม่ได้เก็บให้พ้นจากมือเด็ก ดังนั้นหากคุณผู้อ่านเป็นผู้ปกครองที่มีเด็กอยู่ในบ้าน หรือมีสมาชิกครอบครัวเป็นเด็กเล็ก 👶อย่าลืมใส่ใจที่จะเก็บสิ่งของเหล่านี้ในที่ที่เหมาะสม เด็กๆในบ้านเข้าถึงไม่ได้กันนะคะ

Content Image

แยกห้องนอนลูกตอนไหนดีนะ?

คุณพ่อคุณแม่หลายๆท่านอาจจะกำลังตัดสินใจว่าจะแยกห้องนอนลูกดีไหม แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถให้ลูกนอนแยกห้องได้ตอนอายุเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม หรือไม่ทราบวิธีการฝึกให้ลูกนอนคนเดียว วันนี้เราได้เอาคำตอบมาฝากกันแล้วค่ะ เริ่มให้ลูกแยกห้องนอนตอนไหนดี?✨ให้ลูกนอนแยกห้องเมื่อไหร่ดีนะ?จริงๆ แล้วเราสามารถให้ลูกนอนแยกห้องได้ตั้งแต่ลูกอายุ 6 เดือนขึ้นไป แต่หากยังไม่พร้อมจะให้ลูกนอนแยก🛏️ ห้องสามารถรอให้อายุประมาณ 3 ขวบแล้วค่อยลองถามลูกว่าอยากแยกห้องหรือไม่✨ แยกเตียงล่ะ ดีไหม?สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ยังไม่พร้อมปล่อยให้ลูก🚼นอนแยกห้องก็อาจให้ลูกนอนแยกเตียงไปก่อนก็ได้ค่ะ การให้ลูกนอนแยกเตียงนั้นก็จะทำให้คุณพ่อคุณแม่สบายใจได้ว่าจะไปเผลอกลิ้งไปนอนทับลูกอย่างแน่นอนวิธีแยกลูกให้นอนคนเดียว✨เริ่มจากการ...หากยังเป็นกังวลอยู่ให้เลือกห้องนอนที่ติดกับห้องนอน🛏️ ของคุณพ่อคุณแม่ และหากลูกโตขึ้นมาหน่อยและเริ่มรู้เรื่อง ก็จะต้องให้เวลาลูกทำใจสักหน่อย อาจพาลูกสำรวจดูห้องนอนใหม่ว่ามีอะไรบ้าง ในช่วงแรกๆให้นอนเป็นเพื่อนลูกจนกว่าลูกจะหลับ อาจหาตุ๊กตา🧸มาวางใกล้ๆลูกเพื่อให้ลูกรู้สึกปลอดภัยเมื่อได้ลูกร้องกลางดึก ก็ควรเข้าไปเช็คดูให้ลูกรู้สึกอุ่นใจว่ายังมีพ่อแม่อยู่ใกล้ๆ แต่หากร้องถี่และเข้าไปหาทุกๆครั้งอาจติดเป็นนิสัยของลูก ดังนั้นก็ไม่ควรตามใจบ่อยเกินไปค่ะถ้าลูกกลัวอาจหาไฟ night light 💡(ไฟสำหรับกลางคืน) ที่มีแสงไม่จ้ามาก หรืออาจเปิดประตูแง้มเพื่อให้มีไฟส่องก็ได้ค่ะ✨จัดห้องนอนเลือกของใช้ที่ปลอดภัยสำหรับลูก หากลูกยังเล็กก็ควรเอาที่กั้นขอบกันตกเตียง🛏️ มาติดตั้ง และควรนำของอันตรายต่างๆ ที่อาจเสี่ยงต่อการแตก และของมีคมออกจากห้องของลูก หากเป็นเด็กโตอาจพาลูกไปเลือกซื้อของใช้ต่างๆในห้อง เพื่อให้ลูกรู้สึกตื่นเต้นและพอใจกับห้องใหม่ของตนเอง ถึงเวลาแยกห้อง✨ค่อยๆปรับเปลี่ยนหากเป็นเด็กที่โตมาหน่อย ให้อธิบายว่าเพื่อนๆอายุเท่าหนูเขานอนในห้องของตัวเองกันทั้งนั้น โดยคืนแรกๆ อาจจะต้องพาลูกเข้านอนให้ไวกว่าปกติ เพราะอาจต้องใช้เวลากว่าลูกจะคลายกังวลและหลับไป💤 โดยไม่ควรให้ลูกดูทีวีเมื่อใกล้เวลาจะเข้านอน และควรพาลูกเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยด้วยนะคะ ✨ชื่นชมลูกหากเป็นเด็กโต เมื่อลูกสามารถนอนคนเดียวในห้อง🛏️ ได้สำเร็จ ให้กล้าวคำชื่นชมลูก เช่น นอนคนเดียวได้ด้วยเก่งจังเลย! สุดยอดไปเลย! การปล่อยให้ลูกนอนคนเดียวจะเป็นการส่งเสริมให้ลูกกล้ามากขึ้น และภูมิใจที่ตนเองทำได้ด้วยค่ะ เมื่อลูกน้อยนอนแยกห้องได้ คุณพ่อคุณแม่ก็จะมีเวลาส่วนตัวมากขึ้น อย่าลืมเติมความหวานกันนะคะ💗

Content Image

ระวัง! อาการปลายอวัยวะเพศชายอักเสบ เด็ก 6-8 ปีก็เป็นได้

     อาการปลายอวัยวะเพศชายอักเสบ🍌นั้นไม่ได้เกิดแต่เพียงกับผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ในเด็กวัย 7-8 ปีก็สามารถเสี่ยงเป็นอาการนี้ได้เช่นกัน หากเด็กไม่สามารถดูแลรักษาสุขอนามัยในส่วนอวัยวะเพศได้ดีนะ บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอาการปลายอวัยวะเพศชายอักเสบมาให้คุณแม่ทราบถึงสาเหตุและแนวทางการรักษาค่ะ💁‍♀️สาเหตุของอาการปลายอวัยวะเพศชายอักเสบ✨เกิดจากสุขอนามัยที่ไม่ดีปัจจัยหลักที่ทำให้ลูกมีอาการปลายอวัยวะเพศชายอักเสบนั้นเกิดมาจากสุขอนามัยที่ไม่ดี จากเหงื่อที่ไหล💦และการสะสมของเชื้อโรค รวมไปถึงการทำความสะอาดบริเวณปลายอวัยวะเพศได้ไม่ดีพอ หรือแม้กระทั่งหากลูกล้างบริเวณนั้นบ่อยๆแตกล้างคราบสบู่ได้ไม่หมดจด ก็จะสามารถทำให้เกิดความเสี่ยงได้ด้วยเช่นกัน✨เกิดจากอาการแพ้สารต่างๆสารเคมีจากสบู่🧼หรือผงซักฟอกที่ใช้ซักกางเกงในของลูก อาจส่งผลให้เกิดอาการระคายเคืองได้ เพราะสารเหล่านั้นส่งผลต่อผิวที่มีความบอบบางของลูกน้อย✨เกิดจากการติดเชื้อหากมีการสะสมของเชื้อโรค🦠 ก็มักจะส่งผลให้เกิดอาการติดเชื้อต่างๆที่ตามมาได้ เชื้อโรคที่กล่าวถึง “เชื้อแคนดิดา” ซึ่งเป็นเชื้อที่พบได้ในบริเวณปลายอวัยวะเพศชายเป็นปกติ  และไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าหากเกิดการสะสมเป็นจำนวนมากจะทำให้เสี่ยงต่อการสะสมของเชื้ออื่นๆด้วย✨เกิดจากโรคอื่นๆโรคสะเก็ดเงิน และโรคมะเร็งผิวหนังบางชนิด ล้วนแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปลายอวัยวะเพศชายอักเสบ🍌ได้ด้วยเช่นกันลักษณะอาการและวิธีการรักษาปลายอวัยวะเพศอักเสบ👉อวัยวะเพศมีกลิ่นและมีหนองคุณแม่จะสังเกตได้ว่าอวัยวะเพศชายของลูกจะมีกลิ่นเหม็น🙊ที่แรงออกมา และยังมีน้ำหนองไหลออกมาจากปลายอวัยวะเพศอีกด้วยค่ะ👉อวัยวะเพศมีอาการแดงคุณแม่จะสังเกตได้อีกด้วยเช่นกันว่าบริเวณเฉพาะจุดของปลายอวัยวะเพศนั้นจะมีอาการแดง🔴 หรือในบางกรณีอาจจะแดงทั้งอวัยวะเพศก็เป็นได้👉เข้ารับการรักษากับแพทย์หากคุณแม่พบว่าลูกมีอาการที่กล่าวมาข้างต้น สามารถพาลูกชายไปพบแพทย์👩‍⚕️เพื่อวินิจฉัยถึงอาการที่เป็น เพราะโลกนี้สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เพื่อที่แพทย์จะได้ทำการใช้ยารักษาที่เหมาะสมและถูกต้องตามอาการค่ะวิธีการป้องกันปลายอวัยวะเพศอักเสบ💫เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนคุณแม่ควรแนะนำให้ลูกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับเด็ก เพราะผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะมีค่า pH ที่เหมาะสมและมีการใช้ส่วนประกอบที่ที่อ่อนโยนต่อผิวเด็ก👦 💫สอนลูกให้ทำความสะอาดอวัยวะเพศให้ถูกต้องคุณแม่ควรเน้นย้ำอยู่เสมอว่าให้ลูกล้างมือ🤲ให้สะอาดทั้งก่อนและหลังเข้าห้องน้ำอยู่เสมอ และควรสอนลูกถึงขั้นตอนการล้างมือให้ถูกสุขอนามัยด้วย💫ผ่าตัดขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศการผ่าตัดขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ🍌จะเป็นการที่ทำให้เกิดความง่ายต่อการทำความสะอาดอวัยวะเพศชาย โดยคุณแม่สามารถอธิบายให้ลูกฟังถึงข้อดีของการขลิบอวัยวะเพศก่อนน้ำลูกไปทำการผ่าตัด     อาการปลายอวัยวะเพศชายอักเสบนั้นเป็นอีกอาการที่สร้างความรำคาญให้แก่เด็กผู้ชาย👦เป็นอย่างมาก เพราะเด็กจะรู้สึกขาดความมั่นใจและในบางรายอาจเกิดอาการติดเชื้อได้ ดังนั้นคุณแม่ควรให้ความสำคัญกับการสอนลูกล้างอวัยวะเพศให้สะอาด และรักษาสุขอนามัยได้อย่างถูกวิธี ก็จะเป็นการลดความเสี่ยงการเกิดโรคนี้ขึ้นกับลูกค่ะ

Content Image

ทำอย่างไรดีเมื่อลูกกลัวการขึ้นเครื่องบิน

วิธีที่จะลดความกลัวการขึ้นเครื่องบินได้คือ คุณพ่อคุณแม่จะต้องเตรียมตัวก่อนที่จะพาลูกไปสนามบินค่ะ แต่หากลูกยังคงมีความกลัวอยู่และไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ในกรณีนี้ก็ควรเลื่อนการเดินทางออกไปก่อน หรือ หากไม่สามารถเลื่อนได้เพราะเป็นธุระสำคัญ ก็อาจต้องฝากลูกไว้กับญาติที่ไว้ใจได้ก่อน โดยวิธีที่จะสามารถเตรียมตัวก่อนพาลูกมาที่สนามบินได้มีดังนี้ค่ะ  สาเหตุที่ลูกกลัวเครื่องบิน ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนเมื่อลูกเกิดความเข้าใจผิดหรือลูกเกิดความกลัวแต่ไม่ได้อธิบายให้ลูกฟังอย่างจริงจัง ก็จะยิ่งทำให้เป็นปัญหาในภายหลัง เพราะลูกจะกลัวและมีอคติต่อการขึ้นเครื่องบิน✈️  ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถป้องกันสิ่งเหล่านี้ได้โดยการเตรียมตัวค่ะความกลัวจากสื่อบางครั้งลูกอาจจะรู้จักเครื่องบินและเคยเห็นเครื่องบินผ่านทางทีวี📺 แต่อาจจะเคยเจอข่าวเกี่ยวกับอุบัติเหตุของเครื่องบินทำให้เป็นสาเหตุของความกลัวเครื่องบินนั่นเองค่ะไม่คุ้นชินสาเหตุที่หนึ่งที่อาจเป็นไปได้คือลูกยังไม่เคยขึ้นเครื่องบินหรือไม่คุ้นชินกับเครื่องบินมาก่อน ซึ่งเมื่อไม่เคยขึ้นเครื่องบินมาก็เป็นปกติที่ลูกจะเกิดการต่อต้านและเกิดความกังวลกับสิ่งที่ตนเองไม่เคยเจอ โรคกลัวเครื่องบิน (Aerophobia)✈️โรคกลัวเครื่องบินยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ลูกไม่กล้าขึ้นเครื่อง ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรจะคอยสังเกตุว่าลูกมีโอกาสเป็นโรคนี้หรือไม่ค่ะ โรคกลัวเครื่องบินโรคกลัวเครื่องบินคือโรคกลัวเครื่องบิน✈️ หรือ Aerophobia เป็นหนึ่งในกลุ่มอาการกลัว Phobia ซึ่งเด็กจะมีอาการวิตกกังวล กลัว และเครียดที่จะต้องขึ้นเครื่องบิน รวมถึงขึ้นพาหนะต่างๆที่ต้องมีการเดินทางบนอากาศ💺 สาเหตุมาจากการถูกปลูกฝังให้กลัว กลัวที่สูง ความกลัวส่วนตัว หรือการมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับเครื่องบิน อาการของโรคกลัวเครื่องบิน💦✨เหงื่อออกมาก✨หัวใจเต้นถี่มาก✨ตัวสั่น✨คลื่นไส้ อาเจียน✨ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้✨ไม่สามารถคิดประมวลผลได้ซึ่งโรคนี้จะต้องใช้ความเข้าใจ และการดูแลจากคุณพ่อคุณแม่และคนรอบข้าง อาการนี้มีต้นเหตุมาจากสภาวะทางจิตใจที่จะต้องรักษาด้วยการบำบัด👩‍⚕️วิธีช่วยให้ลูกหายกลัวเครื่องบินเผื่อเวลา🕐เด็กแต่ละคนต้องการเวลาเตรียมตัวไม่เท่ากัน บางคนอาจจะต้องการเวลานานกว่าอีกคน ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการเตรียมตัวและการวางแผนในระยะยาว ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ควรเลือกเดินทางกระชั้นชิดเพื่อให้ลูกได้มีโอกาสเตรียมตัวก่อนบิน ทำกิจกรรมเสริมทักษะหลังกำหนดวันเกินทางแล้ว ให้พาลูกน้อยทำกิจกรรมต่างๆที่ช่วยให้เกิดความคุ้นเคยกับเครื่องบินมากขึ้น💺 เช่น พาลูกไปขึ้นเครื่องบินจำลอง หรือพูดคุยกับลูกเกี่ยวกับการขึ้นเครื่องบินว่าทำไมลูกถึงกลัว และอธิบายให้ลูกฟังว่าไม่ใช่เรื่องน่ากลัว อาจเปิดสื่อที่แสดงให้ลูกเห็นว่าเครื่องบินไม่น่ากลัว เช่น ตัวการ์ตูนที่กำลังขึ้นเครื่องบิน หรือเล่านิทานเกี่ยวกับเครื่องบิน✈️ในแง่ดี หรืออาจจะลองสวมบทบาทให้ลูกเป็นกัปตันและผู้ปกครองเป็นผู้โดยสาร เป็นต้นปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ👩‍⚕️หากลองทำวิธีต่างๆแล้ว แต่ลูกก็ยังวิตกกังวลและมีความกลัวเครื่องบินอยู่ คุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำ และรักษาได้อย่างถูกต้อง เพราะการปล่อยให้ลูกกลัวและไม่รักษาจะทำให้ลูกกลัวเครื่องบินไปจนโตได้ค่ะ 

Content Image

กินนมกล่องมากไป ใช่ว่าจะดี!

     เราทุกคนต่างเคยได้รับการปลูกฝังมาว่า น้ำนมนั้นถือเป็นสิ่งที่มีประโยชน์แก่ร่างกาย เมื่อเราเกิดมา อาหารชนิดแรกของเราก็คือน้ำนม🍼 และเมื่อเราโตขึ้น นมกล่องก็ยังถือเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มประเภทที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า อาหารหรือเครื่องดื่มทุกอย่าง แม้จะถูกจัดว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากรับประทานมากเกินไปนั้นก็ล้วนแต่ส่งผลเสียบางอย่างแทนทั้งสิ้นรวมถึงเครื่องดื่มอย่างนมกล่องด้วย วันนี้บทความของเราพาคุณผู้อ่านมาดูถึงข้อควรระวังในการเลือกรับประทานนมกล่อง ว่าเท่าใดคือปริมาณที่เหมาะสม และหากรับประทานในปริมาณที่ไม่เหมาะสม จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อร่างกายได้บ้าง เราไปดูพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️ปริมาณสารอาหารในน้ำนม    เป็นที่ทราบกันดีว่า พอพูดถึงเครื่องดื่มประเภทนม เราจะนึกถึงประโยชน์ในแง่ของการบำรุงกระดูกและฟัน🦷 เนื่องจากเป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุจำพวกแคลเซียม ดังนั้นการที่เราดื่มนมก็แปลว่าเราคาดหวังว่าจะได้รับแร่ธาตุแคลเซียมแน่นอน แต่บางท่านอาจจะยังไม่ทราบหรือไม่สามารถกะประมาณปริมาณแคลเซียมที่เราจะได้รับได้ อันที่จริงแล้วคุณผู้อ่านสามารถกะประมาณได้ง่ายๆ โดยให้จินตนาการว่าเราจะได้รับแคลเซียม 1 มิลลิกรัม หากเราดื่มนมปริมาตร 1 ซีซี หรือ 1 มิลลิลิตร จากนั้นจึงไปคำนึงถึงปริมาณแคลเซียมที่เจ้าตัวน้อย👶ของเราควรได้รับในช่วงอายุที่ต่างกัน ซึ่งจะกล่าวถึงรายละเอียดในหัวข้อถัดไปค่ะปริมาณแคลเซียมที่เด็กในแต่ละวัยควรได้รับสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ปี จะยังไม่แนะนำให้รับประทานนมกล่อง เพราะสามารถรับประทานน้ำนมของคุณแม่🤱 ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารที่หลากหลายกว่านมกล่องหลายเท่าอยู่แล้วค่ะสำหรับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 1-3 ปี ต้องการแร่ธาตุแคลเซียมประมาณ 500 มิลลิกรัมต่อวัน ดังนั้นก็ควรดื่มน้ำนมประมาณ 500 มิลลิลิตร เทียบเป็นกล่องก็คือการดื่มนมประมาณ 2 กล่องนั่นเองสำหรับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 4-8 ปี จะต้องการแคลเซียมเพิ่มมากขึ้น อยู่ที่ประมาณ 800 มิลลิกรัมต่อวัน ดังนั้นก็ควรดื่มนมให้ได้ประมาณ 800 มิลลิลิตรต่อวันหรือประมาณ 3 - 4 กล่องเป็นอย่างต่ำนั่นเองสำหรับเด็กที่มีอายุมากกว่า 8 ปี ซึ่งถือว่าเป็นช่วงวัยเด็กโต👦 จนไปถึงช่วงที่กำลังจะเข้าวัยรุ่น นับเป็นช่วงที่แคลเซียมจะมีบทบาทมากในการเจริญเติบโต เพราะเป็นช่วงที่เด็กจะสูงเร็วที่สุดค่ะ เด็กในช่วงนี้ควรได้รับแคลเซียมสูงถึงประมาณ 1,000 - 1,300 มิลลิกรัม นั่นหมายถึงเจ้าตัวน้อยของเราควรรับประทานนมกล่องมากถึงประมาณ 1 ลิตรต่อวันเลยทีเดียวค่ะข้อควรระวังในการรับประทานนมกล่องมากเกินไป    จากหัวข้อก่อนหน้า คุณผู้อ่านก็จะได้ทราบไปแล้วนะคะว่าปริมาณที่เหมาะสมกับการดื่มนมของเจ้าตัวน้อยแต่ละวัยนั้นอยู่ที่ระดับใด หากว่ารับประทานเกินปริมาณที่ควรได้รับ ก็อาจส่งผลเสียต่อไปนี้ได้ค่ะเด็กมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ มาจากการที่แก๊สในกระเพาะมีปริมาณที่มากเกินไป💨มีโอกาสทำให้เด็กรู้สึกอึดอัด🤢 ไม่สบายท้อง อยากอาเจียนเมื่อเกิดความรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว จะทำให้เด็กร้องไห้งอแง😭 นอนหลับยากขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อการดูดซึมของธาตุเหล็ก ซึ่งมีสาเหตุมาจากการได้รับแคลเซียมในระดับที่มากเกินไปมีอาการท้องอืดควบคู่ไปด้วยในเด็กบางคนที่คุณพ่อคุณแม่ให้รับประทานน้ำนมแทนน้ำจนติดนิสัย เสี่ยงทำให้ลูกเป็นโรคอ้วนหรือมีภาวะน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐานของวัยได้ เพราะน้ำเปล่าไม่ให้พลังงาน แต่การดื่มนม🥛นั้นให้พลังงานค่ะรู้จักกับประเภทของนม เลือกดื่มและเก็บรักษาอย่างถูกวิธีนมยูเอชที เป็นนมสดที่ผ่านการฆ่าเชื่อด้วยอุณหภูมิอย่างน้อย 133 องศาเซลเซียส🌡️ ซึ่งเป็นระดับอุณหภูมิที่สูงมากพอที่จะฆ่าเชื้อก่อโรคในนมได้ ดังนั้นหากยังไม่เปิดกล่องก็จะสามารถเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้องได้นานถึงประมาณครึ่งปีเลยทีเดียวนมพาสเจอไรซ์ เป็นนมสดที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อ🦠ด้วยความร้อนที่อุณหภูมิต่ำลงมา คือ 63 องศาเซลเซียสเป็นระยะเวลาขั้นต่ำ 30 นาที อายุขัยของนมจึงต่ำกว่านมยูเอชที ควรเก็บรักษาไว้ในตู้เย็น และสามารถเก็บรักษาได้ในระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์เท่านั้น หากเก็บมานานกว่านั้น แม้กล่องหรือขวดจะยังไม่ถูกเปิดออกก็ไม่ควรดื่มค่ะนมสเตอรีไลซ์ เป็นนมสดที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนเช่นกัน ที่อุณหภูมิขั้นต่ำ 100 องศาเซลเซียส นมชนิดนี้จะมีคุณสมบัติคล้ายนมยูเอชทีเนื่องจากผ่านอุณหภูมิที่สูงมากพอที่จะฆ่าเชื้อก่อโรคในนม ทำให้สามารถเก็บรักษาโดยที่ยังไม่เปิดกล่องได้ถึงประมาณ 1 ปีค่ะ⏰     อ่านมาถึงตรงนี้ คุณผู้อ่านก็จะได้ทราบถึงชนิดและปริมาณสารอาหารที่เจ้าตัวน้อยจะได้รับจากการดื่มนม รวมไปถึงปริมาณที่เหมาะสมในการดื่มนมสำหรับเจ้าตัวน้อยในวัยที่ต่างกัน และประเภทของนมเพื่อการตัดสินใจเก็บรักษาอย่างถูกวิธีไปเรียบร้อยแล้วนะคะ อย่างไรก็ตาม หากสังเกตว่าลูกของเราดื่มนมในปริมาณที่เหมาะสม ภาชนะที่บรรจุนมไม่เสียหาย นมยังไม่หมดอายุ🗓️ แต่มีอาการแปลกๆเกิดขึ้นกับร่างกายหรือรู้สึกไม่สบายตัวไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ควรเข้ารับการตรวจร่างกายเพื่อขอคำปรึกษาจากแพทย์👩‍⚕️ เพราะในบางท่านอาจมีภาวะแพ้น้ำนมได้ค่ะ

Content Image

ควรแยกห้องนอนให้ลูกหรือไม่

     สำหรับครอบครัว👨‍👩‍👧ที่มีพื้นที่ในบ้านเพียงพอที่จะจัดห้องใหม่อีกหนึ่งห้อง เป็นห้องนอนหรือห้องส่วนตัวขอเจ้าตัวน้อยโดยเฉพาะ อาจกำลังกังวลว่าจริงๆแล้วควรให้ห้องส่วนตัวกับลูกหรือไม่ หากตัดสินใจว่าจะให้ควรแยกห้องนอน🛌กับลูกตอนไหนดี และควรจัดห้องนอนของเด็กๆอย่างไร บทความนี้จะพาคุณผู้อ่านมาดูเกี่ยวกับความจำเป็นในการแยกห้องนอนกับลูก และข้อดีข้อเสียของการแยกห้องนอนกัน เราไปเริ่มพร้อมกันเลยค่ะ💁‍♀️การแยกห้องนอนเป็นสิ่งจำเป็นไหม ถ้าแยกควรแยกตอนไหนดี?    ต้องบอกว่าเป็นประเด็นทางเลือกแล้วกันค่ะ ผู้ปกครองที่มีพื้นที่ในบ้าน🏡ก็สามารถแยกได้ หรือจะไม่แยกก็ได้ แต่ในกรณีที่ผู้ปกครองไม่มีพื้นที่เหลือในบ้านเพื่อเอาไปทำเป็นห้องนอนได้แล้ว การแยกห้องนอน🛌ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นค่ะ คุณพ่อคุณแม่สามารถนอนรวมกันกับเจ้าตัวน้อยได้ตามสะดวกเลยค่ะ หากตัดสินใจว่าจะแยกห้อง ควรเริ่มเมื่อทารกมีอายุ 6 เดือนขึ้นไปค่ะ เหตุผลเพราะในช่วงสามเดือนแรก เด็กๆจะยังต้องการดื่มนมแม่บ่อยๆ หากแยกกันนอนก็จะไม่สะดวกเวลาให้นม และเด็กเล็กยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะหลับ😴ไม่ตื่นในทารกอีกด้วย ซึ่งก็คือการที่ทารกนอนหลับและเสียชีวิต💀ไปเลยนั่นเองค่ะ🩷ข้อดีของการนอนห้องเดียวกับลูก✨ข้อดีที่เป็นรูปธรรมที่สุดข้อแรกก็คือ หากทารกกำลังมีภาวะหลับไม่ตื่น คุณพ่อคุณแม่จะสามารถให้ความช่วยเหลือ🤗ได้อย่างทันท่วงทีค่ะ✨ลูกมีแนวโน้มจะนอนหลับได้ดีและหลับสนิท😴กว่าการนอนคนเดียว เพราะการที่เด็กมีผู้ปกครองอยู่ห้องเดียวกันหรืออยู่เตียงเดียวกัน จะทำให้เขารู้สึกปลอดภัยค่ะ อีกทั้งยังเป็นการสร้างความผูกพัน💞ระหว่างเด็กกับผู้ปกครองด้วยค่ะ✨อันตรายต่างๆที่ไม่คาดคิดจะเกิดขึ้นน้อยลง เพราะมีผู้ปกครอง👨‍👩‍👧ที่อยู่ห้องเดียวกันหรืออยู่บนเตียงด้วยกันคอยดูแลค่ะ✨ในเด็กที่โตขึ้นมาอยู่ในวัยที่พอจะสื่อสารกับคุณพ่อคุณแม่ได้แล้ว หากนอนห้องเดียวกันหรือเตียงเดียวกันก็จะมีโอกาสได้พูดคุย🗣️กันก่อนนอน เป็นการส่งเสริมพัฒนาการด้านการสื่อสารให้เด็ก และทำให้เด็กไว้ใจเชื่อใจคุณพ่อคุณแม่มากขึ้น ผู้ปกครองจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยของเด็กค่ะ💕ข้อดีของการแยกห้องนอนกับลูก✨อันที่จริงแล้วเมื่อเด็กๆโตขึ้น ความต้องการในการที่จะมีพื้นที่ส่วนตัวหรือข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว👛ก็จะเริ่มเพิ่มขึ้น การแยกห้องนอนให้เจ้าตัวน้อยตั้งแต่ยังเด็กๆจึงค่อนข้างตอบโจทย์ความต้องการของเด็กที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ค่ะ และยิ่งเริ่มแยกเร็วเท่าไหร่ (แต่ก็ไม่ควรต่ำกว่าช่วงอายุ 6 เดือน) เด็กๆก็จะสามารถปรับตัวกับการอยู่คนเดียวได้รวดเร็วมากขึ้น มีอาการงอแง😭หรือติดคุณพ่อคุณแม่น้อยลงค่ะ✨ทำให้เด็กนอนหลับพักผ่อนได้สนิท💤 เพราะไม่มีคุณพ่อคุณแม่ทำเสียงดังรบกวนตอนนอนอย่างไม่ได้ตั้งใจ และป้องกันการที่คุณพ่อคุณแม่จะกลิ้งทับลูกสำหรับครอบครัวที่นอนเตียงเดียวกันด้วยค่ะ✨หากคุณพ่อคุณแม่มีเหตุจำเป็นต้องฝากเด็กๆไว้กับพี่เลี้ยง👩‍💼 หรือต้องไปนอนบ้านอื่น เด็กจะสามารถหลับได้ง่ายกว่าเด็กที่นอนกับคุณพ่อคุณแม่ตลอดค่ะควรเริ่มต้นอย่างไรหากจะแยกห้องนอนกับลูก👉ในกรณีที่คุณพ่อคุณแม่นอนเตียงเดียวกันกับทารกมาก่อน อาจเริ่มต้นจากการแยกเตียงแต่ยังอยู่ภายในห้องเดียวกันได้ค่ะ เพื่อให้ทารกคุ้นชินกับการที่ไม่ต้องอยู่ใกล้ชิดผู้ปกครองมาก แต่ยังรับรู้ว่ามีผู้ปกครองอยู่ใกล้ๆให้รู้สึกปลอดภัย🤗 เมื่อแยกเตียงแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญกับท่านอนของลูก ควรจัดให้ลูกนอนหงาย อย่าจัดให้ลูกนอนคว่ำโดยเด็กขาดเพราะเด็กอาจขาดอากาศหายใจ🤢และถึงแก่ชีวิตได้👉เลือกฟูกคุณภาพดีให้ลูก ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่แยกเตียงหรือแยกห้องนอนควรเป็นฟูก🧽ที่มีความแข็งเล็กน้อย ไม่อ่อนยวบ ผ้าปูเรียบตึงไม่หลุดรุ่ยง่าย ป้องกันการที่ผ้าปูที่นอนอาจหลุดมาปิดจมูก👃ของเด็กระหว่างนอนหลับ ไม่ควรมีสิ่งของอื่นๆอยู่บนฟูก และห้ามให้เด็กนอนบนอะไรก็ตามที่มีซอกมีหลืบและอ่อนนุ่ม เพราะเด็กอาจเข้าไปติดบริเวณซอกเหล่านั้นแล้วเกิดอาการหายใจลำบากได้👉อธิบายข้อดีของห้องนอนส่วนตัวให้ลูกฟัง เมื่อเตรียมห้องนอนแยกให้ลูกเรียบร้อยแล้ว ควรพูดถึงข้อดีของห้องนอนส่วนตัวให้เจ้าตัวน้อยฟัง ให้เขารู้สึกตื่นเต้น🤩ที่จะมีห้องของตนเอง และควรเป็นห้องที่ไม่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์📱 เพราะเด็กอาจเล่นก่อนนอนและรบกวนคุณภาพการนอนของเด็กได้ค่ะ👉หาตุ๊กตาคู่ใจหรือหมอนข้างให้ลูกนอนกอดในช่วงแรกๆของการแยกห้องนอน เป็นธรรมดาที่เจ้าตัวน้อยจะหลับได้ยาก สามารถแก้ปัญหาโดยการให้เด็กมีตุ๊กตาคู่ใจ🧸หรือหมอนข้างให้เขานอนกอด ก่อนนอนผู้ปกครองอาจเข้าไปอยู่ด้วยเพื่อทำกิจกรรมส่งเข้านอนในช่วงเวลาสั้นๆ ยกตัวอย่างเช่นการเล่านิทาน📖 ก็จะทำให้เด็กๆสามารถหลับได้ง่ายขึ้น จากนั้นผู้ปกครองจึงค่อยๆออกจากห้องมาเบาๆค่ะ👉ชื่นชมลูกเสมอ เมื่อแต่ละคืนผ่านไป เจ้าตัวน้อยสามารถแยกห้องนอนกับคุณพ่อคุณแม่ได้อย่างราบรื่น ผู้ปกครองควรชื่นชมเขาเสมอ👏 เพื่อให้เขารู้สึกว่าตนเองสามารถนอนคนเดียวได้ดีค่ะ     จะเห็นแล้วนะคะว่าทั้งการนอนห้องเดียวกับลูกและการแยกห้องนอนกับลูก ก็มีข้อดีที่แตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกพิจารณาข้อดีข้อเสียของการนอนในแต่ละแบบ และปรับใช้ตามความเหมาะสมกับลักษณะบ้าน🏡และครอบครัว👨‍👩‍👧ของทุกท่านได้เลยค่ะ

Content Image

ให้ลูกนอนคนเดียว VS นอนกับพ่อแม่

     คุณแม่หลายๆท่านคงมีความสงสัยว่า ควรแยกห้องนอน🛌ให้เจ้าตัวน้อยนอนคนเดียว หรือควรให้เจ้าตัวน้อยนอนกับพ่อแม่เพื่อที่จะได้รู้สึกถึงความอบอุ่นดีกว่า แต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง เราไปหาคำตอบพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️ควรให้ลูกนอนคนเดียวตั้งแต่เกิดเลยดีไหม?💫ขึ้นอยู่กับช่วงอายุของเด็กสำหรับเด็กแรกเกิดไปจนถึงอายุ 2-3 เดือน แพทย์👩‍⚕️แนะนำให้ลูกควรนอนกับพ่อแม่ เพราะในช่วงกลางคืนเด็กจะนอนหลับได้ และมีอาการตื่นขึ้นในระหว่างคืน รวมไปถึงอาจหิวนมแม่อยู่🤱บ่อยๆนั่นเองค่ะ หากเมื่อลูกโตขึ้นคุณแม่สามารถพูดคุยกับลูกเพื่อพิจารณาว่าอายุเท่าไหร่ที่ลูกจะสามารถนอนคนเดียวและแยกห้องนอนได้โดยไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวข้อดีของการนอนห้องเดียวกันกับลูก✨ลูกรู้สึกถึงความอบอุ่นและปลอดภัยเมื่อลูกน้อยได้นอนห้องเดียวกันกับคุณพ่อคุณแม่ ก็จะรู้สึกถึงความอบอุ่นและการได้รับความรักจากพ่อแม่อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ลูกจะสามารถนอนหลับได้ดี😴และไม่วิตกกังวลใดๆ เมื่อเทียบกับการที่ลูกต้องนอนบนเตียงตามลำพัง✨เป็นการสานสัมพันธ์ในครอบครัวการที่ลูกได้นอนรวมกับคุณพ่อคุณแม่และพี่น้อง ถือเป็นการสานสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวในเชิงบวก ทำให้สุขภาพจิตของเด็กดีขึ้น🥰 และเด็กที่โตมาจะมีนิสัยรักครอบครัว และมีจิตใจโอบอ้อมอารี✨ลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุเมื่อลูกนอนรวมกับพ่อแม่ก็จะเป็นการช่วยลดการเกิดอันตรายต่างๆระหว่างกลางคืนได้🌃 เพราะคุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลลูกน้อยได้อย่างใกล้ชิดนั่นเองค่ะข้อเสียของการนอนห้องเดียวกันกับลูก👉ลูกติดว่าต้องนอนกับพ่อแม่เท่านั้น หากมีเหตุฉุกเฉินที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถนอนรวมกับลูก มีความจำเป็นต้องนำลูกไปฝากกับญาติหรือพี่เลี้ยง อาจจะทำให้ลูกรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง😢 น้อยใจคุณพ่อคุณแม่ และรู้สึกนอนไม่หลับเพราะคิดถึงพ่อแม่👉พ่อแม่อาจเผลอไปทับลูกหากว่าคุณพ่อคุณแม่นอนรวมเตียงเดียวกันกับลูกน้อย อาจมีเหตุที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่นอนกลิ้งไปทับลูก จนทำให้ลูกขาดอากาศหายใจ🤢และอาจจะอันตรายถึงชีวิตได้👉ขึ้นอยู่กับความพร้อมของตัวเด็กหากลูกของคุณแม่มีความพร้อมที่จะแยกห้องนอนได้เร็ว ก็จะเป็นการที่คุณพ่อคุณแม่สามารถฝึกให้ลูกนอนคนเดียวได้ แต่ในกรณีของลูกที่ค่อนข้างงอแง😭และติดการอยู่กับพ่อแม่ เด็กจะมีความพร้อมช้าที่จะแยกห้องนอนและปฏิเสธการแยกห้องนอนอยู่เสมอ     สรุปก็คือ การที่ให้ลูกนอนคนเดียวและการที่ให้ลูกนอนกับพ่อแม่นั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป ล้วนขึ้นอยู่กับการพูดคุยระหว่างพ่อแม่ รวมไปถึงความพร้อมของเด็ก👶แต่ละคน ทั้งนี้คุณแม่ควรพิจารณาว่าถึงในช่วงวัยไหนที่ควรฝึกให้ลูกแยกห้องนอน🛌 เพราะจะเป็นผลดีต่อตัวลูกเองในอนาคตค่ะ

Content Image

ให้ลูกหยุดกินนมแม่เมื่อไหร่ดี?

หลายๆท่านอาจกำลังสงสัยว่าเมื่อไหร่จึงควรจะหยุดให้นมแม่ดี และเมื่อจะหย่านมควรต้องทำอย่างไร ดังนั้นในวันนี้เราได้นำคำตอบและเคล็ดลับดีๆ มาฝากกันค่ะ นมแม่นั้นสำคัญอย่างไร?✨สร้างความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูกหากเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จะสามารถสร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างแม่และลูก👶ได้ อาจเป็นเพราะแม่และลูกจะมองหน้ากันขณะให้นมและลูกก็จะนำมือเล็กๆ มาจับมือแม่ไว้ ทำให้ความสัมพันธ์💖ระหว่างแม่และลูกใกล้ชิดกันมากขึ้นกว่าเดิม✨ควรให้นมแม่จนถึงอายุเท่าไหร่?โดยยูนิเซฟและองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แนะนำไว้ว่าควรให้นมแม่อย่างเดียว🍼จนลูกอายุ 6 เดือน และควรให้ต่อไปจนอายุครบ 2 ขวบหรืออาจให้นานกว่านั้น โดยจะหย่านมกันส่วนมากเมื่ออายุ 2-3 ขวบค่ะขั้นตอนในการหย่านมแม่✨ลดเวลาในการดูดนมของลูกหากลูกน้อยทานนมแม่🍼 ให้ค่อยๆ ลดเวลาการดูดลงค่ะ เมื่อลดการดูดลงก็จะมีการผลิตน้ำนมน้อยลงตามธรรมชาติ และให้ฝึกลูกให้ดื่มนมจากถ้วยแทน หากลูก👶ของคุณปฏิเสธที่จะดื่มนมจากถ้วย คุณพ่อคุณแม่อาจลองเสนอน้ำผลไม้หรือน้ำเปล่าให้ลูกดื่มก่อนก็ได้ค่ะ✨ลดจำนวนครั้งลงอีกวิธีหนึ่งที่ทำได้คือการลดจำนวนครั้งในการให้นมลง เช่นในหนึ่งวันเคยให้นม🥛 3 เวลา ก็อาจลดเหลือวันละ 2 เวลาก่อน แล้วค่อยๆ ลดเหลือวันละ 1 เวลา จนลูกเลิกได้ในที่สุดค่ะ ✨เพิ่มปริมาณอาหารอื่นๆการเพิ่มปริมาณอาหารอื่นๆ🍲ที่ไม่ใช่นม เป็นอีกวิธีที่สามารถใช้ได้ เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกอิ่มนานขึ้นนั่นเองค่ะ แต่ก็จะต้องดูว่าอาหารที่เพิ่มขึ้นมามีประโยชน์และสารอาหาร🥗ที่ครบถ้วนหรือไม่นะคะ โดยค่อยๆปรับสัดส่วนอาหารเพิ่มขึ้น และค่อยๆลดนมทีละน้อยจนหย่านมแม่ได้เองค่ะ ✨ให้นมอื่นแทนส่วนใหญ่แล้วลูกมันจะไม่ยอมทานนม🥛อื่นๆนอกจากนมของแม่ ดังนั้นอาจจะเป็นวิธีที่ยากหน่อย แต่หากลองให้ลูกตอนที่หิวจัดๆ จะทำให้ลูกไม่มีทางเลือกจนต้องยอมกิน😔 เมื่อลูกชินก็จะสามารถหย่านมแม่ได้เองค่ะ เปลี่ยนให้ลูกดื่มจากถ้วย✨หัดให้ลูกดื่มน้ำจากถ้วยเมื่อลูกน้อยอายุ 8 ถึง 9 เดือน คุณพ่อคุณแม่ควรเริ่มหัดให้ลูกน้อยดื่มน้ำจากถ้วย อาจเริ่มทีละนิดๆ โดยอาจแสดงให้ลูกของคุณเห็นถึงวิธีการดื่มจากถ้วย🥛 และให้ลูกทำตาม ลูกน้อยอาจมีการร้องอยากดื่มนมแม่ คุณแม่ก็จะต้องใจแข็งและอุ้มปลอบลูกน้อยนะคะ✨เปลี่ยนให้กินนมจากถ้วยหากจะให้ลูกหย่านมขวด🍼ก็ต้องค่อยๆทำเช่นกันค่ะ เริ่มต้นด้วยมื้ออาหารกลางวันก่อนด้วยการลองให้ลูกดื่มนมจากแก้ว เพราะหากเป็นตอนเช้าลูก👶จะหิวและอาจไม่อยากลองทานอะไรที่แปลกใหม่ร้องไห้โวยวายได้✨ลองในมื้ออื่นๆด้วยหากลูกเริ่มดื่มนมจากถ้วยในมื้อเที่ยงแล้ว ลองเพิ่มให้ดื่มนมจากถ้วย🥛ในมื้ออื่นๆด้วย โดยอาจเว้นมื้อก่อนนอนไว้ก่อน เพราะลูกยังคงต้องการดูดนมเพื่อให้ตัวเองสบายใจและสามารถนอนหลับได้อย่างสบาย โดยอาจค่อยๆลดทีหลังค่ะ

Content Image

วิธีรับมือเมื่อลูกวิ่งหกล้มแล้วเลือดออก

     เมื่อเด็กๆวิ่งเล่น🏃‍♀️นั้นมักจะไม่พ้นกับอาการหกล้มและมีเลือดไหลออกมาจากร่างกาย วันนี้ทางบทความเราได้รวบรวมวิธีการรับมือกับเหตุการณ์ที่ลูกของคุณแม่หกล้มแล้วมีเลือดออก คุณแม่ต้องปฐมพยาบาลอย่างไรบ้าง เรามาหาคำตอบไปพร้อมๆกันค่ะ💁‍♀️ลักษณะแผลจากการลื่นล้มแล้วเลือดออก💫แผลถลอกแผลถลอก มักเกิดจากการที่ผิวหนังของลูกเสียดสีกับพื้นที่มีลักษณะขรุขระ แผนลักษณะนี้จะเป็นแผลที่ค่อนข้างตื้นและมีเลือดไหล🩸ซึมๆออกมาอยู่เรื่อย คุณแม่สามารถทำการใช้สำลีหรือผ้าสะอาดมาเช็ดบริเวณรอบแผล เพื่อเป็นการกำจัดสิ่งสกปรกที่อยู่บริเวณรอบแผล หลังจากนั้นนำสำลีไปชุบไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เพื่อมาทำความสะอาดแผลอีกรอบ แล้วจึงนำเบตาดีนมาทารอบๆแผล เพื่อเป็นการป้องกันการติดเชื้อ🦠ให้กับแผลลูกและยังทำให้แผลแห้งเร็วขึ้น💫แผลปากแตกแผลปากแตกมักจะเกิดจากการลื่นล้มหรือหกล้มจนทำให้บริเวณคางหรือริมฝีปาก👄ของลูกมีเลือดออก เกิดจากการไปกระแทกกับสิ่งต่างๆอย่างรุนแรง ผลที่ร้ายแรงจากอาการปากแตกนั้นอาจทำให้ส่งผลกระทบต่อฟัน🦷ของลูกได้ เครื่องลูกอาจจะมีอาการฟันโยกได้ วิธีการรักษาคือคุณแม่ควรจะต้องทำการหยุดเลือดที่ไหลก่อน โดยการใช้ผ้าที่สะอาดมาซับเลือดให้ลูก และให้ลูกบ้วนน้ำเปล่าเพื่อล้างทำความสะอาด และในช่วงที่เด็กๆมีแผลเกิดขึ้นบริเวณปากนั้น ควรให้ลูกทานอาหารอ่อนๆไปก่อน และหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณนั้น และหากลูกน้อยของคุณแม่ท่านใดมีอาการฟันหัก ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ทันทีค่ะ💫แผนที่บริเวณศีรษะการที่ลูกหกล้มแล้วหัวไปกระแทกกับสิ่งของที่มีลักษณะแข็งนั้นอาจทำให้เกิดอาการหัวโน🤕 หรือหัวแตกขึ้นได้ การปฐมพยาบาลแผลที่บริเวณศีรษะนั้น คุณแม่ควรนำผ้าที่สะอาดมาห่อน้ำแข็ง🧊แล้วทำการประคบไปที่ศีรษะเพื่อเป็นการลดอาการบวมที่เกิดขึ้นบริเวณแผล  และถ้าหากลูกมีอาการที่รุนแรง เช่น อาการปวดศีรษะ คุณแม่ไม่ควรปล่อยไว้นานและควรพาลูกไปรับการรักษาทันทีค่ะ💫แผลจากการถูกของมีคมบาดแผลจากการถูกของมีคมบาด เช่น มีด🗡️ และกรรไกร✂️ คุณแม่ควรระมัดระวังการติดเชื้อให้ได้มากที่สุด โดยอันดับแรกควรนำผ้าที่สะอาดมากมากดบริเวณแผลของลูกไว้ และใช้ผ้าก๊อซสะอาดมาพันแผลหลายๆรอบเพื่อเป็นการหยุดเลือด หลังจากนั้นให้ทำการทำความสะอาดแผลให้เรียบร้อย และปิดแผลด้วยผ้าก๊อซหรือพลาสเตอร์ แต่อย่างไรก็ตามถ้าหากคุณแม่พบว่าแผลของลูกน้อยเริ่มมีอาการบวมแดงมากขึ้น ควรรีบพาลูกไปไปพบแพทย์ทันทีค่ะวิธีการป้องกันไม่ให้ลูกลื่นล้มจนมีแผล👉ควรดูแลลูกอย่างใกล้ชิดคุณแม่ควรดูแลลูกอย่างใกล้ชิดในขณะที่ลูกทำกิจกรรมต่างๆหรือแม้กระทั่งในขณะที่ลูกเล่น ไม่ควรปล่อยให้ลูกอยู่ไกลจากสายตา👀 เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดขึ้นได้กับลูกน้อยอยู่ตลอดเวลา👉ห้ามไม่ให้ลูกเล่นบนที่สูงคุณแม่ไม่ควรปล่อยให้ลูกอยู่ในที่สูง เพราะนั่นอาจทำให้ลูกพลัดตกลงมาจนเกิดอุบัติเหตุได้ ถือว่าเป็นการกระทำที่ประมาทและอาจส่งผลต่อชีวิตลูกได้💀👉ไม่ปล่อยให้ลูกอยู่ลำพังไม่ว่าจะเป็นสถานที่ไหนก็ตาม คุณแม่ไม่ควรปล่อยให้ลูกเล่นอยู่คนเดียวตามลำพัง👶 เพราะการที่ลูกเล่นคนเดียวนั้นอาจจะทำให้ได้รับอันตรายหรืออุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดได้ค่ะ👉ละเว้นการอยู่ในพื้นที่เสี่ยงคุณแม่ไม่ควรปล่อยให้ลูกเล่นอยู่ในพื้นที่เสี่ยงอันตราย เช่น ใกล้สระน้ำ🏖️ พื้นที่ขรุขระ หรือพื้นที่ที่เสี่ยงจะเกิดอุบัติเหตุค่อนข้างรุนแรงต่อชีวิต     อุบัติเหตุนั้นสามารถเกิดขึ้นกับเด็กได้เสมอ โดยเฉพาะกับลูกน้อยที่คุณแม่รักสุดหัวใจ🥰  ดังนั้นคุณแม่ควรต้องดูแลเอาใจใส่ไม่ให้ลูกคลาดไปจากสายตา หรือเล่นอยู่คนเดียวตามลำพัง เพราะอาจเกิดอันตรายที่ทำให้ลูกต้องได้รับแผลหรืออาจอันตรายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

Village Baby Co., Ltd.

4F, 83 Uisadang-daero, Yeongdeungpo-gu, Seoul, Republic of Korea

Partnership inquiries babybilly.global@villagebaby.kr

|

|

Language

Copyright Baby Billy. All rights reserved.