Baby Image

ที่แอป Baby Billy คุณสามารถดูเนื้อหาเพิ่มเติมได้!

📖 บทความที่ถูกอ่านมากที่สุด

Content Image

ท้องแล้วฉีดน้ำหอมอยู่ระวัง! อันตรายกับลูกในครรภ์

น้ำหอมหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่หลายๆคนใช้ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจและเสน่ห์ให้กับเรา แต่เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์แล้วจะสามารถใช้น้ำหอมต่อไปได้หรือไม่ จะมีผลกระทบอะไรต่อทารกในครรภ์หรือเปล่า เราไปดูกันเลยค่ะท้องแล้วยังสามารถใช้น้ำหอมได้ไหม?หลีกเลี่ยงน้ำหอม?จากงานวิจัยพบว่าคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ควรหลีกเลี่ยงน้ำหอม เทียนหอม สเปร์หอม ไมโครเวฟ รวมถึงการใช้พลาสติก👃หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ผสมน้ำหอมไม่เพียงเท่านั้นคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงน้ำหอมที่ถูกผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น สบู่🧼 ผงซักฟอง น้ำยาซักผ้า ของใช้ในครัวเรือนและของใช้ต่างๆงานวิจัยบ่งบอกว่าอย่างไร?งานวิจัยจาก University Of Illinois พบว่าสารเคมีที่อยู่ในน้ำหอมนั้นมีผลต่อการพัฒนาสมอง🧠 โดยได้ทำการทดลองในหนูที่ตั้งครรภ์ และพบว่าหนูที่ใช้ชีวิตอยู่กับน้ำหอมและพลาสติกนั้น ลูกหนูที่เกิดมามีระดับปัญญาที่แย่กว่าโดยการทดลองยังสรุปได้ว่าแม้ว่าแม่หนู🐁จะไม่ได้รับผลกระทบแต่ลูกหนูนั้นได้รับผลกระทบโดยตรง ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงน้ำหอม สเปรย์ต่างๆ และพลาสติกนั่นเองค่ะหลังคลอดล่ะ ใช้น้ำหอมได้ไหม?หลังจากที่คุณแม่คลอดลูกแล้วก็ยังไม่ควรใช้น้ำหอมเพราะผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำหอม โคโลญจน์ สเปรย์ฉีดตัวหลายๆตัวมีส่วนผสมของสารเคมีที่สามารถเป็นอันตรายต่อสุขภาพของลูกน้อยได้ โดยหายลูกยังอ่อน👶อยู่ก็จะมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับสารเคมีที่เป็นอันตรายจากน้ำหอมเหล่านี้โดยการศึกษาของสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในปี 1991 พบว่าสารเคมี 95% ในน้ำหอมเป็นสารประกอบที่ทำมาจากปิโตเลียม รวมถึง Greenpeace ยังพบว่าแบรนด์น้ำหอมชื่อดังกว่า 36 แบรนด์ มีส่วนประกอบของสารเคมีที่สามารถก่อให้เกิดอันตรายได้ อย่างพาทาเลต และ มัสค์สังเคราะห์ ซึ่งสารเคมีสองตัวนี้สามารถมีผลกระทบต่อกระแสเลือด🩸ในสมอง🧠  รวมถึงยังทำให้เกิดอาการปวดไมเกรนได้สุดท้ายนี้สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมยังพบว่าสารเคมี Linalool ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในน้ำหอมสามารถกระทบต่อระบบหายใจและยังก่อให้เกิดอาการง่วงและซึมเศร้าได้อีกด้วย😴 (ขอบคุณข้อมูลจาก Anna O'rourke,her)ทราบอย่างนี้แล้วหากเป็นไปได้ก็ควรเลี่ยงการฉีดน้ำหอมกันไปก่อนเพื่อพัฒนาการและสุขภาพที่แข็งแรงของลูกน้อยนะคะ

Content Image

พาลูกตากแสงแดดยามเช้าดีไหม?

คุณพ่อคุณแม่หลายๆคน ไม่กล้าพาลูกไปตากแดดข้างนอกเพราะกลัวว่าแสงแดดจะเป็นตัวทำร้ายผิวของลูก เพราะทารกยังมีผิวที่บอบบาง แต่ความจริงแล้วหากเลือกช่วงเวลาการพาลูกน้อยออกไปตากแดดได้อย่างเหมาะสม แสงแดดก็สามารถเป็นประโยชน์ให้กับลูกน้อยได้นะคะ ข้อดีของการตากแดดยามเช้าช่วงไหนที่ควรพาลูกตากแดด?แม้ว่าผู้ปกครองหลายๆท่านอาจจะกังวลอยู่ว่าจะพาลูกน้อยตากแดด⛅ได้จริงหรอ แต่ผิวของลูกบอบบางนะ แต่จริงๆแล้ว หากเลือกที่จะตากแดดในยามเช้าซึ่งมีแสงแดดอ่อนๆ ก็จะมีประโยชน์ต่อทารกได้นะคะ แสงแดดดีอย่างไร?🌞วิตามินดีหากพาลูกน้อยตากแดดในยามเช้าลูกก็จะได้รับวิตามินดีค่ะ ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายของทารกจะต้องการโดนรังสียูวีอย่างน้อย 15 นาทีแต่ไม่ควรเกิน 30 นาทีในแต่ละวัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสีโทนผิวของทารกโดยในทารกที่มีผิวคล้ำก็จะต้องการเวลาในการตากแดด⛅มากกว่าค่ะ ข้อดีเมื่อลูกน้อยได้รับวิตามินดีคือ มันจะช่วยในการดูดซึมแคลเซียมที่เป็นตัวช่วยในการเสริมสร้างกระดูก🦴และฟัน รวมถึงเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย🌞ลดอาการตัวเหลืองในทารกแสงแดดจะสามารถช่วยลดอาการตัวเหลืองในทารก👶ที่เกิดจากการเจริญเติบโตของบิลิรูบินเมื่อแรกเกิด หากผู้ปกครองพาลูกไปรับแสงแดดประมาณ 15-20 ต่อวันในช่วงเช้า จะสามารถลดอาการตัวเหลืองของลูกได้🌞ช่วยควบคุมระดับอินซูลินแม้ว่าแสงแดดจะไม่ได้เป็นตัวช่วยให้ระดับของอินซูลินดีโดยตรง แต่วิตามินดีที่ได้รับมาจากแสงแดดสู่ร่างกายนั้นจะเป็นตัวช่วยควบคุมระดับของอินซูลิน📉 ฉะนั้นหากลูกได้รับแสงแดดตั้งแต่เมื่ออายุยังน้อยจะสามารถช่วยป้องกันภาวะโรคเบาหวานได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็ต้องออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็จะช่วยในการป้องกันโรคเบาหวานได้ค่ะ🌞ฮอร์โมนเซโรโทนินนอกจากนั้นแสงแดดยังช่วยในเรื่องของการผลิตเซโรโทนินให้ดีขึ้น ซึ่งฮอร์โมนเซโรโทนินเป็นที่รู้จักกันในนามของฮอร์โมนแห่งความสุขนั่นเอง ซึ่งจะช่วยควบคุมการย่อยอาหาร และการนอนหลับในทารก💤อีกด้วยค่ะ 🌞เพิ่มระดับพลังงานแสงแดดธรรมชาติจะเป็นตัวควบคุมการผลิตเมลาโทนินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับและตื่นนอน เมื่อทารกได้รับแสงแดด⛅ระหว่างวันก็จะทำให้ระดับของเมลาโทนินลดลงและเพิ่มระดับพลังงานในที่สุดค่ะพาทารก 0-6 เดือนตากแดดอย่างไรดีช่วงเวลาที่เหมาะสมช่วงเวลาที่เหมาะสมในการพาลูกน้อยแรกเกิดถึง 6 เดือนการเดินเล่นคือช่วงเวลาก่อน 10 โมงเช้า🕐 หรือช่วงเวลาหลังบ่าย 4 โมง แต่ไม่ควรให้ลูกโดนแสงโดยตรง ให้ใช้รถเข็นเด็กที่มีผ้าคลุมกันแดด และไม่ควรทาครีมกันแดดให้ลูก เพราะผิวของทารกจะไม่สามารถขับเคมีในครีมกันแดดได้ วิธีเตรียมตัวเมื่อพาลูกไปเดินตากแดดควรสวมใส่ชุดมีความเบาบางเพื่อให้หายใจได้สะดวก โดยควรจะใส่หมวกเพื่อป้องกันแสงแดดโดนใบหน้า หู คอ และศรีษะของลูกน้อย👶โดยตรง รวมถึงใส่เสื้อผ้าที่มีความยาวคลุมแขนและขาของทารกรวมถึงควรซื้อแว่นกันแดดที่สามารถป้องกันยูวีเอและยูวีบีได้ เพื่อลดการสัมผัสของแสงยูวี⛅กับดวงตาของลูกน้อย การป้องกันตั้งแต่ยังเล็กจะลดโอกาสจอประสาทตาถูกทำลาย ต้อกระจกและปัญหาอื่นๆเกี่ยวกับดวงตาเมื่อออกไปข้างนอกให้กางร่ม☂️ให้ลูก หรือเปิดร่มในรถเข็นเด็ก รวมถึงเมื่อให้ลูกนั่งรถยนต์ส่วนตัวก็ควรจะมีที่บังแสงแดดแบบตาข่าย รวมถึงควรใช้ฟิมล์หน้าต่างที่สามารถกรองยูวีได้มากที่สุดหากเป็นไปได้พาทารก 6-12 เดือนตากแดดอย่างไรดีช่วงเวลาที่เหมาะสมผู้เชี่ยวชาญแนะนำช่วงเวลาในการพาทารกออกแสงแดดไว้คือช่วงเวลา 7 ถึง 10 โมงเช้า โดยควรตากแดดเวลาประมาณ 10-15 นาที🕐 ซึ่งช่วงเวลาที่ทารกจะได้รับประโยชน์สูงที่สุดคือช่วงหลังพระอาทิตย์ขึ้นหนึ่งชั่วโมงและช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกหนึ่งชั่วโมง โดยไม่ควรให้ลูกตากนานเกิน 30 นาที เพราะหากเกินกว่านั้นอาจทำให้ลูกเกิดอาการแสบร้อน ระคายเคือง เกิดรอยแดงได้ค่ะ วิธีเตรียมตัวเมื่อพาลูกไปเดินตากแดด⛅ ควรจะยังใส่เสื้อผ้า หมวก ร่มตามข้างต้นเพื่อป้องกันลูกน้อย👶อยู่แต่ให้เพิ่มครีมกันแดดให้ลูกด้วย โดยตอนนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถทาครีมกันแดดให้ลูกน้อยได้แล้ว ซึ่งควรเลือกครีมกันแดดสำหรับทารกโดยเฉพาะ และควรมีค่า SPF อย่างน้อย 30 และสามารถป้องกันรังสียูวีเอและยูวีบีได้ค่ะ

Content Image

สารให้ความหวานในน้ำอัดลมก่อให้เกิดมะเร็ง?

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ยืนยันการจำแนกสารให้ความหวานเทียม แอสปาร์แตมเป็นสารที่ 'มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' หรือ 'Possibly carcinogenics to humans' ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้  📢 ในขณะที่ข้อโต้แย้งด้านความปลอดภัยยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็กล่าวได้ว่าแอสปาร์แตมสามารถพบได้ในอาหารและเครื่องดื่มหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มลดน้ำหนัก เจลาติน หมากฝรั่ง ไอศกรีม ยาสีฟัน ยาอมแก้ไอ ผลิตภัณฑ์จากนม แล้วแบบนี้เราจะมีโอกาสเป็นมะเร็งหรือไม่ สารนี้จะหายไปจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเลยหรือไม่ คุณแม่หลายๆท่านกำลังสับสนกับเรื่องนี้🤰🏻 บิลลี่ จึงขออาสามาเช็กข้อเท็จจริงค่ะ!😉ทำความรู้จักกับแอสปาร์แตม🍹แอสปาร์แตม.....มีรสหวานกว่าน้ำตาล 200 เท่า แทบไม่มีแคลอรีเลย🙅🏻‍♀️ หลายๆท่านอาจจะยังไม่คุ้นกับชื่อของแอสปาร์แตม ซึ่งความจริงแล้วเราสามารถพบเจ้าแอสปาร์แตมนี้ในชีวิตประจำวันของเราได้ โดยสารนี้ใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากได้รับการอนุมัติในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2524 จึงเป็นสารปรุงแต่งอาหารที่ถูกนำมาใช้เพื่อให้อาหารมีรสหวาน 👅 ในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกโดยปัจจุบันยังคงมีการใช้ในอาหารและเครื่องดื่มแคลอรี่ต่ำ อย่าง Coke Zero, Diet Coke หมากฝรั่ง ลูกอม โยเกิร์ต ไอศรีม ซอส และขนมอีกหลากหลายชนิด แต่ไม่นานมานี้องค์กรอนามัยโลกหรือ WHO ประกาศให้เจ้าสารที่ถูกใช้ในเชิงเพื่อสุขภาพ กลายเป็นสารก่อมะเร็งแทน ข่าวนี้ทำให้ผู้อ่านหลายๆท่านหนักใจ เพราะเราต่างต้องเคยบริโภคสารนี้กันทั้งนั้น รู้จักประเภทของสารก่อมะเร็งองค์การระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง (IARC) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ WHO ได้ประกาศให้แอสปาร์แตมเป็นสารที่ 'มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' หรือ 'Possibly carcinogenics to humans'💥 ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้  โดย IARC ได้ระบุให้แอสปาร์แตมเป็นสารก่อมะเร็งในระดับ 2B ซึ่งการนิยามสารก่อมะเร็งของ IARC สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระดับใหญ่ๆดังนี้ระดับที่ 1 เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานบ่งชี้มากพอในเชิงสถิติ ว่าก่อให้เกิดโรคมะเร็งในมนุษย์ สารกลุ่มนี้ตามกฎหมายและข้อกำหนดขององค์กรอาหารและยาในแต่ละประเทศ จะต้องไม่ถูกเติมหรือมีการปนเปื้อนในอาหารอยู่แล้ว มักเป็นสารที่ถูกใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและวัสดุอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า ตัวอย่างสารในกลุ่มนี้ได้แก่ สารหนูหรืออาร์เซนิค หรือสารในกลุ่มเบนซีนค่ะระดับที่ 2A เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานงานวิจัยออกมายืนยันเช่นกันว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ยังถือว่ามีจำนวนงานวิจัยที่น้อย จึงได้แต่ใช้คำว่า 'มีแนวโน้มที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' แทน ยังไม่สามารถยืนยันได้เพราะยังมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือไม่เพียงพอค่ะ อย่างไรก็ตามสารในกลุ่มนี้ก็ยังมีหลักฐานบ่งชี้เพียงพอว่าก่อมะเร็งได้ในสัตว์ทดลองค่ะ ยกตัวอย่างเช่นซิลิกาที่ใช้ทำซองดูดความชื้นนั่นเองค่ะระดับที่ 2Bเป็นสารที่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ส่วนหนึ่งบ่งชี้ว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะยืนยัน ในกรณีของการก่อมะเร็งในสัตว์ก็มีแต่ยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าสามารถก่อมะเร็งได้เช่นเดียวกันค่ะ ซึ่งเจ้าแอสปาร์แตมเองก็อยู่ในกลุ่มนี้ นั่นทำให้เราสามารถตีความได้ว่า ทางองค์กรอนามัยโลกให้ข้อมูลว่าแอสปาร์แตมอาจจะก่อมะเร็งทั้งในสัตว์และในคน แต่ยังเป็นหลักฐานที่มีจำนวนน่าเชื่อถือไม่เพียงพอ เมื่อคำนวณความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติค่ะระดับที่ 3 เป็นสารที่ยังไม่มีข้อมูลว่าสามารถก่อมะเร็งได้ทั้งในร่างกายมนุษย์เองและร่างกายของสัตว์ค่ะสรุปแล้วแอสปาร์แตมอันตรายแค่ไหนแอสปาร์แตมก่อมะเร็งจริงหรือไม่?โดยความจริงแล้วสารระดับ 2B นั้นสามารถพบได้ในส่วนผสมในของที่เรารับประทานหรือใช้กันในชีวิตประจำวัน🍽️ อย่าง กรดคาเฟอิกในกาแฟ ว่างหางจระเข้ น้ำมันมะพร้าว รวมถึงกิมจิและผักดองอื่นๆด้วย ซึ่งคนไม่ได้ให้ความสำคัญเท่ากับสารทดแทนความหวาน หลักฐานจึงยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าแอสปาร์แตมจะทำให้เราเป็นมะเร็งจริงๆ แม้กระทั่งหลักฐานในสัตว์ทดลองเองก็ยังไม่ได้มีจำนวนมากพอที่จะยืนยันได้ จึงสามารถสรุปได้ว่า ไม่ได้ห้ามบริโภคเป็นอาหาร และไม่ได้หมายความว่าการรับประทานแอสปาร์แตมจะทำให้เกิดมะเร็ง แต่มีความจำเป็นที่จะต้องจำกัดปริมาณในการรับประทานสารให้ความหวานเทียมค่ะ🙌🏻  ยังสามารถรับประทานน้ำอัดลม 0% ได้หรือไม่?ยังสามารถรับประทานได้ค่ะ โดยค่าที่ปลอดภัยในการรับประทานแอสปาร์แตมจะอยู่ที่ไม่เกิน 40 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม👀 หากจะพูดให้เห็นภาพ หากคุณผู้อ่านมีน้ำหนักตัวประมาณ 50 กิโลกรัมนั่นหมายความว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานแอสปาร์แตมได้ในปริมาณที่ปลอดภัยไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ในน้ำอัดลมที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลหนึ่งกระป๋อง มักใส่แอสปาร์แตมไม่เกิน 300 มิลลิกรัม นั่นแปลว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานน้ำอัดลมชนิดนั้นได้ประมาณ 6-7 กระป๋องโดยประมาณเลย ซึ่งนับเป็นปริมาณที่ค่อนข้างเยอะมากต่อวัน หากไม่ได้ติดน้ำอัดลมกลุ่มนี้ เรามักจะกินไม่ถึงปริมาณที่มีความเสี่ยงว่าจะก่อมะเร็งอยู่แล้วค่ะ🫡 ข้อควรระวังสำหรับผู้ปกครอง🍹สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์จากการศึกษาที่ประกาศโดย American Society for Reproductive Medicine ในปี 2559 📑 สารให้ความหวานเทียมในเครื่องดื่ม 0% จะลดความสามารถของผู้หญิงในการปฏิสนธิและส่งผลต่อสุขภาพของเซลล์ไข่ โดยหากบริโภคในระหว่างตั้งครรภ์ ว่ากันว่าอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์และทำให้เด็กเสี่ยงเป็นโรคอ้วนได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มอัดลมที่มีระดับน้ำตาลสูงหากเป็นไปได้นะคะ!🙅🏻‍♀️🍹 แล้วคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังเลี้ยงลูกอยู่ล่ะ?หากคุณมีโรคทางพันธุกรรมที่เรียกว่าฟีนิลคีโตนูเรีย (PKU) ซึ่งไม่สามารถเผาผลาญแอสปาร์แตมได้ ก็ควรจะหลีกเลี่ยงการรับประทานสิ่งที่มีแอสปาร์แตม 🚫 โดยไม่ใช่เพียงคุณแม่และลูกน้อยเท่านั้นที่ควรเลี่ยง แต่ยังรวมถึงแม่ที่วางแผนหรือกำลังตั้งครรภ์ด้วย ในกรณีของทารกแรกเกิด ทารกจะได้รับการทดสอบที่โรงพยาบาลหลังคลอด ดังนั้นหากมีความผิดปกติก็สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนั้นไม่ต้องกังวลจนมากเกินไปนะคะ!แม้ว่ากระทรวงความปลอดภัยด้านอาหารและยาจะได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยของสารให้ความหวาน แต่คุณพ่อคุณแม่บางคนก็ยังคงกังวล ท่ามกลางความขัดแย้งเรื่องแอสปาร์แตม หัวหน้าสำนักโภชนาการและความปลอดภัยด้านอาหารของ WHO แนะนำว่าควรพิจารณา 'การดื่มน้ำแทนเครื่องดื่มที่มีรสหวาน🥛' แทนที่จะมองหาของหวานอื่นทดแทน ลองเลิกนิสัยชอบความหวานและพึ่งพาอาหารแปรรูป แล้วหันมาใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพกันดูนะคะ 💖

Content Image

หนูร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน!

คุณพ่อคุณแม่มือใหม่หลายๆ คนอาจสงสัยว่าทำไมลูกถึงร้องไห้งอแงหนัก นอกจาก หิว หรือ รู้สึกไม่สบายตัวแล้วยังมีเหตุผลอื่นอีกที่ทารกร้องไห้ เหตุผลเหล่านั้นคืออะไรเราไปดูกันค่ะเหตุผลที่ทารกร้องไห้✨ร้องเพราะหิวการร้องไห้เพราะหิวเป็นเหตุผลอันดับต้นๆ ที่คุณพ่อคุณแม่จะนึกถึง เพราะนมแม่นั้นจะย่อยง่ายและเป็นปกติที่ลูกจะรู้สึกหิวบ่อย โดยควรให้นมแม่กับลูกทุกๆ 2-3 ชั่วโมงแล้วสังเกตว่าลูกหยุดร้องหรือไม่ หรือยังไม่หยุดร้องแปลว่าอาจมาจากสาเหตุอื่นและหากหยุดร้องแปลว่าถูกต้องแล้วค่ะ✨ร้องเพราะปวดท้องแต่ในเด็กบางคนที่ร้องไห้หนัก😭 อาจมีเหตุผลอื่นเช่น มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ บางคนร้องไห้นาน 2-3 ชั่วโมงก็มีค่ะ ความเชื่อและงานวิจัยส่วนใหญ่พบว่าเหตุผลหลักที่ทารก👶ร้องมักมาจากการมีลม☁️ในกระเพาะอาหารมากทำให้รู้สึกอึดอัดท้อง จึงทำให้ผู้เชี่ยวชาญมักแนะนำให้ทารกทานนมแม่เท่านั้นในช่วง 0-3 เดือน เพราะนมแม่จะย่อยได้ง่ายกว่าจึงลดการเกิดลมในท้องได้✨ร้องเพราะผ้าอ้อมเปียกเวลาลูกร้องไห้ คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมคอยเช็คผ้าอ้อมของลูกนะคะว่าเปียกหรือไม่ ✨ร้องเพราะง่วงนอนบางครั้งลูกอาจรู้สึกเหนื่อย หรือง่วงนอน แต่ไม่หลับ นั่นเป็นเพราะสภาพแวดล้อมรอบๆตัวอาจไม่เอื้ออำนวยให้ลูกนอน เช่นมีคนเยอะเสียงดัง อากาศร้อนเป็นต้นค่ะ✨ร้องโดยไม่มีเหตุผลโดยในทารก👶บางคนอาจร้องไห้วันละ 2-3 ชั่วโมงโดยไม่มีเหตุผล และ ไม่มีอาการเจ็บป่วย ซึ่งสามารถพบได้ในเด็กวัยก่อน 3 เดือน คุณพ่อคุณแม่หลายๆท่านอาจหาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้ว่าทำไมลูกถึงไม่หยุดร้องไห้ ยิ่งสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงดูลูกในช่วง 2-3 เดือนแรก มักพยายามหาเหตุผลต่างๆ ว่าลูกน้อยร้องเพราะอะไรจนเกิดความเครียด😞ร้องไห้โคลิก✨ร้องไห้โคลิกคืออะไร...?ทารกที่ร้องไห้มากๆ และร้องไห้เป็นช่วงเวลา🕐จะเรียกว่าร้องโคลิก ซึ่งทารกจะร้องไห้เก่งและจะร้องเป็นเวลาเดิม เช่น ทุกๆ 4 โมงเย็น โดยยังไม่มีการระบุสาเหตุที่แท้จริงว่ามาจากสาเหตุใด✨จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกร้องโคลิกหากเป็นการร้องโคลิก😭  ทารกจะยังเจริญอาหารและยังทานนมได้เยอะ น้ำหนักของลูกน้อยก็จะขึ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยอาการโคลิกนี้จะหายไปเองหลังผ่าน 3 เดือนไปแล้วค่ะสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำ✨สังเกตลูกน้อยให้คุณพ่อคุณแม่พยายามสังเกตพฤติกรรมและอารมณ์พื้นฐานของลูก โดยพยายามตอบสนองให้ตรงกับความต้องการของลูกทันที (ใน 6 เดือนแรก) เพื่อที่ว่าลูกจะได้ไว้ใจและเกิดความผูกพันกับพ่อแม่ โดยให้พยายามสัมผัสลูกบ่อยๆจะทำให้ลูกร้องน้อยลงได้✨ไม่วิตกกังวลจนเกินไปคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรวิตกกังวลจนเกินไป ให้สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย และอาจผลัดกันเลี้ยงดูลูกพร้อมกับเปิดเพลงเบาๆ คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ควรทำใจไว้ล่วงหน้าว่าลูกน้อยในช่วง 3 เดือนแรกอาจมีอาการร้องไห้หนัก😭 โดยอาจจะหาเหตุผลได้ หรือ หาเหตุผลไม่ได้ สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทำได้คืออดทนและใจเย็น โดยหากยังรู้สึกไม่สบายใจ อาจลองพาน้องไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจดูความผิดปกติของร่างกายได้นะคะ🏥

Content Image

เคล็ดลับฝึกให้ลูกพูดสองภาษาตั้งแต่เด็ก

ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวไกลทำให้เรามีโอกาสได้พูดคุยจากคนต่างชาติได้ง่ายขึ้น รวมถึงเมื่อทำงานก็มีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร ดังนั้นการสอนให้ลูกพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษาก็จะทำให้ลูกได้เปรียบ ซึ่งเราจะมีวิธีสอนลูกอย่างไรให้ลูกสามารถพูดสองภาษาได้อย่างเป็นธรรมชาติและเรียนรู้อย่างรวดเร็ว เราไปดูกันเลยค่ะ กลยุทธ์การสอนภาษาที่สองให้ลูกควรจะสอนลูกพูดภาษาที่สองตั้งแต่เมื่อไหร่ดี?คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนให้ลูกพูดภาษาที่สอง🔤ได้ตั้งแต่ลูกยังอยู่ในครรภ์ได้เลยค่ะ โดยอาจอ่านนิทาน หรือ เปิดเพลงให้ฟังโดยใช้ภาษาที่สองก็จะทำให้ลูกทำความคุ้นเคยและเริ่มรับรู้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เพราะหากคุณแม่พูดกับลูกในครรภ์🤰บ่อยๆ ลูกก็จะเกิดการเรียนรู้และมีความคุ้นเคยกับมันค่ะ หลังคลอด คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถสอนต่อได้เลยจนลูกอายุ 7 ขวบ เพราะหลังจากนั้นลูกจะมีความคิดเป็นของตนเองและอาจต่อต้าน หรือ อาจรู้สึกสับสน รวมถึงยังเป็นวัยที่เข้าเรียนและได้รับการเรียนจากโรงเรียน🏫แล้วด้วยค่ะ คุณพ่อคุณแม่คือกุญแจสำคัญเทคนิคที่ดีที่สุดในการสอนลูกพูดสองภาษาคือตัวคุณพ่อ👨และคุณแม่👩เองค่ะ เพราะหากคุณพ่อคุณแม่พูดภาษาที่สองกับลูกในชีวิตประจำวันทุกๆวันๆ ทำให้เป็นเรื่องปกติลูกก็จะสามารถพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นอีกหนึ่งภาษา🔤ที่ใช้ในทุกๆวัน โดยเวลาคุยกับลูกก็ไม่ควรแปลให้ลูก ให้เริ่มพูดคำง่ายๆก่อนเช่น Dog, Go, Yes, No แล้วค่อยพูดยาวๆเป็นประโยคก็จะทำให้ลูกค่อยๆเข้าใจเองค่ะ วิธีทำให้ลูกจดจำได้ง่ายขึ้นเปิดการ์ตูนให้ลูกดู📺คุณพ่อคุณแม่สามารถเปิดการ์ตูนที่เป็นภาษาที่สองให้ลูกฟัง เพื่อให้ลูกซึมซึบสำเนียงและการออกเสียงที่ถูกต้อง อาจเปิดเพลงที่เป็นภาษาที่สอง หรือ อ่านนิทานภาษาที่สองให้ลูกฟัง เมื่อลูกได้ฟังบ่อยๆก็จะทำให้ลูกจดจำคำศัพท์ต่างๆได้ดีขึ้นค่ะ โปสเตอร์ภาษา หนัง หนังสืออ่าน📖ก็เป็นอีกตัวช่วยที่เป็นประโยชน์เมื่อสอนภาษาที่สองให้เจ้าตัวเล็ก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถสอดแทรกภาษาที่สองผ่านกิจกรรมต่างๆได้ โดยไม่ควรทำให้เป็นเรื่องที่จริงจังเพราะลูกจะเกิดการต่อต้านและจะไม่อยากเรียนรู้ค่ะ ทำกิจกรรมอื่นพร้อมกับสอนภาษาไปด้วยเมื่อทำกิจกรรมพร้อมๆกับการเรียนรู้ภาษา🔤จะทำให้เด็กเรียนรู้และจดจำได้มากกว่า ดังนั้น เมื่อคุณพ่อคุณแม่พาลูกน้อยออกไปข้างนอกลองชวนลูกพูดคุยและลองบอกคำศัพท์ต่างๆ เมื่อพบสิ่งของหรือสิ่งมีชีวิตต่างๆระหว่างทาง หรืออาจเปิดเพลง🎶ภาษาที่สองให้ลูกเต้นตามจังหวะเพลงไปด้วย หรือจะชวนลูกดูหนังที่เป็นภาษาอังกฤษโดยไม่มีซับ เพื่อให้ลูกได้ดูและฟังการกระทำของตัวละคร และจับความหมายของคำพูดนั้นๆอยากให้พูดเก่งต้องให้ลูกคิดเป็นภาษาอังกฤษวิธีทำให้ลูกคิดเป็นภาษาที่สองเทคนิคสำคัญที่ทำให้ลูกเก่งพูดสองภาษาคือการฝึกให้ลูกคิดเป็นภาษาอังกฤษ🔤แล้วสื่อสารออกมาได้ทันทีโดยไม่ต้องแปลกลับจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ โดยพยายามสื่อสารกับลูกด้วยภาษาอังกฤษแบบไม่ต้องแปลความหมายให้ฟัง แม้ว่าในช่วงแรกของการพูดลูกอาจจะไม่เข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่พูดถึงอะไร คุณพ่อ👨คุณแม่👩สามารถบอกใบ้โดยการชี้หรือทำท่าทางประกอบเพื่อให้ลูกเข้าใจ แทนการแปลหรือบอกให้ลูกฟังแล้วลูกจะเข้าใจได้เองค่ะ ใช้ความอดทนการจะฝึกให้ลูกพูดภาษาที่สองนั้น คุณพ่อคุณแม่จะต้องใช้ความอดทน และรอให้ลูกเรียนรู้ คอยพูดคุยกับลูกเป็นภาษาที่สอง และชมเชยเมื่อลูกทำสำเร็จลูกก็จะมีกำลังใจในการพูดและเรียนรู้เองค่ะ 

👉 List บทความ4-6 เดือน

Content Image

ควรหย่านมตอนไหนดี?

โดยปกติแล้วคุณแม่ควรจะให้นมแม่กับลูกน้อยเพียงอย่างเดียวจนถึงอายุ 6 เดือน จากนั้นค่อยๆ เสริมให้รับประทานอาหารอื่นควบคู่กันไปกับการดื่มนมไปด้วยจนถึงอายุ 1-2 ปี หรืออาจนานกว่านั้น แต่ก็มีบางคนที่หย่านมก่อนอายุ 6 เดือน เราจะมาดูกันว่ามีปัจจัยอะไรที่ทำให้หย่านม และมีวิธีการที่จะให้ลูกหย่านมอย่างไรบ้างค่ะ  ปัจจัยที่ทำให้หย่านม?✨คุณแม่นมไม่เพียงพอในบางรายคุณแม่อาจมีน้ำนมไม่เพียงพอให้ลูก หรือ มีอาการเจ็บหัวนมขณะให้นมลูก โดยสองสิ่งนี้คุณแม่สามารถปรึกษากับคุณหมอ👩‍⚕️และหาวิธีแก้ไขได้ค่ะ ✨คุณแม่จะต้องกลับไปทำงานในบางรายคุณแม่จะต้องทำงานทำให้ไม่มีเวลาป้อนนมลูก แต่จริงๆแล้วคุณแม่สามารถปั๊มนมสำรองเอาไว้🍼และฝากให้คนอื่นป้อนให้ได้✨ลูกน้อยให้ความสนใจอาหารอย่างอื่นหรือในบางราย ลูกน้อยกลับมีความสนใจอาหารอย่างอื่น🍲มากกว่าการดื่มนมจากเต้า ทำให้หย่านมไววิธีการหย่านมลูก✨ลดความถี่และเวลาในการให้นมจากเต้าค่อยๆลดความถี่ในการให้นมจากเต้าลงแล้วลองเปลี่ยนให้ลูกดื่มนมจากขวดหรือจากแก้ว🥛ดูค่ะ โดยอาจลดลงอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เป็นอาทิตย์ละ 2 ครั้ง แล้วลดจำนวนไปเรื่อยๆ รวมถึงลดเวลาการให้นม เช่นจาก 15 นาที เหลือ 10 นาทีและค่อยๆลดลงจนกว่าจะหย่านม กินนมขวด🍼แทน เมื่อลูกน้อยดื่มจากเต้าน้อยลง เต้านมของคุณแม่ก็จะผลิตนมน้อยลงเช่นกันค่ะ ✨ใกล้ชิดกับลูกน้อยให้คุณพ่อคุณแม่อยู่กับลูกให้มาก พยายามแสดงให้ลูกรู้ว่าแม้จะหย่านมแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของคุณพ่อคุณแม่เหินห่างขึ้น👪วิธีฝึกให้ดูดนมจากขวด✨ป้อนก่อนเวลาที่เคยก่อนอื่นเลยคือคุณแม่ต้องป้อนนมด้วยขวดนมก่อนถึงเวลาที่ลูกเคยกินนมจากเต้าประมาณ 15 นาที🕐 หรือก่อนที่ลูกจะใกล้ตื่น โดยหากลูกขยับปากเหมือนจะตื่นก็ลองๆให้ลูกทานจากขวดนมดูค่ะ ✨ไม่ควรเสนอนมขวดเมื่อลูกหิวจัดตอนที่ลูกร้องไห้หิวนม ควรหลีกเลี่ยงการให้นมแม่จากขวด เพราะจะยิ่งทำให้ลูกหงุดหงิดและปฏิเสธการกินนมแม่จากขวด😤✨ลองให้คนอื่นป้อนแทนคุณแม่อาจลองใช้วิธีให้คนอื่นป้อนนมแทน อาจเป็นคุณพ่อก็ได้ค่ะ โดยคุณแม่จะต้องอยู่ห่างๆ เพราะแม้ว่าลูกจะมองไม่เห็นแต่เขาสามารถได้กลิ่นและอาจไม่ยอมกินนมจากขวดได้นั่นเองค่ะ โดยให้คุณพ่อ👨เปลี่ยนท่าอุ้มให้ต่างจากที่คุณแม่เคยอุ้มให้นมเป็นประจำ เพราะลูกจะจำได้ว่าท่านี้จะต้องได้ดูนมจากเต้า อาจให้ลูกนอนในเปลแทนก็ได้ค่ะ✨ลองเปลี่ยนจุกนมคุณแม่อาจลองเปลี่ยนจุกนม🍼หลาย ๆ แบบ เพื่อดูว่าลูกชอบจุกนมแบบไหน ลองเลือกจุกนมที่มีลักษะคล้ายหัวนมของแม่ พยายามเลือกจุกนมที่มีลักษณะนิ่มและยืดหยุ่นก็จะทำให้ลูกเปลี่ยนมาดูดนมจากขวดได้ง่ายขึ้นค่ะ สาเหตุที่ทำให้ลูกไม่ยอมหย่านมแม่✨กำลังไม่สบายลูกน้อยของคุณพ่อคุณแม่อาจกำลังไม่สบายจากการเป็นหวัด หรือมีไข้ โดยเมื่อไม่สบายลูกจะต้องการดื่มนมจากเต้า🍼ของคุณแม่เพราะลูกจะรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นขณะดื่มนมจากเต้านั่นเองค่ะ✨อยู่ในช่วงปรับตัวลูกน้อยอาจกำลังปรับตัวจากการเปลี่ยนมาดื่มนมจากขวด หรือ นมจากแก้ว🥛คุณพ่อคุณแม่ลองค่อยๆ สังเกตลูกดูและค่อยเป็นค่อยไปในการหย่านมรู้อย่างนี้แล้วคุณพ่อคุณแม่👪ก็อาจจะต้องใจเย็นๆ และค่อยๆให้ลูกหย่านมจากเต้า แล้วเปลี่ยนมารับประทานนมจากขวด หรือจากแก้วกันแบบไม่ต้องเร่งรีบนะคะ 

Content Image

อาหารเสริมสำหรับลูก6-8เดือน

เมื่อลูกน้อยอายุได้ 6-8 เดือน จะเป็นวัยที่ลูกต้องการได้รับสารอาหารเสริมนอกจากการทานนม หลายๆคนอาจจะกังวลและไม่ทราบว่าควรจะให้ลูก👶ทานอะไรได้บ้างวันนี้เรามีคำตอบมาให้แล้วค่ะ เวลาไหนที่เหมาะสมที่จะให้อาหารเสริมกับลูกน้อย✨พัฒนาการทางร่างกาย มีการแสดงความสนใจอาหาร🍲 มีการทำท่าอยากเคี้ยว เริ่มนั่งได้ มีการทำงานของกล้ามเนื้อการกลืน (อายุ 4 เดือนขึ้นไป)✨พัฒนาการระบบย่อยอาหาร เมื่อทารกอายุ 4-6 เดือน จะสามารถย่อยแป้ง🍚ได้ด้วยน้ำย่อย amylase และย่อยไขมันได้เมื่ออายุ 6-9 เดือน✨พัฒนาการระบบภูมิต้านทานเมื่อทารกอายุ 6 เดือน👶 ขึ้นไปจะมีภูมิต้านทานที่ดีขึ้น ทำให้แพ้อาหารน้อยลงค่ะ อาหารที่ควรเลือก✨ไข่แดง ควรให้ไข่ขาว🥚เมื่ออายุ 7 เดือนขึ้นไปเนื่องจากทารกมีโอกาสแพ้ไข่ขาวได้ โดยไม่ควรให้เป็นยางมะตูมควรต้มให้สุก ✨ตับสามารถให้ทั้งตับหมูและตับไก่🐔 เป็นแหล่งอาหารและแร่ธาตุต่างๆ ได้ดีเลยล่ะค่ะ ✨เนื้อสัตว์ต่างๆสามารถให้เนื้อสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ปลา🐟 หมู ไก่ ซึ่งมีโปรตีน และวิตามินต่างๆ และ กรดไขมัน DHA จากปลาด้วยค่ะ✨ถั่วสามารถให้ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองหรือถั่ว🥜เมล็ดแห้ง โดยควรต้มจนสุกและบดละเอียด เพื่อป้องกันท้องอืด✨ผลไม้ สามารถให้ลูกทาน ส้ม กล้วยน้ำว้า🍌 มะม่วงสุก มะละกอสุกเป็นของว่างได้✨ผักต่างๆ การให้ลูกทานผักจะช่วยเรื่องการขับถ่าย เพื่อมีใยอาหารและแร่ธาตุวิตามินต่างๆ มากมายค่ะ อาจให้เป็น ผักบุ้ง ฟักทอง ตำลึง🥬✨ข้าวสามารถให้ข้าวตุ๋น🍚  หรือ ข้าวต้มได้ โดยควรตำข้าวให้ละเอียดก่อนนำมาต้มการให้อาหารลูกวัยนี้✨ควรให้อาหารลูกอย่างไรดี?เมื่อลูกเข้าสู่อายุ 6 เดือน - 1 ปี ลูกจะต้องการอาหารเสริมมากขึ้น โดยคุณแม่ควรจะลดปริมาณน้ำนม🥛น้อยลงแต่อย่างไรก็ตามน้ำนมยังควรเป็นอาหารหลักของลูกในช่วงขวบแรก โดยควรจะได้รับวันละประมาณ 750-900ซีซี หรือ 25-30ออนซ์ต่อวันค่ะ ✨วิธีทำอาหารให้ลูกทานง่ายโดยเมื่อเริ่มให้อาหารลูกอาหารจะต้องค่อนข้างเปียก กึ่งเหลวกึ่งหนืด โดยอาจน้ำอาหารบด🥘ด้วยน้ำนมแม่🥛 หรือน้ำต้มสุกก็ได้ค่ะ ซึ่งคุณแม่จะต้องทำให้อาหารสุกนิ่มมากๆ เพื่อให้ลูกกลืนได้ง่ายค่ะ

Content Image

วิธีป้องกันปัญหาสายตาให้ลูกน้อยของคุณ

ดวงตา เป็นอวัยวะที่สำคัญและบอบบางมาก ซึ่งเป็นบริเวณที่จะต้องได้รับการระมัดระวังและรักษาทันทีเมื่อมีความผิดปกติ ปัญหาสายตาในเด็กก็ควรได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างยิ่ง เพราะมีปัจจัยหลายๆอย่างที่อาจทำให้เกิดความผิดปกติได้ จึงควรพาลูกน้อยไปประเมินและวินิจฉัยกับจักษุแพทย์อย่างเหมาะสมนั่นเองค่ะ วิธีป้องกันปัญหาสายตาในเด็กคุณพ่อคุณแม่สามารถป้องกันปัญหาสายตาให้ลูกได้ดังนี้✨คอยบอกให้ลูกรักษาระยะห่างหน้าจอทีวี คอมพิวเตอร์🖥️ หรือ กระดานเรียนให้เหมาะสม✨อย่าให้อยู่หน้าจอนานจนเกินไป ส่งเสริมให้ลูกเล่นกลางแจ้ง เพราะการได้ออกไปนอกบ้านจะทำให้ตา👀เคลื่อนไหวตลอดเวลา และการสัมผัสกับแสงแดดก็ช่วยป้องกันสายตาสั้นได้บางกรณีอีกด้วย✨ให้ทานผักใบเขียว และ อาหารที่มีกรดอะมิโน และโปรตีน✨ตรวจตาเป็นประจำ✨ทานอาหารเพื่อสุขภาพ🥗✨หากสงสัยว่าลูกมีปัญหาทางสายตาให้พาไปตรวจทันที✨ไม่ให้ลูกสัมผัสดวงหน้าด้วยมือที่สกปรกและให้ลูกล้างมือทุกครั้งที่กลับจากข้างนอก✋✨หากตามีการติดเชื้อ เช่น ตาแดง ควรให้หยุดเรียนเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค ✨หากลูกมีอาการ ปวดหัว กะพริบตาถี่ๆ หรือ ตาเหล่ควรพาไปตรวจสายตาโดยเร็วที่สุดการตรวจสายตาตามวัยแรกเกิดในทารกแรกเกิด👶 แพทย์จะทำการทดสอบการสะท้อนสีแดงจากจอประสาทตาของทารกเพื่อประเมินการมองเห็น และดูว่ามีความผิดปกติหรือไม่ รวมถึงตรวจความผิดปกติของดวงตาและเปลือกตาภายนอก ประเมินลักษณะของรูม่านตา 6 เดือน – 1 ปีประเมินโดยการทดสอบการมองเห็น👀 ลักษณะของรูม่านตา ตรวจสุขภาพตาและตรวจหาโรคตาที่พบบ่อยในเด็กเป็นต้น3 ปี – 3 ปี ครึ่งในช่วงวัยนี้เด็กจะโตพอที่จะให้ความร่วมมือในการตรวจวัดสายตา👓ได้ ดังนั้นควรพาลูกไปตรวจวัดเพื่อดูว่ามีสายตาสั้น ยาว เอียงหรือไม่ และควรตรวจภาวะตาสองข้างไม่มองในทิศทางเดียวกัน เช่น ตาเหล่ ตาเข ตาขี้เกียจ เป็นต้นเด็กวัยเรียนเมื่อเข้าสู่วัยเรียน และหากสงสัยว่าลูกมีปัญหาทางสายตา ผู้ปกครองก็ควรพาน้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจวัดสายตา โดยปัญหาทางสายตาที่พบได้บ่อยๆในวัยนี้คือสายตาสั้นนั่นเอง ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการตัดแว่นใส่ ซึ่งหากสงสัยว่ามีปัญหาทางสายตาอื่นๆ ก็ควรให้จักษุแพทย์👨‍⚕️ตรวจดวงตาอย่างละเอียดซึ่งหากผู้ปกครองสังเกตเห็นอาการผิดปกติแล้ว ก็ควรให้ลูกได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ทั้งนั้นโรคเกี่ยวกับตาบางอย่างก็จะต้องอาศัยการปลูกฝังพฤติกรรมที่ดีให้ลูกน้อยเพื่อป้องกันโรคตาต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้นั่นเองค่ะ

Content Image

ทารกเริ่มออกเสียงอ้อแอ้ได้ตอนอายุกี่เดือน?

     การเดินทางของคำพูดและพัฒนาการทางภาษาในลูกน้อยเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ กระบวนการที่แผ่ออกไปในปีแรกของชีวิต ตั้งแต่เสียงอ้อแอ้🗣️และเสียงร้องในช่วงแรกไปจนถึงคำพูดแรกและต่อจากนั้น ลูกน้อยจะก้าวหน้าผ่านขั้นตอนต่างๆ คุณพ่อคุณแม่สามารถสนับสนุนการพัฒนาภาษาของลูกน้อยและช่วยให้พวกเขาปลดล็อกพลังอันเหลือเชื่อของการสื่อสาร และเพลิดเพลินไปกับความมหัศจรรย์ของการเดินทางทางภาษาของลูกน้อยได้นะคะ💁‍♀️พัฒนาการด้านการสื่อสารของลูกน้อยในระดับต่างๆ มีดังต่อไปนี้เดือนที่ 0  จุดเริ่มต้นของการสื่อสาร ในช่วงเดือนแรก ลูกน้อยสื่อสารผ่านเสียงร้อง😭 เสียงคูส และเสียงกลั้วคอเป็นหลัก การเปล่งเสียงตั้งแต่เนิ่นๆ เหล่านี้จำเป็นต่อการเชื่อมโยงและสร้างความสัมพันธ์กับผู้ดูแล ถึงแม้จะยังสร้างคำศัพท์ที่จดจำไม่ได้ แต่ลูกน้อยก็กำลังวางรากฐานสำหรับการพัฒนาคำพูดในอนาคตอยู่แล้ว เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ปกครองที่จะต้องตอบสนองต่อสัญญาณของทารกและมีส่วนร่วมในการโต้ตอบที่ผ่อนคลาย เนื่องจากจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่หล่อเลี้ยงสำหรับการเรียนรู้ภาษาค่ะเดือนที่ 2  ขยายขอบเขตการร้องเพลง ลูกน้อยภายในสิ้นเดือนที่สอง เริ่มทดลองกับช่วงเสียงร้องที่กว้างขึ้น พวกเขาอาจสร้างเสียงเหมือนสระเช่น อา และ โอ😮 และแม้แต่พยายามเสียงเหมือนพยัญชนะเช่น goo หรือ coo ความพยายามพูดพล่ามในช่วงแรกๆ เหล่านี้เป็นปูชนียบุคคลที่น่าตื่นเต้นในการพัฒนาคำพูดที่ซับซ้อนมากขึ้น ในระยะนี้ เด็กทารกอาจเริ่มแสดงความสนใจในการเลียนแบบเสียงที่ได้ยิน ดังนั้นจึงเป็นเวลาที่ดีที่ผู้ปกครองจะได้แลกเปลี่ยนเสียงอย่างสนุกสนานค่ะ🥳เดือนที่ 4  พูดพล่ามอย่างมีจุดมุ่งหมายมากขึ้น ประมาณสี่เดือน การพูดพล่ามของลูกน้อยมีเจตนามากขึ้นและคล้ายกับการสนทนา พวกเขาอาจเริ่มต้นการแลกเปลี่ยนโดยการส่งเสียงร้องและกลั้วคอเพื่อรอคำตอบจากผู้ดูแล ปฏิสัมพันธ์กลับไปกลับมานี้วางรากฐานสำหรับทักษะการผลัดกันและการสื่อสารทางสังคม ผู้ปกครองสามารถส่งเสริมพัฒนาการนี้ได้โดยการเลียนแบบเสียงของทารก สบตา👀 และตอบสนองด้วยคำพูดและท่าทางค่ะเดือนที่ 6  การปรากฏตัวของการพูดพล่ามซ้ำซ้อน ในช่วงหกเดือน ทารกมักจะมีส่วนร่วมในการพูดพล่ามซ้ำซ้อน โดยที่พวกเขา พูดพยางค์ซ้ำเช่น ba-ba หรือ ma-ma เหตุการณ์สำคัญนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการควบคุมการเปล่งเสียงและการจัดการเสียงที่เพิ่มขึ้น ผู้ปกครองมักจะชื่นชมยินดี👏เมื่อได้ยินพยางค์ซ้ำๆ เหล่านี้ เนื่องจากรู้สึกเหมือนกับว่าลูกน้อยกำลังพยายามพูดคำแรก เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ปกครองที่จะต้องจัดให้มีสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนและให้กำลังใจ โดยตอบสนองเชิงบวกต่อความพยายามพูดพล่ามของลูกน้อยค่ะและรวมไปถึงในช่วงวัยเหล่านี้อีกด้วยเดือนที่ 9 - การมาถึงของการพูดพล่ามที่แตกต่างกัน ประมาณเก้าเดือน เสียงพูดพล่ามของลูกน้อยจะมีความหลากหลายมากขึ้น และมีพยัญชนะและ สระ พวกเขาอาจสร้างสายเสียงที่คล้ายกับคำจริง ๆ แม้ว่าอาจจะยังไม่มีความหมายเฉพาะเจาะจงก็ตาม ขั้นตอนนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญไปสู่การพูดที่มีความหมาย ผู้ปกครองสามารถสนับสนุนพัฒนาการทางภาษาของลูกน้อยได้ด้วยการพูดคุยกับพวกเขาโดยใช้คำและวลีง่ายๆ และให้โอกาสในการเล่นแบบโต้ตอบค่ะ🔤เดือนที่ 12  คำศัพท์แรกและพัฒนาการทางภาษาเบื้องต้น เมื่อถึงวันเกิดปีแรก ทารกส่วนใหญ่จะมี เริ่มพูดคำแรกของพวกเขา คำเหล่านี้อาจเรียบง่ายและมักหมายถึงสิ่งของที่คุ้นเคยหรือผู้คนในสภาพแวดล้อม เช่น แม่ ดาดา หรือ ลูกบอล🏀 สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าเด็กแต่ละคนมีพัฒนาการตามจังหวะของตัวเอง ดังนั้นลูกน้อยบางคนอาจมีคำศัพท์ที่กว้างขวางมากขึ้น ณ จุดนี้ ในขณะที่คนอื่นๆ อาจยังคงฝึกคำศัพท์แรกอยู่ ผู้ปกครองสามารถส่งเสริมทักษะภาษาของลูกน้อยต่อไปโดยการอ่านให้พวกเขาฟัง ร้องเพลง🎤 และมีส่วนร่วมในการสนทนาที่มีความหมายค่ะหลังจากเดือนที่ 12  การระเบิดของภาษาและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หลังจากปีแรก ทักษะทางภาษาของเด็กๆ ยังคงเติบโตต่อไป อย่างรวดเร็ว พวกเขาเริ่มเข้าใจคำศัพท์มากขึ้นและปฏิบัติตามคำแนะนำง่ายๆ คำศัพท์ของพวกเขาขยายออกไป และพวกเขาก็เริ่มรวมคำเพื่อสร้างประโยคง่ายๆ เมื่ออายุได้ 2 ขวบ เด็กส่วนใหญ่สามารถแสดงความต้องการ ถามคำถาม🙋 และมีส่วนร่วมในการสนทนาขั้นพื้นฐานได้ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ปกครองที่จะต้องจัดให้มีสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยภาษา มีส่วนร่วมในการสนทนาในแต่ละวัน🗣️ และอ่านหนังสือให้ลูกฟังเป็นประจำเพื่อสนับสนุนการพัฒนาทางภาษาอย่างต่อเนื่องค่ะ

Content Image

อาหารต้องห้ามเด็กแรกเกิด - 3 ขวบ

ลูกน้อยวัยแรกเกิด-3 ขวบนั้นเป็นวัยที่ควรได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และควรให้อาหารที่หลากหลายเพื่อที่ลูกจะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน แต่ก็มีอาหารบางอย่างที่ไม่ควรให้ลูกทาน จะมีอะไรบ้างนั้นเราไปดูกันเลยค่ะ!อาหารที่ควรเลี่ยงไม่ให้ลูกทาน✨ขนมปังไส้กรอกขนมปังไส้กรอกหรือฮ๊อตดอกที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ ร้านข้างทาง หรือในห้าง แม้ว่าจะเป็นอาหารที่สามารถหาซื้อได้ง่ายและสะดวก แต่ก็ไม่ควรให้ลูกทาน เพราะในไส้กรอกนั้นมีสารกันอาหารเน่าเสียอยู่ ซึ่งยังไม่เหมาะที่จะให้ลูกทานค่ะ✨ผักดิบแม้ว่าผัก🥬จะมีประโยชน์ต่อร่างกาย ก็ไม่ควรให้ผักดิบกับลูกในตอนนี้ ควรจะต้มสุกทุกครั้ง นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยงผักที่มีลักษณะแข็ง เพราะลูกจะยังไม่สามารถเคี้ยวได้ดีเหมือนผู้ใหญ่ค่ะ✨เนื้อสัตว์ไม่สุก หรือ ติดมันการให้ลูกทานเนื้อสัตว์ติดมัน🥩นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรนะคะ เพราะลูกน้อยจะได้รับคอเลสเตอรอลตั้งแต่เด็ก และไม่ได้มีผลดีต่อร่างกาย ดังนั้นให้หลีกเลี่ยงมัน และควรปรุงให้สุกจนเปื่อย เพื่อให้ลูกน้อยทานได้สะดวกค่ะเลี่ยงอาหารเหล่านี้✨ป๊อบคอนเป็นอาหาร🍿ที่ไม่เหมาะกับเด็กเล็กมากๆ เพราะนอกจากจะเหนียว แข็ง แล้ว ก็จะทำให้ลูกคันคอ และ ไอได้ค่ะ  ✨เนยถั่วลิสงยังไม่ควรให้ลูกทานเนยถั่วลิสง นอกจากลูกน้อยอาจจะแพ้ถั่วได้แล้ว รสหวานของถั่วที่ปรุงมาเหล่านี้ก็ไม่ดีต่อร่างกายของลูกนะคะ✨ขนมหวานต่าง ๆขนมที่มีรสหวานต่างๆ เช่น มีส่วนผสมของช็อกโกแลต คาราเมล ลูกหวาดต่างๆ เหล่านี้ไม่ดีต่อร่างกายของลูก และยังทำให้ฟันฝุได้ด้วยนะคะ  อาหารเหล่านี้ No No!✨น้ำอัดลมน้ำอัดลม🥤 มีส่วนผสมของน้ำตาลในปริมาณสูง และยังทำให้เกิดลมในท้องได้อีกด้วย น้ำอัดลมนั้นไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกายของลูกน้อยเลย ดังนั้นก็ไม่ควรให้ลูกดื่มนะคะ✨ขนมกรุปกรอบที่ใส่ผงชูรสขนมกรุปกรอบใส่ผงชูรสเหล่านี้🌰 มีไขมันไม่ดีสูงจึงไม่ดีต่อร่างกายของลูกอย่างมาก และอาจทำให้ลูกติดขนมจนไม่ยอมทานข้าวก็ได้ค่ะ✨ผลไม้ขนาดเล็กผลไม้ที่มีขนาดเล็กเกินไปเช่น ลูกองุ่น🍇 อาจติดคอลูกได้ระหว่างที่ทาน หากอยากให้ทานควรบดให้บี้ และคอยดูระหว่างที่ลูกทานอย่างระมัดระวังค่ะ

Content Image

ศีรษะเด็กแรกเกิดมีแผล อันตรายไหม?

     หากคุณผู้อ่านลองจินตนาการว่าภายหลังการคลอดที่ผ่านไปได้ด้วยดี เจ้าตัวน้อยที่พึ่งออกมาลืมตาดูโลกอยู่ๆก็เกิดแผลบนศีรษะ🤕ขึ้นมา หากเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นก็คงนับเป็นเรื่องน่าตกใจไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ แต่แผลบนศีรษะนั้นเกิดจากอะไรกันแน่ เป็นความผิดพลาดของแพทย์ระหว่างการทำคลอดหรือไม่ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นปกติสำหรับทารกแรกเกิดหรือเปล่า และที่สำคัญที่สุดคือแผลแบบนี้เป็นอันตรายต่อตัวเด็กเองหรือไม่ เราไปหาคำตอบเหล่านี้พร้อมกันเลยค่ะ💁‍♀️แผลบนศีรษะของทารกแรกเกิดคืออะไรสำหรับแผลบนศีรษะนั้น นับเป็นความผิดปกติทางด้านผิวหนังประเภทหนึ่งในทารกแรกเกิด มีชื่อทางการแพทย์ว่า Aplasia cutis ซึ่งพบได้ไม่บ่อยมากนัก เป็นภาวะที่บริเวณนั้นๆของทารก(ในที่นี้คือผิวบริเวณศีรษะ)ไม่มีผิวปกคลุมตั้งแต่เกิด ในบางกรณีสามารถเกิดร่วมกับโรคผิวหนังชนิดอื่นได้และอาจทำให้เกิดแผลเป็นหลังหายจากอาการดังกล่าว และไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเพียงบริเวณศีรษะของทารก🤕เท่านั้น เพียงแต่ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นบนศีรษะ โรคนี้สามารถเกิดกับทารกทุกเชื้อชาติและทุกเพศ👦👧เลยค่ะลักษณะอาการของโรคที่สังเกตได้อย่างชัดเจน✨แผลที่สังเกตได้มักมีขนาดประมาณ 0.5 เซนติเมตรจนไปถึง 10 เซนติเมตร✨ขอบเขตของแผลไม่มีอาการอักเสบร่วมด้วย และมีขอบเขตของแผลที่ชัดเจน✨เป็นแผลที่มักเกี่ยวข้องกับผิวหนังชั้นนอกเท่านั้น ในบางกรณีแผลมีโอกาสหายตั้งแต่ก่อนคลอด จะเหลือไว้เพียงรอยแผลเป็นบนศีรษะของทารก✨มีรายงานพบว่าทารกที่เป็นโรคนี้ มีบางกรณีที่เกิดมาพร้อมกับโรคหัวใจพิการ🫀ตั้งแต่กำเนิด หรือความผิดปกติในระบบอวัยวะภายใน ไม่ว่าจะเป็นระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินปัสสาวะ และระบบประสาทส่วนกลาง🧠สาเหตุของโรคคืออะไร1️⃣อาจเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม🧬หรือเป็นโรคทางกรรมพันธุ์นั่นเอง ซึ่งเป็นข้อสันนิษฐานจากข้อสังเกตก่อนหน้า คือโรคผิวหนังชนิดนี้มักมาพร้อมกับโรคแทรกซ้อนอื่นๆในทารกตั้งแต่กำเนิด2️⃣อาจเกิดจากการที่คุณแม่ได้รับเชื้อก่อโรค🦠และติดเชื้อตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะเป็นเชื้ออีสุกอีใส หรือเชื้อเริม3️⃣อาจเกิดจากการที่คุณแม่ได้รับสารเคมีบางอย่างที่ทำหน้าที่เป็นสารก่อมะเร็งได้ รวมไปถึงสารเสพติดหลายๆประเภท ไม่ว่าจะเป็นโคเคนหรือกัญชา🚬4️⃣อาจเกิดจากการพัฒนาที่ผิดปกติของผิวหนังทารกเองอย่างระบุสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้แนวทางการรักษาการผ่าตัดรักษาอันที่จริงแล้วภาวะดังกล่าวสามารถหายได้เองหลังคลอด👩‍🍼 เพียงแต่ในบางกรณีอาจมีการทิ้งร่องรอยไว้ในรูปแบบของรอยแผลเป็น🤕 ซึ่งทำให้บริเวณที่เกิดแผลนั้นไม่มีขนหรือผมเกิดขึ้น แต่ในบางกรณีภาวะนี้ก็มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น เช่นทารกอาจติดเชื้อก่อโรคในช่วงเวลาที่ผิวหนังยังไม่สมานกันบริเวณที่เป็นโรค ซึ่งต้องการการทำความสะอาดที่มากเป็นพิเศษ และอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะ💊ที่อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญร่วมด้วย ในบางรายหากเกิดรอยแผลขึ้นหลายจุด แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัดรักษาเพื่อซ่อมแซมและตกแต่งเพิ่มเติม หรืออาจถึงขั้นต้องปลูกถ่ายผิวหนังเลยทีเดียว     อ่านมาถึงตรงนี้คุณผู้อ่านก็จะได้รู้จักกับโรคหรือภาวะที่พบได้ค่อนข้างยากแต่ก็ไม่ใช่จะพบไม่ได้อย่าง Aplasia cutis🤕 กันไปเรียบร้อยแล้วนะคะ หากพบว่าลูกน้อยของท่านมีอาการนี้ หรือมีรอยแผลที่บ่งบอกว่าอาจเข้าข่ายว่าเคยเป็นโรคนี้ เพื่อความมั่นใจ คุณผู้อ่านสามารถพาเจ้าตัวน้อยเข้ารับการวินิจฉันจากแพทย์👨‍⚕️เพิ่มเติมได้ค่ะ เพราะตามที่ได้กล่าวไปก่อนหน้าว่าโรคนี้มีโอกาสพร้อมจะมาควบคู่กับโรคผิวหนังชนิดอื่นหรือโรคแทรกซ้อนในกลุ่มอื่นๆ หากได้รับการตรวจร่างกาย ก็จะเป็นการเพิ่มความมั่นใจในการดูแลเจ้าตัวน้อยในอนาคตค่ะ

Content Image

บอกลาปัญหาหน้าอกหย่อนคล้อยจากการให้นมลูก เพียงทำแบบนี้!

     ปฏิเสธไม่ได้ว่าการตั้งครรภ์จะทำให้หน้าอกของคุณแม่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งหย่อนคล้อย เล็กลง และไม่กระชับ แน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงนี้อาจกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้หรือไม่ได้เหมือนก่อนตั้งครรภ์ คุณแม่จะสังเกตได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของลักษณะเต้านม ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง ขนาด หรือความไวต่อสัมผัสต่างๆ โดยเฉพาะหลังจากที่คุณแม่ให้นมเจ้าตัวน้อยแล้ว วันนี้ทางเราจึงได้รวบรวมวิธีฟื้นฟูหน้าอกพี่หย่อนคล้อยจากการให้นมบุตร เรามาดูไปพร้อมๆกันเลยค่ะ 💁‍♀️วิธีฟื้นฟูเต้านม เปลี่ยนหน้าอกหย่อนคล้อยให้กลับมาเต่งตึง มีดังต่อไปนี้👉หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอการออกกำลังจะช่วยให้คุณแม่มีกล้ามเนื้อหน้าอกที่กระชับขึ้น ไม่หย่อนคล้อยเหมือนเก่า โดยคุณแม่สามารถเลือกการออกกำลังกายตามต้องการได้ เช่น การออกกำลังกายแบบ Weight training เบาๆ🏋️‍♀️ แต่การโหมออกกำลังกายหนักๆ จนเกินไป ก็อาจจะทำให้หน้าอกที่หย่อนคล้อยของคุณแม่ดูแย่ลงกว่าเดิม เพราะฉะนั้นคุณแม่ควรต้องระวังในเรื่องนี้ด้วยนะคะ👉เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวคุณแม่สามารถเพิ่มความชุ่มชื้น โดยการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์🧴เพื่อให้ผิวบริเวณหน้าอกชุ่มชื้นและใช้สครับขัดเต้านมอย่างอ่อนโยนขณะอาบน้ำ เพื่อเป็นการผลัดเซลล์ผิวบริเวณหน้าอกบ้าง เพราะการทำเช่นนี้สามารถช่วยให้หน้าอกที่หย่อนคล้อยกลับมากระชับได้👉ปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพคุณแม่ควรใส่ใจและเริ่มปรับปรุงท่าทางการเดินด้วยการยืดไหล่และหลังตรงที่สุดเท่าที่จะทำได้แทนจะดีกว่าค่ะ เพราะการเดินแบบอกผายไหล่ผึ่งจะทำให้หน้าอกของคุณแม่ไม่ดูหย่อนคล้อยและได้รูปสวย ขอแนะนำว่าไม่ให้คุณแม่เดินหลังค่อมและไหล่งอ🙅‍♀️ เพราะจะยิ่งทำให้หน้าอกของคุณแม่ดูหย่อนคล้อยมากกว่าเดิม 👉ลดการบริโภคไขมันสัตว์คุณแม่ควรลดการรับประทานอาหารจำพวกไขมันสัตว์ที่เต็มไปด้วยคอเรสเตอรอลออกไปให้มากที่สุด เพราะอาหารเหล่านี้จะทำให้น้ำหนักตัวของคุณแม่เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน คุณแม่ควรหันไปรับประทานอาหารที่เต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการอย่างธัญพืช🥜 ผัก🥦 และผลไม้🍎แทน รวมไปถึงการรับประทานน้ำมันมะกอก วิตามินบี และวิตามินอีแทนที่ไขมันสัตว์ ซึ่งมีส่วนช่วยต่อต้านริ้วรอย ปรับโทนสีผิว และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวของคุณแม่ได้อีกด้วย และรวมไปถึงวิธีดังต่อไปนี้👉อาบน้ำร้อนและเย็นสลับกันการอาบน้ำร้อนจะช่วยเปิดรูขุมขน และการอาบน้ำเย็นจะช่วยกระชับรูขุมขน🛀 ดังนั้นการอาบทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็นสลับกันเช่นนี้จะยิ่งช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการไหลเวียนของโลหิตที่ดีขึ้นจะช่วยปรับโทนสีผิวให้แลดูสม่ำเสมอ ขับสารพิษ และทำให้สารอาหารในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น 👉ปรับปรุงท่าทางการให้นม การให้นมลูกด้วยท่าทางที่ไม่ถูกต้อง จะทำให้หน้าอกของคุณแม่ยิ่งดูหย่อนคล้อยมากขึ้น เช่น การวางเจ้าตัวเล็กไว้บนที่นอนและคุณแม่โน้มตัวลงไปป้อนนมเขา ดังนั้น คุณแม่อาจขอรับคำแนะนำและศึกษาท่าทางการให้นมลูกที่ถูกต้องจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ👨‍⚕️หรือคุณแม่ที่มีประสบการณ์มาก่อนได้ค่ะ 👉ค่อยๆให้ลูกหย่านม หากคุณแม่ต้องการที่จะเริ่มหย่านมลูก ควรทำแบบค่อยเป็นค่อยไปโดยการลดการให้นมเขาทีละน้อยๆ เพื่อให้เนื้อเยื่อไขมันใต้ผิวหน้าอกมีเวลามากพอที่จะฟื้นตัวและกลับไปมีรูปร่างหน้าอกที่คล้ายก่อนการตั้งครรภ์นั่นเองค่ะโดยคุณแม่สามารถศึกษาวิธีการหย่านมอย่างถูกต้องจากช่องทางบนอินเทอร์เน็ต📱หรือขอรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านการให้นมบุตรได้ด้วยเช่นกัน👉งดการสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่🚬เป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อร่างกาย โดยเฉพาะกับคุณแม่ที่อยากฟื้นฟูเต้านมหลังให้นมลูก เพราะการสูบบุหรี่ช่วยลดความสามารถในการซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นในตัวเองของผิวได้อย่างมาก รวมไปถึงจะขัดการการผลิตเซลล์ผิวขึ้นมาใหม่ นำไปสู่การเกิดริ้วรอยก่อนวัย ผิวแห้งกร้าน หน้าอกหย่อนคล้อยนั่นเอง 👉สวมเสื้อชั้นในขนาดพอดีตัวคุณแม่ควรเลือกซื้อเสื้อชั้นใน👙ให้เหมาะสมตั้งแต่ในช่วงระหว่างตั้งครรภ์ไปจนถึงช่วงหลังคลอด  ควรเน้นไปที่ความยืดหยุ่น สวมใส่สบาย กระชับพอดีตัว ช่วยพยุงหน้าอก และสามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับรูปร่างของคุณแม่ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ เพื่อเป็นการป้องกันเต้านมเกิดการหย่อนคล้อยจากการใส่เสื้อชั้นในที่มีขนาดไม่พอดี      ทราบแล้วใช่ไหมคะว่าการฟื้นฟูหน้าอกที่หย่อนคล้อยหลังจากที่แม่ให้นมลูก🤱นั้นสามารถแก้ไขได้ เพียงทำตาม 9 วิธีดังกล่าว หน้าอกของคุณแม่ก็จะกลับมาสวยได้รูปและกระชับเหมือนตอนก่อนตั้งครรภ์แล้วค่ะ!

Content Image

6 ลักษณะอาการเท้าคด เท้าผิดรูปของเด็ก

     ลักษณะอาการที่คุณแม่ควรสังเกตในทารกคือ อาการเท้าคด🦶 ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทารกบางรายอาจมีอาการคั้นรุนแรงจนถึงขั้นต้องใช้การผ่าตัดในการรักษา บทความนี้ได้รวบรวม 6 ลักษณะอาการของทารกเท้าคดและวิธีรักษามาให้คุณแม่ทราบค่ะ💁‍♀️อาการเท้าคด เท้าผิดรูปมีสาเหตุมาจากอะไร?👉เป็นผลมาจากหลายๆสาเหตุอาการเท้าคด เท้าผิดรูป เท้าบิดด้านใน ล้วนมีสาเหตุที่แตกต่างออกกันไป จะสามารถระบุได้ชัดเจนก็ต่อเมื่อได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์เท่านั้น โดยทั่วไปสาเหตุมักมาจาก กรรมพันธุ์🧬 ระบบประสาทและสมอง🧠ผิดปกติ การผิดรูปของกระดูกเท้า หรือแม้กระทั่งการผิดปกติต่างๆในช่วงที่ทารกอยู่ในครรภ์ของคุณแม่ 6 ลักษณะอาการทารกเท้าคด เท้าผิดรูป และวิธีการรักษา1️⃣โรคเท้าโค้งลักษณะอาการของโรคท้าวโค้งจะ สามารถสังเกตจากส่วนครึ่งหน้าของเท้าโค้งเข้า หากลูกมีอาการเท้าโค้งที่ไม่มากก็จะสามารถดัดให้ตรงได้ และอาการนี้จะดีขึ้นก็ต่อเมื่อลูกมีอายุ 6-12 เดือน👶 แต่ในกรณีที่ทารกมีอาการเท้าโค้งขั้นรุนแรง คุณแม่ควรพาทารกไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ หากปล่อยไว้นานอาจจะมีอาการรุนแรงจนถึงขั้นต้องทำการผ่าตัด2️⃣นิ้วเท้าติดกันอาการนี้จะมีลักษณะที่เท้าของทารกอยู่ชิดติดกันโดยไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ฟังดูเหมือนจะไม่มีผลกระทบต่อตัวทารกสักเท่าไหร่ แต่ความจริงนั้นเป็นอาการที่ไม่ควรปล่อยเอาไว้🙅‍♀️ เพราะอาจเสี่ยงต่อการสะสมของเชื้อโรค🦠ได้ เนื่องจากบริเวณร่องเล็กๆระหว่างนิ้วเท้านั้นอาจทำความสะอาดได้ยาก คุณแม่ควรนำทารกไปปรึกษากับแพทย์เพื่อรับการผ่าตัดแยกนิ้วเท้าออกจากกันค่ะ3️⃣เท้ากระดก บิดออกด้านข้างลักษณะอาการของโรคนี้จะสังเกตได้จากลักษณะของเท้าจะวางแนบไปกับกระดูกบริเวณหน้าแข้ง🦵 ซึ่งพบได้มากในทารกที่เป็นครรภ์แรกของคุณแม่🤰  แพทย์สันนิษฐานว่าสาเหตุเกิดมาจากการที่มดลูกของคุณแม่ไม่เคยขยายตัวมาก่อน และเมื่อมีการเจริญเติบโตของทารกภายในครรภ์ ทารกจะใช้เท้าดันมดลูกจนทำให้เกิดอาการเท้ากระดกนั่นเองค่ะ โดยปกติอาการเท้ากระดกสามารถหายได้เองเมื่อทารกมีอายุ 1-2 เดือน แต่ถ้าหากอาการไม่ดีขึ้น คุณแม่ควรนำทารกไปรักษากับแพทย์ทันทีค่ะ 4️⃣เท้าบิดเข้าด้านในลักษณะอาการเท้าบิดเข้าด้านใน นั้นเกิดจากความผิดปกติของกระดูก🦴 คุณแม่ควรพาลูกไปรับการตรวจจากแพทย์เพื่อหาจุดกระดูกที่ทำให้เกิดอาการนี้ โดยทั่วไปอาการนี้มักแสดงในช่วงที่เด็กอายุ 2-4 ปี เด็กจะไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆ แต่จะแสดงออกมาในลักษณะการเดินที่ไม่เหมือนกับคนปกติ โดยทั่วไปอาการเท้าบิดเข้าด้านในสามารถหายได้เอง ควบคู่กับการดูแลจากแพทย์👨‍⚕️ แต่ถ้าหากรักษาไปจนถึงลูกอายุ 7-8 ปีแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น อาจจะต้องเข้ารับการผ่าตัดค่ะ5️⃣นิ้วเท้าเก เท้าเอียงคุณแม่จะสังเกตได้ว่านิ้วเท้าของลูกจะเกและงุ้ม ซึ่งพบได้บ่อยในช่วงเด็กแรกเกิด และอาการจะค่อยๆบรรเทาลงเมื่อเด็กเริ่มโตขึ้น อาการนี้มักเป็นผลมาจากพันธุกรรม🧬 และไม่ส่งผลเสียใดๆต่อตัวทารก แต่ถ้าหากคุณแม่พบว่าลูกมีปัญหาในการเดิน🚶‍♂️ สามารถเข้ารับการผ่าตัดโดยทางทีมแพทย์ได้ทันทีค่ะ6️⃣จำนวนนิ้วเท้าเกินหรือน้อยกว่าปกตินิ้วเท้าเด็กปกติจะมีจำนวน 5 นิ้ว แต่ทารกบางคนอาจจะเกิดมามี 4 นิ้วหรือมี 6 นิ้ว ซึ่งโดยทั่วไปไม่ส่งผลต่อการใช้ชีวิต เพียงแต่อาจจะทำให้ทารกรู้สึกนิ้วเบียดเวลาใส่รองเท้า🥾 ซึ่งวิธีแก้ปัญหาอาการนี้คือการเลือกซื้อรองเท้าหัวกว้างให้ลูกใส่ หรือเข้ารับการผ่าตัดโดยแพทย์     อาการดังกล่าวที่กล่าวมาข้างต้นนั้นยังส่งผลต่อรูปเท้าของเด็กอีกด้วย เช่น โรคเท้าปุก หากคุณแม่พบว่าลูกมีอาการถึงขั้นรุนแรงจนกระทบต่อการใช้ชีวิต เช่น เดินไม่ได้ ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์👨‍⚕️เพื่อเข้ารับการรักษาทันที

Content Image

อันตรายของภาวะแหวะนมในทารก

     ภาวะแหวะนม🤮ในทารกทำให้คุณแม่หลายๆท่านรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก มักเกิดคำถามขึ้นว่า ลูกจะป่วยไหม? ลูกจะได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอหรือเปล่า? วันนี้ทางเราได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภาวะแหวะนมและอันตรายของภาวะนี้มาให้คุณแม่ทราบ เราไปหาคำตอบพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️สาเหตุของการเกิดภาวะแหวะนมในทารกการที่ทารกแหวะนมออกมาบ่อยๆนั้น เกิดมาจากกล้ามเนื้อหูรูดส่วนล่างของหลอดอาหารยังพัฒนาได้ไม่สมบูรณ์นัก จึงทำให้น้ำนมไหลย้อนกลับออกมาทางปาก และยังรวมไปถึงการที่ทารกมีขนาดกระเพาะอาหารที่เล็ก จึงทำให้นมไหลออกกลับมาคืนเมื่อทารกดื่มนม🍼ในปริมาณที่มากเกินไป 👉คุณแม่จะสามารถสังเกตอาการลูกแหวะนมได้ง่ายๆ สังเกตจากอาการดังต่อไปนี้ -หลังจากดื่มนมเสร็จแล้ว ลูกจะแหวะนมออกทางปาก👄และทางจมูก-ลูกจะมีอาการงอแง😭เนื่องจากไม่สบายท้อง ทำให้ลูกบิดตัวไปมาบนที่นอน และไม่ยังยอมนอนหลับอีกด้วย-สังเกตได้จากของเหลวที่ลูกแหวะออกมา ของเหลวนั้นจะมีลักษณะเป็นลิ่ม เป็นสีขาว⚪️ คล้ายๆกับเต้าหู้อาการลูกแหวะนมอันตรายไหม?✨เป็นอาการปกติที่พบได้ในทารกอาการลูกแหวะนมถือว่าเป็นอาการปกติที่มักพบได้บ่อยหลังจากลูกกินนมเสร็จ อาการนี้ไม่ส่งผลต่อสารอาหารที่ลูกได้รับหลังจากแหวะนมเสร็จ และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของทารกด้วย ลูกอย่างสามารถดื่มนมได้ตามปกติเลยค่ะ แต่ถ้าหากคุณแม่พบว่านมที่ลูกแหวะออกมานั้นมีสิ่งเจือปนอื่นๆร่วมด้วย เช่น มีอ้วกปน มีลิ่มเลือดปน🩸 มีสีเหลืองคล้ายน้ำดีปน หรือแม้กระทั่งมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ คุณแม่ไม่ควรนิ่งเฉยและควรพาลูกไปพบแพทย์👩‍⚕️ทันทีค่ะ      สรุปได้ว่าอาการแหวะนม🤮นั้นถือว่าเป็นอาการปกติที่เกิดได้ในเด็กทารก เพราะเด็กยังมีกล้ามเนื้อหูรูดที่พัฒนาได้ไม่สมบูรณ์ และยังรวมไปถึงอาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่นๆ เช่น ทารกดื่มนมเร็วจนเกินไป ทารกดื่มนมในปริมาณที่มาก ทารกมีอาการภูมิแพ้อาหารแฝง เพราะไม่สามารถย่อยอาหารบางชนิดได้  ทารกกลืนอากาศเข้าไปในขณะดื่มนมด้วย และยังรวมไปถึงการที่ทารกเป็นโรคกรดไหลย้อน โรคหลอดอาหารอักเสบ และภาวะไพรอรัสตีบ เป็นต้น

Content Image

วิธีละลายน้ำนมแม่แช่แข็ง ต้องทำแบบนี้!

     คุณแม่หลายๆท่านอาจมีการสต๊อกน้ำนมแม่เก็บไว้ในช่องแช่แข็งกันอย่างแน่นอนใช่ไหมคะ? แต่คุณแม่แน่ใจไหมคะเขาว่าคุณแม่ได้ทำอะไรน้ำนมแช่แข็งได้อย่างถูกวิธี วันนี้ทางเราจึงได้รวบรวมวิธีละลายน้ำนมแช่แข็งอย่างถูกวิธีมาให้คุณแม่ทราบพร้อมๆกันแล้วค่ะ💁‍♀️เคล็ดลับวิธีละลายน้ำนมแม่แช่แข็ง มีดังต่อไปนี้✨ทำละลายน้ำนมแม่ที่มีอายุการเก็บนานที่สุดก่อนการทำละลายน้ำนมแม่ที่ถูกเก็บไว้ในช่องแช่แข็งจะง่ายขึ้น เมื่อคุณแม่ระบุวัน📝และเวลาที่ปั๊มและจัดเก็บน้ำนมไว้ และควรเรียงลำดับจากถุงใหม่ไปเก่าให้เรียบร้อยด้วยนะคะ  หลังจากนั้นคุณแม่สามารถหยิบถุงที่เก่าที่สุดออกมาทำละลายก่อน วิธีนี้เรียกว่าระบบ FIFO (เข้าก่อนออกก่อน) ✨ทำละลายโดยการแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดาอีกหนึ่งวิธีที่สามารถทำละลายน้ำนมแม่ได้ คือการย้ายน้ำนมจากช่องแช่แข็งลงมายังตู้เย็นในช่องแช่ธรรมดา วิธีนี้จะเหมาะกับคุณแม่ที่ไม่รีบร้อนในการใช้นมให้ลูกดื่ม เพราะอาจใช้เวลาถึง 12 ชั่วโมงในการปล่อยให้สต็อกน้ำนมของคุณแม่ค่อยๆละลายนั่นเองค่ะ และคุณแม่ควรใช้น้ำนมที่ทำละลายด้วยวิธีนี้ภายใน 24 ชั่วโมง⏳ทันทีนะคะ หากปล่อยไว้นานอาจทำให้น้ำนมบูดได้ค่ะ ✨ทำละลายโดยการแช่ในภาชนะที่มีน้ำอุ่นหากคุณแม่ต้องการทำละลายน้ำนมอย่างรวดเร็วคุณแม่สามารถแช่น้ำนมในภาชนะที่มีน้ำอุ่น♨️เพียงแค่ 20 นาทีเท่านั้น น้ำนมก็จะละลายตัวและสามารถนำมาใช้งานเพื่อให้เจ้าตัวน้อยดื่มได้แล้วค่ะ✨ทำละลายโดยการปล่อยให้น้ำไหลผ่านถุงเก็บน้ำนม วิธีนี้เป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการละลายน้ำนมแม่ หลักการคือปล่อยให้น้ำไหล💧ผ่านถุงเก็บน้ำนม เหมาะสำหรับคุณแม่ที่มีเครื่องทำน้ำอุ่นหรือก๊อกน้ำที่สามารถปรับเปลี่ยนอุณหภูมิได้ ข้อควรระวังขณะทำการละลายน้ำนมแช่แข็ง มีดังต่อไปนี้🙅‍♀️ห้ามนำนมไปอุ่นด้วยการใช้ไมโครเวฟหรือการต้มเพราะการทำละลายด้วยสองวิธีนี้สามารถทำลายสารอาหารสำคัญที่อยู่ในนมแม่ได้ อีกทั้งยังให้อุณหภูมิของน้ำนมแม่ไม่สม่ำเสมอ อาจจะมีบางส่วนร้อนเกินไปหรือเย็นเกินไป ทนอาจทำให้นมลวกปาก🫦ลูกได้ จนเกิดเป็นแผลนั่นเองค่ะ🙅‍♀️ห้ามทิ้งนมแม่เกิน 2 ชั่วโมงหลังจากทำละลายน้ำนมแม่เรียบร้อยแล้ว คุณแม่ควรป้อนนม🍼ให้ลูกน้อยได้ทันทีหรืออาจเก็บไว้ในตู้เย็นเป็นเวลา 4 ชั่วโมง ไม่ควรทิ้งไว้เกิน 2 ชั่วโมงเด็ดขาด หากเกินระยะเวลาดังกล่าว คุณแม่ควรนำนมไปทิ้งทันที🚮🙅‍♀️ห้ามนำน้ำนมที่ละลายแล้วไปแช่แข็งซ้ำ น้ำนมแม่ที่ผ่านการแช่แข็งและทำละลายแแล้ว ไม่ควรนำกลับไปแช่แข็งซ้ำอีกรอบ นั่งๆคุณแม่ควรวางแผน🤔ให้ดีก่อนทำละลายน้ำนมเพื่อใช้ทุกรอบนะคะ      วิธีการละลายน้ำนมแช่แข็งนั้นมีหลายวิธีที่เราได้กล่าวไปข้างต้น ซึ่งน้ำนมที่ถูกละลายแล้วอาจจะมีกลิ่นและรสชาติ😋เปลี่ยนไปเล็กน้อย เนื่องจากเกิดการย่อยสลายไขมันตามธรรมชาติในน้ำนมแม่ของเอนไซม์ไลเปส (Lipase Enzyme) ในระหว่างการเก็บรักษา แต่คุณแม่ไม่ต้องกังวลว่าคุณภาพของน้ำนมจะลดลงนะคะ น้ำนมที่ละลายแล้วยังสามารถใช้ป้อนให้กับเจ้าตัวน้อย👶ได้ตามปกติเลยค่ะ

Village Baby Co., Ltd.

4F, 83 Uisadang-daero, Yeongdeungpo-gu, Seoul, Republic of Korea

Partnership inquiries babybilly.global@villagebaby.kr

|

|

Language

Copyright Baby Billy. All rights reserved.