Baby Image

ที่แอป Baby Billy คุณสามารถดูเนื้อหาเพิ่มเติมได้!

📖 บทความที่ถูกอ่านมากที่สุด

Content Image

ท้องแล้วฉีดน้ำหอมอยู่ระวัง! อันตรายกับลูกในครรภ์

น้ำหอมหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่หลายๆคนใช้ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจและเสน่ห์ให้กับเรา แต่เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์แล้วจะสามารถใช้น้ำหอมต่อไปได้หรือไม่ จะมีผลกระทบอะไรต่อทารกในครรภ์หรือเปล่า เราไปดูกันเลยค่ะท้องแล้วยังสามารถใช้น้ำหอมได้ไหม?หลีกเลี่ยงน้ำหอม?จากงานวิจัยพบว่าคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ควรหลีกเลี่ยงน้ำหอม เทียนหอม สเปร์หอม ไมโครเวฟ รวมถึงการใช้พลาสติก👃หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ผสมน้ำหอมไม่เพียงเท่านั้นคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงน้ำหอมที่ถูกผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น สบู่🧼 ผงซักฟอง น้ำยาซักผ้า ของใช้ในครัวเรือนและของใช้ต่างๆงานวิจัยบ่งบอกว่าอย่างไร?งานวิจัยจาก University Of Illinois พบว่าสารเคมีที่อยู่ในน้ำหอมนั้นมีผลต่อการพัฒนาสมอง🧠 โดยได้ทำการทดลองในหนูที่ตั้งครรภ์ และพบว่าหนูที่ใช้ชีวิตอยู่กับน้ำหอมและพลาสติกนั้น ลูกหนูที่เกิดมามีระดับปัญญาที่แย่กว่าโดยการทดลองยังสรุปได้ว่าแม้ว่าแม่หนู🐁จะไม่ได้รับผลกระทบแต่ลูกหนูนั้นได้รับผลกระทบโดยตรง ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงน้ำหอม สเปรย์ต่างๆ และพลาสติกนั่นเองค่ะหลังคลอดล่ะ ใช้น้ำหอมได้ไหม?หลังจากที่คุณแม่คลอดลูกแล้วก็ยังไม่ควรใช้น้ำหอมเพราะผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำหอม โคโลญจน์ สเปรย์ฉีดตัวหลายๆตัวมีส่วนผสมของสารเคมีที่สามารถเป็นอันตรายต่อสุขภาพของลูกน้อยได้ โดยหายลูกยังอ่อน👶อยู่ก็จะมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับสารเคมีที่เป็นอันตรายจากน้ำหอมเหล่านี้โดยการศึกษาของสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในปี 1991 พบว่าสารเคมี 95% ในน้ำหอมเป็นสารประกอบที่ทำมาจากปิโตเลียม รวมถึง Greenpeace ยังพบว่าแบรนด์น้ำหอมชื่อดังกว่า 36 แบรนด์ มีส่วนประกอบของสารเคมีที่สามารถก่อให้เกิดอันตรายได้ อย่างพาทาเลต และ มัสค์สังเคราะห์ ซึ่งสารเคมีสองตัวนี้สามารถมีผลกระทบต่อกระแสเลือด🩸ในสมอง🧠  รวมถึงยังทำให้เกิดอาการปวดไมเกรนได้สุดท้ายนี้สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมยังพบว่าสารเคมี Linalool ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในน้ำหอมสามารถกระทบต่อระบบหายใจและยังก่อให้เกิดอาการง่วงและซึมเศร้าได้อีกด้วย😴 (ขอบคุณข้อมูลจาก Anna O'rourke,her)ทราบอย่างนี้แล้วหากเป็นไปได้ก็ควรเลี่ยงการฉีดน้ำหอมกันไปก่อนเพื่อพัฒนาการและสุขภาพที่แข็งแรงของลูกน้อยนะคะ

Content Image

พาลูกตากแสงแดดยามเช้าดีไหม?

คุณพ่อคุณแม่หลายๆคน ไม่กล้าพาลูกไปตากแดดข้างนอกเพราะกลัวว่าแสงแดดจะเป็นตัวทำร้ายผิวของลูก เพราะทารกยังมีผิวที่บอบบาง แต่ความจริงแล้วหากเลือกช่วงเวลาการพาลูกน้อยออกไปตากแดดได้อย่างเหมาะสม แสงแดดก็สามารถเป็นประโยชน์ให้กับลูกน้อยได้นะคะ ข้อดีของการตากแดดยามเช้าช่วงไหนที่ควรพาลูกตากแดด?แม้ว่าผู้ปกครองหลายๆท่านอาจจะกังวลอยู่ว่าจะพาลูกน้อยตากแดด⛅ได้จริงหรอ แต่ผิวของลูกบอบบางนะ แต่จริงๆแล้ว หากเลือกที่จะตากแดดในยามเช้าซึ่งมีแสงแดดอ่อนๆ ก็จะมีประโยชน์ต่อทารกได้นะคะ แสงแดดดีอย่างไร?🌞วิตามินดีหากพาลูกน้อยตากแดดในยามเช้าลูกก็จะได้รับวิตามินดีค่ะ ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายของทารกจะต้องการโดนรังสียูวีอย่างน้อย 15 นาทีแต่ไม่ควรเกิน 30 นาทีในแต่ละวัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสีโทนผิวของทารกโดยในทารกที่มีผิวคล้ำก็จะต้องการเวลาในการตากแดด⛅มากกว่าค่ะ ข้อดีเมื่อลูกน้อยได้รับวิตามินดีคือ มันจะช่วยในการดูดซึมแคลเซียมที่เป็นตัวช่วยในการเสริมสร้างกระดูก🦴และฟัน รวมถึงเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย🌞ลดอาการตัวเหลืองในทารกแสงแดดจะสามารถช่วยลดอาการตัวเหลืองในทารก👶ที่เกิดจากการเจริญเติบโตของบิลิรูบินเมื่อแรกเกิด หากผู้ปกครองพาลูกไปรับแสงแดดประมาณ 15-20 ต่อวันในช่วงเช้า จะสามารถลดอาการตัวเหลืองของลูกได้🌞ช่วยควบคุมระดับอินซูลินแม้ว่าแสงแดดจะไม่ได้เป็นตัวช่วยให้ระดับของอินซูลินดีโดยตรง แต่วิตามินดีที่ได้รับมาจากแสงแดดสู่ร่างกายนั้นจะเป็นตัวช่วยควบคุมระดับของอินซูลิน📉 ฉะนั้นหากลูกได้รับแสงแดดตั้งแต่เมื่ออายุยังน้อยจะสามารถช่วยป้องกันภาวะโรคเบาหวานได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็ต้องออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็จะช่วยในการป้องกันโรคเบาหวานได้ค่ะ🌞ฮอร์โมนเซโรโทนินนอกจากนั้นแสงแดดยังช่วยในเรื่องของการผลิตเซโรโทนินให้ดีขึ้น ซึ่งฮอร์โมนเซโรโทนินเป็นที่รู้จักกันในนามของฮอร์โมนแห่งความสุขนั่นเอง ซึ่งจะช่วยควบคุมการย่อยอาหาร และการนอนหลับในทารก💤อีกด้วยค่ะ 🌞เพิ่มระดับพลังงานแสงแดดธรรมชาติจะเป็นตัวควบคุมการผลิตเมลาโทนินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับและตื่นนอน เมื่อทารกได้รับแสงแดด⛅ระหว่างวันก็จะทำให้ระดับของเมลาโทนินลดลงและเพิ่มระดับพลังงานในที่สุดค่ะพาทารก 0-6 เดือนตากแดดอย่างไรดีช่วงเวลาที่เหมาะสมช่วงเวลาที่เหมาะสมในการพาลูกน้อยแรกเกิดถึง 6 เดือนการเดินเล่นคือช่วงเวลาก่อน 10 โมงเช้า🕐 หรือช่วงเวลาหลังบ่าย 4 โมง แต่ไม่ควรให้ลูกโดนแสงโดยตรง ให้ใช้รถเข็นเด็กที่มีผ้าคลุมกันแดด และไม่ควรทาครีมกันแดดให้ลูก เพราะผิวของทารกจะไม่สามารถขับเคมีในครีมกันแดดได้ วิธีเตรียมตัวเมื่อพาลูกไปเดินตากแดดควรสวมใส่ชุดมีความเบาบางเพื่อให้หายใจได้สะดวก โดยควรจะใส่หมวกเพื่อป้องกันแสงแดดโดนใบหน้า หู คอ และศรีษะของลูกน้อย👶โดยตรง รวมถึงใส่เสื้อผ้าที่มีความยาวคลุมแขนและขาของทารกรวมถึงควรซื้อแว่นกันแดดที่สามารถป้องกันยูวีเอและยูวีบีได้ เพื่อลดการสัมผัสของแสงยูวี⛅กับดวงตาของลูกน้อย การป้องกันตั้งแต่ยังเล็กจะลดโอกาสจอประสาทตาถูกทำลาย ต้อกระจกและปัญหาอื่นๆเกี่ยวกับดวงตาเมื่อออกไปข้างนอกให้กางร่ม☂️ให้ลูก หรือเปิดร่มในรถเข็นเด็ก รวมถึงเมื่อให้ลูกนั่งรถยนต์ส่วนตัวก็ควรจะมีที่บังแสงแดดแบบตาข่าย รวมถึงควรใช้ฟิมล์หน้าต่างที่สามารถกรองยูวีได้มากที่สุดหากเป็นไปได้พาทารก 6-12 เดือนตากแดดอย่างไรดีช่วงเวลาที่เหมาะสมผู้เชี่ยวชาญแนะนำช่วงเวลาในการพาทารกออกแสงแดดไว้คือช่วงเวลา 7 ถึง 10 โมงเช้า โดยควรตากแดดเวลาประมาณ 10-15 นาที🕐 ซึ่งช่วงเวลาที่ทารกจะได้รับประโยชน์สูงที่สุดคือช่วงหลังพระอาทิตย์ขึ้นหนึ่งชั่วโมงและช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกหนึ่งชั่วโมง โดยไม่ควรให้ลูกตากนานเกิน 30 นาที เพราะหากเกินกว่านั้นอาจทำให้ลูกเกิดอาการแสบร้อน ระคายเคือง เกิดรอยแดงได้ค่ะ วิธีเตรียมตัวเมื่อพาลูกไปเดินตากแดด⛅ ควรจะยังใส่เสื้อผ้า หมวก ร่มตามข้างต้นเพื่อป้องกันลูกน้อย👶อยู่แต่ให้เพิ่มครีมกันแดดให้ลูกด้วย โดยตอนนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถทาครีมกันแดดให้ลูกน้อยได้แล้ว ซึ่งควรเลือกครีมกันแดดสำหรับทารกโดยเฉพาะ และควรมีค่า SPF อย่างน้อย 30 และสามารถป้องกันรังสียูวีเอและยูวีบีได้ค่ะ

Content Image

สารให้ความหวานในน้ำอัดลมก่อให้เกิดมะเร็ง?

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ยืนยันการจำแนกสารให้ความหวานเทียม แอสปาร์แตมเป็นสารที่ 'มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' หรือ 'Possibly carcinogenics to humans' ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้  📢 ในขณะที่ข้อโต้แย้งด้านความปลอดภัยยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็กล่าวได้ว่าแอสปาร์แตมสามารถพบได้ในอาหารและเครื่องดื่มหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มลดน้ำหนัก เจลาติน หมากฝรั่ง ไอศกรีม ยาสีฟัน ยาอมแก้ไอ ผลิตภัณฑ์จากนม แล้วแบบนี้เราจะมีโอกาสเป็นมะเร็งหรือไม่ สารนี้จะหายไปจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเลยหรือไม่ คุณแม่หลายๆท่านกำลังสับสนกับเรื่องนี้🤰🏻 บิลลี่ จึงขออาสามาเช็กข้อเท็จจริงค่ะ!😉ทำความรู้จักกับแอสปาร์แตม🍹แอสปาร์แตม.....มีรสหวานกว่าน้ำตาล 200 เท่า แทบไม่มีแคลอรีเลย🙅🏻‍♀️ หลายๆท่านอาจจะยังไม่คุ้นกับชื่อของแอสปาร์แตม ซึ่งความจริงแล้วเราสามารถพบเจ้าแอสปาร์แตมนี้ในชีวิตประจำวันของเราได้ โดยสารนี้ใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากได้รับการอนุมัติในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2524 จึงเป็นสารปรุงแต่งอาหารที่ถูกนำมาใช้เพื่อให้อาหารมีรสหวาน 👅 ในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกโดยปัจจุบันยังคงมีการใช้ในอาหารและเครื่องดื่มแคลอรี่ต่ำ อย่าง Coke Zero, Diet Coke หมากฝรั่ง ลูกอม โยเกิร์ต ไอศรีม ซอส และขนมอีกหลากหลายชนิด แต่ไม่นานมานี้องค์กรอนามัยโลกหรือ WHO ประกาศให้เจ้าสารที่ถูกใช้ในเชิงเพื่อสุขภาพ กลายเป็นสารก่อมะเร็งแทน ข่าวนี้ทำให้ผู้อ่านหลายๆท่านหนักใจ เพราะเราต่างต้องเคยบริโภคสารนี้กันทั้งนั้น รู้จักประเภทของสารก่อมะเร็งองค์การระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง (IARC) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ WHO ได้ประกาศให้แอสปาร์แตมเป็นสารที่ 'มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' หรือ 'Possibly carcinogenics to humans'💥 ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้  โดย IARC ได้ระบุให้แอสปาร์แตมเป็นสารก่อมะเร็งในระดับ 2B ซึ่งการนิยามสารก่อมะเร็งของ IARC สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระดับใหญ่ๆดังนี้ระดับที่ 1 เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานบ่งชี้มากพอในเชิงสถิติ ว่าก่อให้เกิดโรคมะเร็งในมนุษย์ สารกลุ่มนี้ตามกฎหมายและข้อกำหนดขององค์กรอาหารและยาในแต่ละประเทศ จะต้องไม่ถูกเติมหรือมีการปนเปื้อนในอาหารอยู่แล้ว มักเป็นสารที่ถูกใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและวัสดุอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า ตัวอย่างสารในกลุ่มนี้ได้แก่ สารหนูหรืออาร์เซนิค หรือสารในกลุ่มเบนซีนค่ะระดับที่ 2A เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานงานวิจัยออกมายืนยันเช่นกันว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ยังถือว่ามีจำนวนงานวิจัยที่น้อย จึงได้แต่ใช้คำว่า 'มีแนวโน้มที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์' แทน ยังไม่สามารถยืนยันได้เพราะยังมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือไม่เพียงพอค่ะ อย่างไรก็ตามสารในกลุ่มนี้ก็ยังมีหลักฐานบ่งชี้เพียงพอว่าก่อมะเร็งได้ในสัตว์ทดลองค่ะ ยกตัวอย่างเช่นซิลิกาที่ใช้ทำซองดูดความชื้นนั่นเองค่ะระดับที่ 2Bเป็นสารที่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ส่วนหนึ่งบ่งชี้ว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะยืนยัน ในกรณีของการก่อมะเร็งในสัตว์ก็มีแต่ยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าสามารถก่อมะเร็งได้เช่นเดียวกันค่ะ ซึ่งเจ้าแอสปาร์แตมเองก็อยู่ในกลุ่มนี้ นั่นทำให้เราสามารถตีความได้ว่า ทางองค์กรอนามัยโลกให้ข้อมูลว่าแอสปาร์แตมอาจจะก่อมะเร็งทั้งในสัตว์และในคน แต่ยังเป็นหลักฐานที่มีจำนวนน่าเชื่อถือไม่เพียงพอ เมื่อคำนวณความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติค่ะระดับที่ 3 เป็นสารที่ยังไม่มีข้อมูลว่าสามารถก่อมะเร็งได้ทั้งในร่างกายมนุษย์เองและร่างกายของสัตว์ค่ะสรุปแล้วแอสปาร์แตมอันตรายแค่ไหนแอสปาร์แตมก่อมะเร็งจริงหรือไม่?โดยความจริงแล้วสารระดับ 2B นั้นสามารถพบได้ในส่วนผสมในของที่เรารับประทานหรือใช้กันในชีวิตประจำวัน🍽️ อย่าง กรดคาเฟอิกในกาแฟ ว่างหางจระเข้ น้ำมันมะพร้าว รวมถึงกิมจิและผักดองอื่นๆด้วย ซึ่งคนไม่ได้ให้ความสำคัญเท่ากับสารทดแทนความหวาน หลักฐานจึงยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าแอสปาร์แตมจะทำให้เราเป็นมะเร็งจริงๆ แม้กระทั่งหลักฐานในสัตว์ทดลองเองก็ยังไม่ได้มีจำนวนมากพอที่จะยืนยันได้ จึงสามารถสรุปได้ว่า ไม่ได้ห้ามบริโภคเป็นอาหาร และไม่ได้หมายความว่าการรับประทานแอสปาร์แตมจะทำให้เกิดมะเร็ง แต่มีความจำเป็นที่จะต้องจำกัดปริมาณในการรับประทานสารให้ความหวานเทียมค่ะ🙌🏻  ยังสามารถรับประทานน้ำอัดลม 0% ได้หรือไม่?ยังสามารถรับประทานได้ค่ะ โดยค่าที่ปลอดภัยในการรับประทานแอสปาร์แตมจะอยู่ที่ไม่เกิน 40 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม👀 หากจะพูดให้เห็นภาพ หากคุณผู้อ่านมีน้ำหนักตัวประมาณ 50 กิโลกรัมนั่นหมายความว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานแอสปาร์แตมได้ในปริมาณที่ปลอดภัยไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ในน้ำอัดลมที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลหนึ่งกระป๋อง มักใส่แอสปาร์แตมไม่เกิน 300 มิลลิกรัม นั่นแปลว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานน้ำอัดลมชนิดนั้นได้ประมาณ 6-7 กระป๋องโดยประมาณเลย ซึ่งนับเป็นปริมาณที่ค่อนข้างเยอะมากต่อวัน หากไม่ได้ติดน้ำอัดลมกลุ่มนี้ เรามักจะกินไม่ถึงปริมาณที่มีความเสี่ยงว่าจะก่อมะเร็งอยู่แล้วค่ะ🫡 ข้อควรระวังสำหรับผู้ปกครอง🍹สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์จากการศึกษาที่ประกาศโดย American Society for Reproductive Medicine ในปี 2559 📑 สารให้ความหวานเทียมในเครื่องดื่ม 0% จะลดความสามารถของผู้หญิงในการปฏิสนธิและส่งผลต่อสุขภาพของเซลล์ไข่ โดยหากบริโภคในระหว่างตั้งครรภ์ ว่ากันว่าอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์และทำให้เด็กเสี่ยงเป็นโรคอ้วนได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มอัดลมที่มีระดับน้ำตาลสูงหากเป็นไปได้นะคะ!🙅🏻‍♀️🍹 แล้วคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังเลี้ยงลูกอยู่ล่ะ?หากคุณมีโรคทางพันธุกรรมที่เรียกว่าฟีนิลคีโตนูเรีย (PKU) ซึ่งไม่สามารถเผาผลาญแอสปาร์แตมได้ ก็ควรจะหลีกเลี่ยงการรับประทานสิ่งที่มีแอสปาร์แตม 🚫 โดยไม่ใช่เพียงคุณแม่และลูกน้อยเท่านั้นที่ควรเลี่ยง แต่ยังรวมถึงแม่ที่วางแผนหรือกำลังตั้งครรภ์ด้วย ในกรณีของทารกแรกเกิด ทารกจะได้รับการทดสอบที่โรงพยาบาลหลังคลอด ดังนั้นหากมีความผิดปกติก็สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนั้นไม่ต้องกังวลจนมากเกินไปนะคะ!แม้ว่ากระทรวงความปลอดภัยด้านอาหารและยาจะได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยของสารให้ความหวาน แต่คุณพ่อคุณแม่บางคนก็ยังคงกังวล ท่ามกลางความขัดแย้งเรื่องแอสปาร์แตม หัวหน้าสำนักโภชนาการและความปลอดภัยด้านอาหารของ WHO แนะนำว่าควรพิจารณา 'การดื่มน้ำแทนเครื่องดื่มที่มีรสหวาน🥛' แทนที่จะมองหาของหวานอื่นทดแทน ลองเลิกนิสัยชอบความหวานและพึ่งพาอาหารแปรรูป แล้วหันมาใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพกันดูนะคะ 💖

Content Image

เคล็ดลับฝึกให้ลูกพูดสองภาษาตั้งแต่เด็ก

ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวไกลทำให้เรามีโอกาสได้พูดคุยจากคนต่างชาติได้ง่ายขึ้น รวมถึงเมื่อทำงานก็มีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร ดังนั้นการสอนให้ลูกพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษาก็จะทำให้ลูกได้เปรียบ ซึ่งเราจะมีวิธีสอนลูกอย่างไรให้ลูกสามารถพูดสองภาษาได้อย่างเป็นธรรมชาติและเรียนรู้อย่างรวดเร็ว เราไปดูกันเลยค่ะ กลยุทธ์การสอนภาษาที่สองให้ลูกควรจะสอนลูกพูดภาษาที่สองตั้งแต่เมื่อไหร่ดี?คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนให้ลูกพูดภาษาที่สอง🔤ได้ตั้งแต่ลูกยังอยู่ในครรภ์ได้เลยค่ะ โดยอาจอ่านนิทาน หรือ เปิดเพลงให้ฟังโดยใช้ภาษาที่สองก็จะทำให้ลูกทำความคุ้นเคยและเริ่มรับรู้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เพราะหากคุณแม่พูดกับลูกในครรภ์🤰บ่อยๆ ลูกก็จะเกิดการเรียนรู้และมีความคุ้นเคยกับมันค่ะ หลังคลอด คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถสอนต่อได้เลยจนลูกอายุ 7 ขวบ เพราะหลังจากนั้นลูกจะมีความคิดเป็นของตนเองและอาจต่อต้าน หรือ อาจรู้สึกสับสน รวมถึงยังเป็นวัยที่เข้าเรียนและได้รับการเรียนจากโรงเรียน🏫แล้วด้วยค่ะ คุณพ่อคุณแม่คือกุญแจสำคัญเทคนิคที่ดีที่สุดในการสอนลูกพูดสองภาษาคือตัวคุณพ่อ👨และคุณแม่👩เองค่ะ เพราะหากคุณพ่อคุณแม่พูดภาษาที่สองกับลูกในชีวิตประจำวันทุกๆวันๆ ทำให้เป็นเรื่องปกติลูกก็จะสามารถพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นอีกหนึ่งภาษา🔤ที่ใช้ในทุกๆวัน โดยเวลาคุยกับลูกก็ไม่ควรแปลให้ลูก ให้เริ่มพูดคำง่ายๆก่อนเช่น Dog, Go, Yes, No แล้วค่อยพูดยาวๆเป็นประโยคก็จะทำให้ลูกค่อยๆเข้าใจเองค่ะ วิธีทำให้ลูกจดจำได้ง่ายขึ้นเปิดการ์ตูนให้ลูกดู📺คุณพ่อคุณแม่สามารถเปิดการ์ตูนที่เป็นภาษาที่สองให้ลูกฟัง เพื่อให้ลูกซึมซึบสำเนียงและการออกเสียงที่ถูกต้อง อาจเปิดเพลงที่เป็นภาษาที่สอง หรือ อ่านนิทานภาษาที่สองให้ลูกฟัง เมื่อลูกได้ฟังบ่อยๆก็จะทำให้ลูกจดจำคำศัพท์ต่างๆได้ดีขึ้นค่ะ โปสเตอร์ภาษา หนัง หนังสืออ่าน📖ก็เป็นอีกตัวช่วยที่เป็นประโยชน์เมื่อสอนภาษาที่สองให้เจ้าตัวเล็ก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถสอดแทรกภาษาที่สองผ่านกิจกรรมต่างๆได้ โดยไม่ควรทำให้เป็นเรื่องที่จริงจังเพราะลูกจะเกิดการต่อต้านและจะไม่อยากเรียนรู้ค่ะ ทำกิจกรรมอื่นพร้อมกับสอนภาษาไปด้วยเมื่อทำกิจกรรมพร้อมๆกับการเรียนรู้ภาษา🔤จะทำให้เด็กเรียนรู้และจดจำได้มากกว่า ดังนั้น เมื่อคุณพ่อคุณแม่พาลูกน้อยออกไปข้างนอกลองชวนลูกพูดคุยและลองบอกคำศัพท์ต่างๆ เมื่อพบสิ่งของหรือสิ่งมีชีวิตต่างๆระหว่างทาง หรืออาจเปิดเพลง🎶ภาษาที่สองให้ลูกเต้นตามจังหวะเพลงไปด้วย หรือจะชวนลูกดูหนังที่เป็นภาษาอังกฤษโดยไม่มีซับ เพื่อให้ลูกได้ดูและฟังการกระทำของตัวละคร และจับความหมายของคำพูดนั้นๆอยากให้พูดเก่งต้องให้ลูกคิดเป็นภาษาอังกฤษวิธีทำให้ลูกคิดเป็นภาษาที่สองเทคนิคสำคัญที่ทำให้ลูกเก่งพูดสองภาษาคือการฝึกให้ลูกคิดเป็นภาษาอังกฤษ🔤แล้วสื่อสารออกมาได้ทันทีโดยไม่ต้องแปลกลับจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ โดยพยายามสื่อสารกับลูกด้วยภาษาอังกฤษแบบไม่ต้องแปลความหมายให้ฟัง แม้ว่าในช่วงแรกของการพูดลูกอาจจะไม่เข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่พูดถึงอะไร คุณพ่อ👨คุณแม่👩สามารถบอกใบ้โดยการชี้หรือทำท่าทางประกอบเพื่อให้ลูกเข้าใจ แทนการแปลหรือบอกให้ลูกฟังแล้วลูกจะเข้าใจได้เองค่ะ ใช้ความอดทนการจะฝึกให้ลูกพูดภาษาที่สองนั้น คุณพ่อคุณแม่จะต้องใช้ความอดทน และรอให้ลูกเรียนรู้ คอยพูดคุยกับลูกเป็นภาษาที่สอง และชมเชยเมื่อลูกทำสำเร็จลูกก็จะมีกำลังใจในการพูดและเรียนรู้เองค่ะ 

Content Image

การพัฒนาสมองของลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์เป็นยังไงนะ?

     ทารกในครรภ์มีการก่อตัวของของระบบประสาทและสมอง🧠ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ในครรภ์ และเริ่มมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามช่วงอายุครรภ์ โดยคุณพ่อคุณแม่👫สามารถช่วยกระตุ้นการพัฒนาของลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ไปจนถึงหลังการคลอดของลูกได้เลยค่ะ นับตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์คุณพ่อคุณแม่อาจจะตื่นเต้นและรอวันที่ได้เจอหน้าลูกน้อย ดังนั้นทางเราจึงได้รวบรวมเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการกระตุ้นการพัฒนาสมองของทารกเพื่อให้ทารกมีพัฒนาการที่ดีสมวัยมาให้ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ทราบค่ะการกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ควรเริ่มเมื่อไหร่ดี?นับตั้งแต่กระบวนการปฏิสนธิสมบูรณ์ ไข่กับสเปิร์มจะสร้างเป็นตัวอ่อน ซึ่งตัวอ่อนในท้องของคุณแม่🤰ก็จะเริ่มพัฒนาไปเรื่อยๆ พร้อมกับสร้างอวัยวะรวมทั้งเซลล์สมองที่มีการเพิ่มจำนวนและขนาดอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นเนื้อสมองและเส้นใยประสาทที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายเส้นใยประสาทเพื่อทำหน้าที่ต่างๆ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่👫ควรเริ่มกระตุ้นการพัฒนาการสมองของลูกน้อยตั้งแต่อายุครรภ์ 8 สัปดาห์ ไปจนถึงอายุ 2 ขวบ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่คุณพ่อคุณแม่จะใส่ใจเรื่องการส่งเสริมการพัฒนาของลูกปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นให้ลูกมีพัฒนาการสมองที่ดีการที่ลูกจะมีพัฒนาการที่ดีนั้นมักเกี่ยวข้องกับหลายๆ ปัจจัย โดยปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อการพัฒนาของลูกน้อยในครรภ์ การพัฒนาการของวัยทารก รวมไปถึงการพัฒนาของระดับสติปัญญา🧠✨และการเรียนรู้ตั้งแต่ในครรภ์ไปจนถึงหลังคลอดมีดังนี้พันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาจากคุณพ่อคุณแม่พันธุกรรมของลูกน้อยนอกจากหน้าตา👶 สีผิว และสีผมที่ได้รับการถ่ายทอดมาแล้ว ยีน🧬ทั้งหมดในร่างกายยังมีความเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองและระบบประสาทด้วยการรับประทานอาหารและสารอาหารที่คุณแม่ได้รับในขณะตั้งครรภ์ช่วงตั้งครรภ์คุณแม่ต้องใส่ใจกับสุขภาพมากที่สุด ดังนั้นการใส่ใจเรื่องการรับประทานอาหารในช่วงนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะสารอาหารต่างๆ🥗 ที่คุณแม่รับประทานเข้าไปจะส่งผลกับทารกในครรภ์ ระบบการทำงานของร่างกายคุณแม่เสียงการทำงานของหัวใจ🫀 เสียงการบีบตัวของลำไส้ หรือเสียงการเคลื่อนไหวของกระแสโลหิตล้วนมีความสำคัญ เพราะลูกน้อยในท้องของคุณแม่สามารถได้ยิน👂เสียงพวกนี้ ซึ่งจะกระตุ้นเรื่องการพัฒนาการได้ยินของลูกน้อยอารมณ์ของคุณแม่ช่วงตั้งครรภ์หากคุณแม่มีความเครียดมาก😡ในระหว่างตั้งครรภ์จะส่งผลกระทบกับการพัฒนาสมองของลูกน้อยในครรภ์ด้วยวิธีการช่วยกระตุ้นให้ลูกฉลาดตั้งแต่อยู่ในครรภ์ลูบหน้าท้องกระตุ้นความรู้สึกการที่คุณแม่ลูบหน้าท้องเบาๆ🤰จะทำให้ลูกน้อยรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นระบบประสาทและสมองส่วนความรู้สึกได้ชวนลูกคุยบ่อยๆ หรือเปิดเสียงดนตรีให้ลูกฟังลูกน้อยในครรภ์ของคุณแม่สามารถได้ยินเสียงผ่านผนังหน้าท้อง🎧🤰 ซึ่งทารกในครรภ์จะได้ยินเสียงได้ดีตั้งแต่อายุครรภ์ 5 เดือนขึ้นไป การที่คุณพ่อคุณแม่มีการพูดคุยกับลูกส่งผลให้ทารกมีความคุ้นเคยจากเสียง และคุณแม่สามารถหยิบหนังสือ📖🗣️มาอ่านออกเสียงให้ลูกน้อยฟัง โดยเสียงจากคุณแม่จะกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อสมองที่มีความซับซ้อนของการได้ยิน ตีความเสียง และส่วนความทรงจำ นอกจากนี้การเปิดเพลง🎶ให้ลูกฟังทำให้ทารกในครรภ์มีพัฒนาการที่ดีทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ดีด้วย😄ส่องไฟฉายบริเวณผิวท้องของคุณแม่เพื่อกระตุ้นการมองเห็นคุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการส่วนการมองเห็น👁️ ด้วยการดึงดูดความสนใจของทารกในครรภ์ โดยการส่องไฟฉาย🔦 เลื่อนไป-มา หรือ เปิด-ปิดไฟฉาย พร้อมกับพูดคุยและเล่นกับลูกน้อยไปด้วย แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ทำในที่มืด🌌จะช่วยเรื่องการมองเห็นได้ดีกว่าที่สว่าง และควรเริ่มทำตั้งแต่ทารกเริ่มดิ้นไปจนถึงวันที่คลอด การนั่งโยกเก้าอี้ หรือการออกกำลังกายจะช่วยพัฒนาการเคลื่อนไหวของลูกคุณแม่สามารถนั่งโยกเก้าอี้🪑หน้า-หลัง พร้อมเอามือลูบหน้าท้องไปพรางๆ และเปิดเพลงฟัง🎵 หรือออกกำลังกายเบาๆ จะช่วยกระตุ้นเรื่องการพัฒนาด้านเซลล์ประสาทการทรงตัวและพัฒนาเรื่องระบบประสาทการสัมผัสของทารก     คุณแม่ควรใส่ใจเรื่องการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์🍲 หมั่นดูแลร่างกายให้พร้อมจนถึงวันคลอด และนอกจากการบำรุงร่างกายที่ดีแล้ว คุณแม่ควรออกกำลังกาย🚶‍♀️แต่พอเหมาะ ไม่ควรหักโหมจนเกินไป เพราะอาจจะเกิดอันตรายต่อตัวคุณแม่และทารกในครรภ์ได้ รวมไปถึงการให้ความสำคัญต่อการเสริมพัฒนาการของทารกในครรภ์ เพื่อเป็นการช่วยให้ลูกมีพัฒนาการการเรียนรู้ที่ดี โดยเน้นให้ความสำคัญเกี่ยวกับการกระตุ้นสมอง🧠และระบบประสาทตั้งแต่ลูกน้อยอยู่ในครรภ์ไปจนถึงหลังการคลอด🤱

👉 List บทความ7-9 เดือน

Content Image

เคล็ดลับสำหรับพ่อ/แม่เลี้ยงเดี่ยว รับมือได้ไม่หวั่น

เมื่อเหตุการณ์นำพาให้มาเป็นพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว ก็อย่าเพิ่งท้อใจไปนะคะ เพราะวันนี้เราได้นำเคล็ดลับในการรับมือกับปัญหาและให้ได้เดินก้าวไปอย่างมั่นใจกันมาฝากกันค่ะ ดูแลตนเองให้ดี หาเพื่อนรู้ใจดูแลตัวเองให้ดีก่อนนะคะคุณแม่หรือคุณพ่อจะต้องรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับ💤อย่างเพียงพอ เพื่อให้เรามีแรงได้เลี้ยงลูกได้เพราะก่อนที่เราจะดูแลคนอื่นได้ ตัวเราจะต้องพร้อมก่อน นอกจากการดูแลทางกายภาพแล้วก็อย่าลืมดูแลความรู้สึกของตนเอง พยายาม move on อาจหากิจกรรมที่เราชอบทำ หรือ หากำลังใจ💗จากคนรอบตัว หาคนคุยเรื่องปัญหาด้วยการที่เรามีเก็บปัญหามาคิดคนเดียว บางครั้งมันก็ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวและหนักอึ้งได้ ดังนั้นการหาเพื่อนรู้ใจ อาจจะเป็นเพื่อนสนิทที่เราไว้ใจ หรือจะเป็นคนในครอบครัว👪ที่สามารถพูดคุยระบายความในใจให้ฟังก็จะทำให้เราสบายใจขึ้นได้ เพราะบางครั้งเราก็แค่ต้องการใครสักคนมาคอยรับฟัง ซึ่งหากคุณพ่อหรือคุณแม่ไม่สามารถหาคนที่จะพูดคุยด้วยได้ เราก็ยังสามารถโพสต์ตามกลุ่มต่างๆบนโลกโซเชี่ยล📱 หรือจะเป็นกลุ่มชาวบิลลี่ก็ได้นะ! คุณพ่อคุณแม่ก็จะได้รับกำลังใจและคำแนะนำต่างๆ ไม่ว่าจะจากคุณพ่อคุณแม่ท่านอื่นๆ หรือจากคนที่กำลังประสบปัญหาเดียวกันด้วยค่ะ อย่าอยู่คนเดียวและยอมรับความช่วยเหลือออกไปเจอผู้คน เปลี่ยนบรรยากาศ  บางครั้งการที่เราอยู่กับบรรยากาศเดิมๆ จะทำให้เรารู้สึกหดหู่และคิดแต่เรื่องเดิมๆ เราทำให้ยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่ คุณพ่อหรือคุณแม่อาจไปพบปะเพื่อนหรือคนกลุ่มใหม่ๆ และพูดคุยเรื่องอื่นๆบ้าง หรืออาจจะพาเจ้าตัวเล็กไปท่องเที่ยว เรียนศิลปะ🎨 เรียนว่ายน้ำต่างๆ เป็นต้นยอมรับความช่วยเหลือจากคนรอบข้างบ้างเพราะบางครั้งการทำด้วยตัวเองทั้งหมดคนเดียวก็อาจจะไม่ไหว คุณยังมีคนรอบข้างที่คอยเป็นห่วง และยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือคุณและลูกของคุณอยู่👼 การรับความช่วยเหลือไม่ได้แปลว่าเราอ่อนแอ แต่เป็นการให้เวลากับตนเองให้ได้เยียวยาพักผ่อนทั้งทางร่างกายและจิตใจ❤️‍🩹 มีเวลาจัดระเบียบชีวิตให้เราได้กลับมาสู้ต่อได้ กำหนดตารางเวลาและคิดในแง่บวกกำหนดตารางเวลาการกำหนดตารางเวลา📅 จะทำให้ลูกรู้ว่าตนเองจะต้องทำอะไรในเวลาไหน ซึ่งจะเป็นการฝึกให้ลูกรู้จักรับผิดชอบ และรู้จักหน้าที่ของตนเอง ก็เราก็ไม่จำเป็นจะต้องยึดติดกับตารางมากจนเกินไปเพราะลูกจะรู้สึกว่าเป็นการบังคับ เราจึงควรยืดหยุ่นให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆนั่นเอง เราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบก็เป็นพ่อแม่ที่ดีได้คุณพ่อคุณแม่หลายๆท่านกดดันตนเองว่าเราจะต้องเป็นพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบเพื่อลูก แต่บางครั้งการที่เราทำพลาดบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย พยายามอย่าโทษตนเองมากจนเกินไป ปล่อยวางในสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ คิดถึงแต่สิ่งดีๆที่เราจะสามารถมอบให้กับลูกได้จะดีกว่านะคะ😊แสดงความรักให้ลูกเห็นไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร หากคุณแสดงความรักต่อลูกให้ลูกได้เห็น ให้ลูกรับรู้ว่าคุณพร้อมที่จะอยู่ข้างๆ ลูกเสมอจะทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัย💕 และมีความมั่นใจ รวมถึงหากได้โอกาสคุณก็ควรจะชื่นชมเวลาที่ลูกทำอะไรที่ถูกต้อง แม้ว่าอาจจะยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างที่คุณตั้งไว้ แต่การให้กำลังใจก็จะทำให้ลูกสบายใจ และไม่รู้สึกกดดันมากจนเกินไปค่ะ😊

Content Image

ทำไมลูกถึงไม่ยอมคลาน?

คุณพ่อคุณแม่หลายๆคนอาจกำลังกังวลว่าทำไปลูกถึงไม่ยอมคลานสักที? ลูกกำลังมีพัฒนาการที่ล้าช้าหรือเปล่า แล้วควรทำอย่างไร วันนี้เรามีคำตอบมาฝากค่ะ การคลานนั้นสำคัญอย่างไร?✨การคลานมีความสำคัญของทารก👶เพราะเป็นพื้นฐานสำหรับก้าวต่อไปคือการเดิน ซึ่งจะต้องใช้กล้ามเนื้อแขนและขาในการเคลื่อนไหวสัมพันธ์กัน โดยลูกน้อยจะต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมมันด้วยตนเอง✨เกณฑ์ที่ช้าผิดปกติลูกยังไม่พลิกตัวเมื่ออายุครบ 6 เดือน เวลานั่งยังไม่สามารถทรงตัวเองได้ เมื่ออายุ 10 เดือน ลูก👶ไม่สามารถเกาะยืนได้เมื่ออายุ 12 เดือน หรือ ลูกไม่สามารถเดินเองได้เมื่ออายุ 18 เดือนทำไมลูกถึงไม่คลานสักที?✨ความเร็วของพัฒนาการเมื่ออายุได้ 6-7 เดือนทารกส่วนใหญ่จะเริ่มคลาน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับพัฒนาการของแต่ละคน บางคนก็เร็วกว่า บางคนก็ช้ากว่า ในบางคนก็เพิ่งเริ่มคลานเมื่ออายุ 10 เดือนขึ้นไป หรืออาจพัฒนาข้ามขั้นตอนการคลานไปเลยก็ได้ค่ะ🙂✨ข้ามขั้น หากเด็กสามารถคลานได้ก็หมายความว่าสมอง🧠และประสาทสัมผัสทั้ง 5 มีการทำงานร่วมกันซึ่งมีผลดีกับการพัฒนาการของลูกน้อย แต่ก็ยังพบว่ามีหลายๆคนที่ข้ามขั้นไปยืนและเดินเลย โดยไม่ผ่านขั้นตอนการคลานการเลี้ยงดูก็มีผล✨เล่นกับลูกน้อยการกระตุ้นด้วยการเล่นกับลูกบ่อยๆ มีความสำคัญมากสามารถกระตุ้นโดยการจับคว่ำแล้วลองเรียกชื่อ เมื่อคลานได้ก็ให้ชม ตรบมือ ก็จะทำให้น้อง👶มีกำลังใจในการคลาน✨เบาะที่รองคลานนุ่มเกินไปถ้าลูกน้อยยังคลานไม่ค่อยได้ ควรพาคลานควรหาเบาะที่แข็งพอที่จะรองรับแรงกระแทก ไม่ควรอ่อนเกินไปเพราะอาจทำให้ลูกคลานได้ไม่ถนัดค่ะ โดยอาจเลือกที่มีลวดลายสวยๆ สีสันสดใส🙂✨อุ้มตลอดคุณพ่อคุณแม่บางคนกลัวว่าลูกน้อยจะสกปรกเลอะพื้น และไม่ยอมปล่อยปล่อยให้ลูกเล่นบนพื้น และอุ้มไว้ตลอดก็มักจะพบว่าทารกมีการคลานที่ช้าเนื่องจากกล้ามเนื้อแขนและขาไม่มีโอกาสได้ใช้อย่างอิสระบนพื้น พยายามสร้างประสบการณ์ให้ลูก หาของเล่น🧸ที่ลูกชอบมาหลอกล่อให้อยากคลานค่ะ

Content Image

อันตรายของภาวะแหวะนมในทารก

     ภาวะแหวะนม🤮ในทารกทำให้คุณแม่หลายๆท่านรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก มักเกิดคำถามขึ้นว่า ลูกจะป่วยไหม? ลูกจะได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอหรือเปล่า? วันนี้ทางเราได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภาวะแหวะนมและอันตรายของภาวะนี้มาให้คุณแม่ทราบ เราไปหาคำตอบพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️สาเหตุของการเกิดภาวะแหวะนมในทารกการที่ทารกแหวะนมออกมาบ่อยๆนั้น เกิดมาจากกล้ามเนื้อหูรูดส่วนล่างของหลอดอาหารยังพัฒนาได้ไม่สมบูรณ์นัก จึงทำให้น้ำนมไหลย้อนกลับออกมาทางปาก และยังรวมไปถึงการที่ทารกมีขนาดกระเพาะอาหารที่เล็ก จึงทำให้นมไหลออกกลับมาคืนเมื่อทารกดื่มนม🍼ในปริมาณที่มากเกินไป 👉คุณแม่จะสามารถสังเกตอาการลูกแหวะนมได้ง่ายๆ สังเกตจากอาการดังต่อไปนี้ -หลังจากดื่มนมเสร็จแล้ว ลูกจะแหวะนมออกทางปาก👄และทางจมูก-ลูกจะมีอาการงอแง😭เนื่องจากไม่สบายท้อง ทำให้ลูกบิดตัวไปมาบนที่นอน และไม่ยังยอมนอนหลับอีกด้วย-สังเกตได้จากของเหลวที่ลูกแหวะออกมา ของเหลวนั้นจะมีลักษณะเป็นลิ่ม เป็นสีขาว⚪️ คล้ายๆกับเต้าหู้อาการลูกแหวะนมอันตรายไหม?✨เป็นอาการปกติที่พบได้ในทารกอาการลูกแหวะนมถือว่าเป็นอาการปกติที่มักพบได้บ่อยหลังจากลูกกินนมเสร็จ อาการนี้ไม่ส่งผลต่อสารอาหารที่ลูกได้รับหลังจากแหวะนมเสร็จ และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของทารกด้วย ลูกอย่างสามารถดื่มนมได้ตามปกติเลยค่ะ แต่ถ้าหากคุณแม่พบว่านมที่ลูกแหวะออกมานั้นมีสิ่งเจือปนอื่นๆร่วมด้วย เช่น มีอ้วกปน มีลิ่มเลือดปน🩸 มีสีเหลืองคล้ายน้ำดีปน หรือแม้กระทั่งมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ คุณแม่ไม่ควรนิ่งเฉยและควรพาลูกไปพบแพทย์👩‍⚕️ทันทีค่ะ      สรุปได้ว่าอาการแหวะนม🤮นั้นถือว่าเป็นอาการปกติที่เกิดได้ในเด็กทารก เพราะเด็กยังมีกล้ามเนื้อหูรูดที่พัฒนาได้ไม่สมบูรณ์ และยังรวมไปถึงอาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่นๆ เช่น ทารกดื่มนมเร็วจนเกินไป ทารกดื่มนมในปริมาณที่มาก ทารกมีอาการภูมิแพ้อาหารแฝง เพราะไม่สามารถย่อยอาหารบางชนิดได้  ทารกกลืนอากาศเข้าไปในขณะดื่มนมด้วย และยังรวมไปถึงการที่ทารกเป็นโรคกรดไหลย้อน โรคหลอดอาหารอักเสบ และภาวะไพรอรัสตีบ เป็นต้น

Content Image

คำนวณ BMI อย่างไร? น้ำหนักส่วนสูงลูก

น้ำหนักและส่วนสูงของเด็กเป็นหนึ่งในข้อมูลพื้นฐานที่ผู้ปกครองจะสามารถตรวจค่าได้ว่ามี ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) อยู่ในมาตรฐาน หรือไม่ โดยจะสามารถตรวจได้ตั้งแต่ลูกยังเล็ก ซึ่งหากมีค่าเกินกว่ามาตรฐานนั่นแปลว่าเด็กจะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคอื่นและโรคอื่นๆด้วยค่ะ BMI คืออะไร? มีความสำคัญอย่างไร?ค่า BMI คืออะไรนะ?น้ำหนักและส่วนสูงของเด็กจะสามารถสังเหตุได้ตั้งแต่เด็กโดยหากทั้งสองอย่างนี้ไม่ได้มาตรฐานนั่นแปลว่าลูกอาจจะผอมหรืออ้วนเกิน ซึ่งหากปล่อยทิ้งเอาไว้ก็จะส่งผลเสียต่อร่างกายเมื่อเด็กเติบโตขึ้น ซึ่งค่า BMI ⚖️นี้คืออะไรนั้นเราไปดูกันเลยค่ะ BMI หรือ Body Mass Index หรือ ภาษาไทยเรียกว่า ค่าดัชนีมวลกายเป็นค่าที่มั่วใช้ทั่วไปเป็นสากลในการวัดขนาดของร่างกาย👦ผ่านการคำนวณ ส่วนสูงและน้ำหนัก ทำให้คำนวณวัดได้ง่ายวิธีการคำนวณค่า BMI และน้ำหนักมาตรฐานของเด็กวิธีการคำนวณค่า BMI💡สามารถทำได้โดยการ นำน้ำหนักของเด็ก (กิโลกรัม) หารด้วย/ ส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสองกิโลกรัม/เมตร^2น้ำหนักและส่วนสูงของเด็กตามเกณฑ์มาตรฐาน เด็กเพศชายและเพศหญิงนั้นมีเกณฑ์ในการวัดค่ามาตรฐาน แตกต่างกันและจะต่างกันในแต่ละอายุด้วย เช่น ที่มาของภาพ: babyboxซึ่งหากคำนวณแล้วมี BMI ที่✨< 18.5 แปลว่าอยู่ในเกณฑ์ผอมและมีเสี่ยงต่อโรคค่อนข้างต่ำ✨18.5 – 22.9 แปลว่าสมส่วนได้มาตรฐานมีความเสี่ยงเท่าเด็กปกติทั่วไป✨23 – 24.9 แปลว่าน้ำหนักเริ่มเกินมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น✨25-29.9 แปลว่าอ้วนระดับ 1 มีความเสี่ยงมาก✨> 30 แปลว่าอ้วนระดับ 2 ถือว่ามีเสี่ยงในระดับอันตรายหากBMI เกินเกณฑ์ควรทำอย่างไร?หากตรวจค่า BMI แล้วพบว่าอยู่ในระดับสูงกว่ามาตรฐานก็ไม่ควรจะปล่อยไป โดยเรามีข้อแนะนำดังนี้ค่ะ ใช้สื่อเป็นตัวกลางคุณพ่อคุณแม่สามารถใช้สื่อเป็นตัวกลางให้ลูกเข้าใจความสำคัญของการทานอาหาร🍲และการออกกำลัง และให้ลูกเข้าใจเกี่ยวกับร่างกายมากขึ้น โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถพูดคุยขณะที่แสดงวีดีโอ📱การ์ตูนที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพประกอบไปด้วยให้ลูกขยับร่างกาย ทำกิจกรรมแม้ว่าจะเป็นเรื่องยากสักหน่อยที่จะบังคับให้ลูกไปวิ่งออกกำลังกาย🏃‍♀️เพราะลูกยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจในเรื่องต่างๆ ดังนั้นอาจให้ลูกออกกำลังกายผ่านการเล่นไปก่อน อย่างการวิ่งไล่จับ โดยอาจหาเพื่อนในวัยเดียวกันมาเล่นเป็นเพื่อนก็ได้ค่ะ พยายามให้ลูกทานผักผลไม้การรับประทานอาหารของเด็กสามารถมีผลกับน้ำหนักและส่วนสูงของเด็กโดยตรงดังนั้นเป็นเรื่องสำคัญมากที่ควรให้ลูกทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ รวมถึงให้ทานผัก🥬ผลไม้ด้วยค่ะ 

Content Image

รับมือกับผดร้อน!

เชื่อว่าคงไม่มีผู้ปกครองคนไหนที่อยากให้ลูกไม่สบายหรือมีความผิดปกติทางร่างกายหรือจิตใจ แต่ในบางครั้งด้วยสภาพแวดล้อมที่ควบคุมไม่ได้อย่าง อากาศร้อน ก็อาจส่งผลให้ผิวของทารกถูกกระตุ้นและเกิดอาการแพ้ได้ อย่าง ผื่ผ้าอ้อม หรือ ภูมิแพ้ผิวหนัง รวมถึง ผดร้อน 🥵ด้วยเช่นกัน ซึ่งเจ้าผดร้อนนี้มักจะพบในเวลาที่อากาศร้อน ทำให้เกิดเหงื่อ และเกิดตุ่มเล็กๆ ตามตัวลูกทำให้ลูกรู้สึกแสบและคัน ซึ่งเราจะมีวิธีป้องกันและดูแลผดร้อนนี้อย่างไรบ้างเราไปดูกันเลยค่ะ ผดร้อนในทารกผดร้อน คืออะไร?ผดร้อน หรือ (Heat rash)☀️คือตุ่มเล็กๆ ที่เกิดจากการอุดตันของต่อมเหงื่อใต้ผิวหนัง ซึ่งมักจะเกิดบริเวณใบหน้า อก คอ หลัง ขา รวมถึงข้อพับต่างๆ และจะมีอาการคัน ผดร้อนนี้สามารถเกิดได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เมื่อต้องอยู่ในอากาศที่ร้อนอบอ้าว ซึ่งจะพบได้มากในทารกแรกเกิด👶 เพราะในทารกแรกเกิดนั้นต่อมเหงื่อจะยังพัฒนาได้ไม่สมบูรณ์นั่นเองค่ะ ผดร้อนมีอันตรายร้ายแรงไหม?คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ต้องกังวลมากจนเกินไปนะคะ เพราะผดร้อนนั้นไม่ได้มีอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพของลูกน้อย เพียงแต่อาจจะทำให้ลูกรู้สึกไม่สบายตัว แสบร้อน🥵 คัน ทำให้ลูกอาจงอแง หงุดหงิดได้ค่ะ อาการของผดร้อนในทารกที่สังเกตได้ลักษณะอาการของผดร้อนผิวหนังของลูกน้อยจะมีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆขึ้นตามส่วนต่างๆของร่างกาย โดยจะมีอาการคันร่วมด้วย คุณพ่อคุณอาจพบว่าลูกมีอาการเป็นผดแดง🔴 ลูกจะรู้สึกระคายเคือง แสบและคัน หรืออาจจะพบว่าลูกมีตุ่มเล็กๆนี้เป็นน้ำใส โดยไม่มีอาการคันหรือเจ็บร่วมด้วย แต่จะแตกเป็นสะเก็ดได้ง่าย หรืออาจจะพบว่าลูก👶มีตุ่มสีเนื้อ โดยไม่มีอาการอื่นๆร่วมด้วย ซึ่งหากลูกมีอาการที่กล่าวมาส่วนใหญ่จะสามารถหายได้เองเมื่ออากาศเย็นลงเมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์แต่อย่างไรก็ตามผู้ปกครองควรพาลูกน้อยไปพบแพทย์👩‍⚕️เมื่อมีอาการดังต่อไปนี้✨เมื่อมีอาการเกิน 2-3 วัน : ผดไม่หายและยังมีอาการเจ็บ คัน แสบ✨มีการเปลี่ยนแปลงของผด : เช่น ผดเปลี่ยนเป็นสีแดงสว่าง✨ต่อมน้ำเหลืองบวม✨ลูกมีอาการบวมแดง อุ่น หรือ เจ็บปวดมากขึ้นบริเวณที่เป็นผด : อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ✨ผดร้อนเริ่มเป็นหนอง : แสดงว่าติดเชื้อ✨หากลูกน้อยเริ่มมีไข้🌡️ หรือ มีอาการเจ็บป่วยอื่นๆร่วมด้วยวิธีป้องกันผดร้อนในทารกเลือกเครื่องใช้ต่างๆไม่ควรใช้โลชั่น🧴ที่มีส่วนผสมของน้ำมันแร่ หรือ ปิโตรเลียมเจลลี่ เพราะโลชั่นเหล่านี้อาจทำให้รูขุมขนอุดดัน โดยควรจะเลือกใช้โลชั่นออร์แกนิค หรือ ครีมออร์แกนิคแทน สบู่อาบน้ำที่เลือกมานั้นไม่ควรมีการเจือสี และไม่มีควรมีส่วนผสมของน้ำหอม ควรเป็นสบู่🧼ที่ทำขึ้นมาให้ทารกโดยเฉพาะ และเป็นไปได้ควรเลือกใช้แบบออร์แกนิคเช่นเดียวกันค่ะเวลาออกไปข้างนอกเนื่องจากอากาศในเมืองไทยค่อนข้างร้อน☀️อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้🥵 คุณพ่อคุณแม่จึงต้องหาเสื้อผ้าที่เบา สบาย มีลักษณะนุ่มและระบายอากาศได้ดี รวมถึงควรหลีกเลี่ยงอากาศร้อนชื้น อาจไปในที่ที่มีเครื่องปรับอากาศ โดยหากจะต้องออกไปข้างนอกก็ควรมีพัดลมจิ๋วติดตัวไปด้วยอีกวิธีที่สามารถทำได้คือใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเย็น🧖 แล้วบิดให้หมาด จากนั้นประคบให้ลูก ก็จะช่วยบรรเทาอากาศร้อนได้ค่ะ

Content Image

สอนลูกหัดเดินอย่างไรดี?

คุณพ่อคุณแม่มักรอคอยการเดินก้าวแรกของลูกเสมอ โดยทั่วไป เด็กจะเริ่มเดินได้เมื่ออายุประมาณ 1 ขวบ แต่ก็อาจมีบางคนที่เดินได้ไวกว่านั้นหรือช้ากว่านั้นขึ้นอยู่กับพัฒนาการของแต่ละคน ซึ่งเราจะช่วยส่งเสริมการเดินของลูกได้อย่างไรบ้างนั้น วันนี้เราไปดูกันค่ะมาสอนให้ลูกน้อยหัดเดินกันเถอะ!✨หาที่เกาะให้ลูกเมื่อลูกน้อย👶เริ่มคลานด้วยความชำนาญแล้วลองให้ลูกน้อยทรงตัวนั่งด้วยตนเองดู เพื่อฝึกกล้ามเนื้อให้พร้อมสำหรับการเดิน อาจจัดพื้นที่ที่ลูกน้อยสามารถเกาะเฟอร์นิเจอร์เดินไปรอบๆได้ แต่ก็ต้องระวัง มุมแหลมต่างๆ และระวังเฟอร์นิเจอร์ล้มลงมาหากไม่แข็งแรงพอ✨หลอกล่อด้วยของเล่นเมื่อลูกเริ่มเกาะ✋และเดินไปรอบๆเป็น ก็อย่าลืมชมลูกเมื่อทำได้ อาจหาลองเล่นที่ลูกชอบ หรือ ของเล่นแปลกใหม่มาหลอกล่อให้ลูกเดินมาหา ✨ฝึกจับมือเดินเมื่อลูกน้อยมีความมั่นใจในการเดิน👣มากขึ้น คุณพ่อคุณแม่อาจลองช่วยด้วยการฝึกจับมือ✋เดินในทุกๆวัน และอาจพาลูกน้อยไปเจอเด็กในวัยไล่เลี่ยกัน เมื่อลูกเห็นเพื่อนเดินได้ก็จะทำให้อยากเดินได้ไวไวบ้างนั่นเองค่ะโดยวิธีจับมือเดินให้คุณพ่อคุณแม่ยืนอยู่ข้างหลังลูกน้อยแล้วจับมือ✋ลูกทั้งสองข้าง จากนั้นค่อยๆให้ลูกเดินไปข้างหน้าทีละก้าว👣 แล้วค่อยๆเดินตาม หากลูกยังทรงตัวได้ไม่ดีอาจพยุงระหว่างแขนแทนได้ค่ะ และอาจให้คุณพ่อหรือคุณแม่ยืนรออยู่อีกฝั่งเพื่อเรียกลูกให้เดินไปหาค่ะค่อยๆฝึกกันไป✨ค่อยๆปล่อยมือเองเมื่อพาลูก👶ไปสถานที่ใหม่ๆ เช่น สวนสาธารณะ ห้าง ก็จะทำให้ลูกอยากเดินไปไหนมาไหนเอง เมื่อลูกเริ่มเดินคล่องแล้วลูกก็อาจจะปล่อยมือข้างใดข้างหนึ่ง เพื่อเอื้อมไปหยิบจับสิ่งที่เขาอยากได้ และสุดท้ายเมื่อลูกน้อยมั่นใจว่าเดินคล่องแล้วก็จะปล่อยมือทั้งสองและเดินด้วยตัวเองค่ะ ✨ไม่ควรเร่งรีบไม่ควรเร่งรีบใจร้อนให้ลูก👶เดินได้เร็วๆ เพราะพัฒนาการของเด็กแต่ละคนช้าเร็วไม่เท่ากัน และหากลูกยังทำไม่ได้แล้วไปเร่งก็จะทำให้เขาเสียความมั่นใจและยิ่งทำให้พัฒนาการล่าช้าเข้าไปอีกค่ะ✨เท้าเปล่าดีที่สุดเวลาลูกน้อยหัดเดินการหัดเดินด้วยเท้าเปล่า👣นั้นจะดีที่สุดค่ะ เพราะลูกจะสามารถรับความรู้สึกที่ฝ่าเท้า ทำให้ลูกเดินได้เต็มเท้า ลูกจะรับรู้ว่าพื้นมีความแข็ง นิ่ม เรียบ ขรุขระ ร้อน หรือเย็น เมื่อเริ่มเดินได้และต้องออกนอกบ้านก็ควรให้ลูกใส่รองเท้านะคะจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะแก่การฝึกเดินของลูก✨ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญคุณพ่อคุณแม่ควรจะตระหนักถึงความปลอดภัยของลูกเพราะเมื่อลูกเริ่มหัดเดิน ลูกจะเกาะสิ่งต่างๆ🪑ในบ้านที่เพื่อพยุงตัวเอง ดังนั้นควรจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าเฟอร์นิเจอร์ต่างๆในบ้านมีความแข็งแรงมั่นคงและจะไม่ล้มลงมาหากลูกจับ นอกจากนั้นให้ตรวจดูว่าในบ้านมีของมีคม🔪หรือไม่ รวมถึงดูขอบเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ เพราะหากชนขึ้นมาก็จะเจ็บได้นั่นเองค่ะ✨ส่งเสริมการเรียนรู้โดยการจัดสิ่งแวดล้อมในบ้านการจัดสิ่งแวดล้อมในบ้านจะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาการการเดินของลูกได้ โดยอาจลองจัดมุมต่างๆของบ้าน🏠ให้น่าสนใจ เพื่อหลอกล่อให้ลูกเดินไปมาในบ้าน โดยควรจะปิดโทรทัศน์เพื่อไม่เป็นการดึงความสนใจของลูกไปนั่นเองค่ะ

Content Image

ทำไมเด็กถึงก้าวร้าว

     ความก้าวร้าว🤬นับเป็นสิ่งปกติที่แสดงออกในมนุษย์ทุกคน เช่นเดียวกันกับมนุษย์วัยเด็กหรือเจ้าตัวน้อย👶ของเรานั่นเองค่ะ ความก้าวร้าวจะเกิดจากอะไรได้บ้าง และเราจะรับมือกับความก้าวร้าวของลูกโดยไม่เสียความสัมพันธ์อันดีไปได้อย่างไร บทความนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่ไปค้นหาคำตอบกันค่ะ💁‍♀️สาเหตุของความก้าวร้าวในวัยเด็ก👉เป็นผลมาจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น สมาชิกครอบครัว👨‍👩‍👧หรือผู้คนรอบตัวนั้นแสดงความก้าวร้าวออกมา จึงทำให้เจ้าตัวน้อยมีพฤติกรรมการลอกเลียนแบบ หรืออาจลอกเลียนแบบมาจากสื่อต่างๆที่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและใ้ช้ความรุนแรงก็ได้ค่ะ สำหรับการเสพสื่อ📺ต่างๆ คุณพ่อคุณแม่จึงควรให้คำแนะนำและดูแลอย่างใกล้ชิดค่ะ👉สภาพสังคมหรือสิ่งแวดล้อมที่บีบบังคับให้ต้องแสดงความก้าวร้าวเด็กอยู่ในสภาพสังคมหรือสิ่งแวดล้อมที่บีบบังคับให้ต้องแสดงความก้าวร้าว🤬เพื่อเป็นเกราะกำบังความรุนแรง หรือเพื่อเป็นการป้องกันตนเอง🛡️นั่นเอง เด็กจึงคิดว่าสามารถใช้ความรุนแรงเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ่นได้👉คุณพ่อคุณแม่อาจไม่มีเวลาอบรมคุณพ่อคุณแม่อาจไม่มีเวลาใกล้ชิดเพื่อแนะนำและอบรมเจ้าตัวน้อยในแง่ของการควบคุมอารมณ์อย่างเหมาะสม เมื่อเด็กต้องประสบกับอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจ ก็จะแสดงออกมาในรูปแบบของความก้าวร้าว🤬 ซึ่งเป็นสิ่งที่เลือกทำได้ง่ายที่สุดค่ะ👉คุณพ่อคุณแม่สร้างเงื่อนไขที่ผิดให้กับลูกผู้ปกครองสร้างเงื่อนไขที่ผิดให้กับลูก ยกตัวอย่างเช่น หากเด็กอยากได้ของเล่น🪀แล้วคุณพ่อคุณแม่ไม่ยอมให้ในทีแรก เด็กอาจเลือกที่จะแสดงอาการหงุดหงิดก้าวร้าว จนเริ่มงอแง😭 ลงไปดิ้นอยู่ที่พื้นจนทำให้ผู้ปกครองเริ่มเขินอาย และซื้อของเล่นให้เด็กในที่สุด เด็กจึงเข้าใจว่าถ้าเลือกใช้วิธีนี้แล้วจะได้สิ่งที่ตนเองต้องการอยู่เสมอจนติดเป็นนิสัยได้ค่ะ👉ลูกมีอาการทางจิตเด็กอาจมีอาการทางจิตหรือภาวะบางอย่างที่ส่งผลต่อการแสดงออกของพฤติกรรม ซึ่งเป็นผลมาจากสิ่งแวดล้อมอีกทอดหนึ่ง หรืออาจเป็นผลมาจากความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกายและสารเคมีในสมอง🧠ค่ะ วิธีรับมือกับความก้าวร้าวของเด็กรับมือกับความก้าวร้าวของเด็กเล็ก👶1️⃣เบี่ยงเบนความสนใจของเด็ก จากสิ่งที่เด็กกำลังสนใจอยู่ เช่นการอยากได้ของเล่น🚂 ก็อาจจะหาเหตุการณ์อื่นหรือสิ่งของอื่นๆมาเบี่ยงความสนใจของเด็กแทน2️⃣หากเจ้าตัวน้อยไม่ได้แสดงท่าทีงอแงเสียงดังอย่างรุนแรง อาจแสดงออกมาในรูปแบบของความไม่พอใจเล็กน้อย คุณพ่อคุณแม่สามารถยืนดูเฉยๆ🧍‍♀️ ไม่ต้องโต้ตอบอะไรทั้งในทางบวกและทางลบ รอใจกว่าเด็กจะใจเย็นลง แล้วจึงเข้าไปกอด ปลอบ🤗 ใช้วิธีการพูดคุยปรับความเข้าใจว่าพฤติกรรมเมื่อสักครู่นั้นไม่สมควรอย่างไร3️⃣หากเด็กมีแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมทำร้ายตนเอง ทำร้ายคนอื่น จนไปถึงการทำลายสิ่งของรอบตัว ให้ผู้ปกครองเข้าไปหยุดพฤติกรรมเหล่านั้นโดยทันที ในเด็กเล็กอาจใช้วิธีการล็อคตัวของเด็กไว้🔒👶 ในเด็กที่โตขึ้นมาหน่อยอาจใช้วิธีต้อนให้เข้ามุมแทนเพื่อให้เด็กสงบสติอารมณ์ค่ะ4️⃣ห้ามให้ในสิ่งที่เด็กต้องการเมื่อเด็กเรียกร้องความสนใจด้วยการร้องไห้งอแงหรือแสดงความไม่พอใจ😡 เพราะจะเป็นการสร้างกระบวนการทางความคิดผิดๆให้เด็ก ว่าถ้าร้องไห้งอแง แสดงอาการไม่พอใจแล้วจะทำให้ได้ในสิ่งที่ต้องการค่ะ5️⃣หากมีการตั้งกฎเกณฑ์📝ที่มีเหตุผลมารองรับความเหมาะสม และได้ทำความเข้าใจร่วมกับลูกไปแล้วว่าทำไมจึงต้องมีกฎเกณฑ์นี้เกิดขึ้น ควรใช้กฎนั้นอย่างสม่ำเสมอจนเป็นเรื่องปกติ ไม่ควรหละหลวมโดยไม่จำเป็น เพราะจะทำให้เด็กเล็กรู้สึกสับสนว่าจริงๆแล้วกฎเป็นสิ่งที่ต้องทำตามหรือไม่รับมือกับความก้าวร้าวในเด็กโต👦1️⃣อย่างที่ได้กล่าวไปก่อนหน้า ว่าสาเหตุหนึ่งของความก้าวร้าวในเด็กก็คือพฤติกรรมเลียนแบบจากคนรอบตัว👨‍👩‍👧 ดังนั้นผู้ปกครองควรสงบสติอารมณ์ของตนเอง😌ก่อนเป็นอันดับแรกค่ะ เพื่อให้เด็กสังเกตได้ถึงความไม่พอใจให้น้อยที่สุด และห้ามใช้ความรุนแรงหรือถ้อยคำรุนแรงในการรับมือกับลูกเด็ดขาด เพราะลูกจะเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ตนเองก็ทำได้เมื่อเกิดความไม่พอใจเช่นเดียวกันค่ะ2️⃣คุณพ่อคุณแม่ควรยอมรับในการมีอารมณ์และความรู้สึกของเด็ก แต่ควรแสดงออกว่าไม่สามารถยอมรับอาการก้าวร้าวนั้นได้ และใช้โอกาสดังกล่าวในการแสดงถึงการจัดการอารมณ์และการแสดงออกที่เหมาะสมแทนค่ะ3️⃣สอนให้เจ้าตัวน้อยมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือการมี Empathy💞นั่นเอง รวมไปถึงการสอนให้เด็กเข้าใจและเคารพต่อสิทธิเสรีภาพของตนเองและผู้อื่นด้วยค่ะ4️⃣ระมัดระวังในการใช้คำพูดขณะอบรมลูก🗣️ คำพูดในกลุ่มตำหนิบางคำอาจทำให้เด็กฝังใจและเสียความมั่นใจในการใช้ชีวิตได้ในอนาคต และใช้คำพูดดีๆชมเชยเมื่อเด็กแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม เพื่อสร้างเงื่อนไขการกระทำของเด็กว่า ถ้าตนเองประพฤติตัวดีก็จะได้คำชมจากคุณพ่อคุณแม่ค่ะ5️⃣หากเด็กกระทำความผิดลงไปแล้ว หลังอบรมเสร็จควรให้เด็กรับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไปเท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นการตั้งเงื่อนไขให้เด็กทราบว่า  ถ้าตนเองเลือกที่จะกระทำแบบนี้อีกในอนาคต ตนเองก็ต้องรับผิดชอบ🫡ในสิ่งที่ตนเองก่อค่ะ     อ่านมาถึงตรงนี้ คุณพ่อคุณแม่👫คงทราบแล้วนะคะว่าควรใช้วิธีใดในการรับมือเจ้าตัวน้อยของตนเอง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือห้ามใช้ความรุนแรงแต่ลูกโดยเด็ดขาดค่ะ นอกจากจะมีโอกาสสร้างแผลกาย🤕ให้ลูกแล้วยังเสี่ยงที่จะสร้างแผลใจให้ลูกด้วย ก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์ในครอบครัวที่เป็นพิษ อาจทำให้เด็กเติบโตไปเป็นโรคทางจิตเวชได้ค่ะ

Content Image

เห็นสีผิวทารกชัดเจนตอนไหน

     สีผิวของทารกเปลี่ยนไปเนื่องจากปัจจัยทางพันธุกรรม🧬และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมผสมกัน เมื่อทารกเกิดมา สีผิวของพวกเขาถูกกำหนดโดยปริมาณเม็ดสีเมลานินในผิวหนัง ซึ่งกำหนดโดยยีนที่พวกเขาได้รับมาจากพ่อแม่👫 และเมื่อเวลาผ่านไป สีผิวของทารกอาจได้รับอิทธิพลจากปัจจัยแวดล้อมหลายอย่าง เช่น แสงแดด อุณหภูมิ และผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เมื่อทารกโตขึ้น ผิวของทารกอาจเข้มขึ้นหรือจางลงขึ้นอยู่กับปัจจัยเหล่านี้ นอกจากนี้ เงื่อนไขทางการแพทย์และยาบางอย่างอาจส่งผลต่อการสร้างเม็ดสีผิวด้วย สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าสีผิวของทารก👶ไม่ได้กำหนดเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ของพวกเขา และทุกสีผิวมีความสวยงามเสมอค่ะสีผิวของลูกเห็นได้ชัดเจนเมื่อไรหนึ่งในคำถามที่คุณพ่อคุณแม่ถามบ่อยๆ คือ จะเห็นสีผิวของลูกได้ชัดเจนเมื่อไหร่ อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นนะคะ สีผิวของเด็กทารกถูกกำหนดโดยปริมาณเมลานินในเซลล์ผิวของพวกเขา เมลานินเป็นเม็ดสีที่ให้สีผิว เมื่อทารกเกิดมา ผิวของทารกอาจเป็นสีแดง สีม่วง หรือแม้แต่สีน้ำเงินเนื่องจากการไหลเวียนของเลือด🩸ในร่างกาย สีนี้จะค่อยๆ จางหายไป และผิวของทารกจะสว่างขึ้นหรือเข้มขึ้นขึ้นอยู่กับยีน🧬ของทารก✨สีผิวของทารกอาจเปลี่ยนแปลงได้สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าสีผิวของทารก👶อาจเปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป ตัวอย่างเช่น ทารกที่เกิดมามีผิวสีอ่อนอาจมีสีคล้ำขึ้นเนื่องจากแสงแดด☀️หรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ในทางกลับกัน ทารกที่เกิดมามีผิวคล้ำอาจมีสีอ่อนลงเมื่อโตขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นเรื่องปกติและไม่ก่อให้เกิดความกังวล วิธีดูแลสุขภาพผิวพรรณของเด็กทารกอีกคำถามหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่สงสัยคือ การดูแลผิวของทารกเป็นสิ่งสำคัญหรือไม่ และต้องดูแลยังไงให้ผิวของทารกชุ่มชื้น มีสุขภาพผิวดีและสวยงาม  เนื่องจากผิวของทารกแรกเกิดมีความบอบบางและแพ้ง่าย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูแลผิวเป็นพิเศษนะคะ คุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลผิวของลูกน้อยได้โดยการรักษาความสะอาดนะคะ ให้ผิวของลูกน้อยมีความชุ่มชื้น และปกป้องผิวจากแสงแดด☀️ เพื่อให้ผิวของทารกสะอาดควรใช้น้ำอุ่น🚿และสบู่อ่อนๆ🧼 หลีกเลี่ยงการใช้สบู่หรือผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กที่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือสารเคมีที่มีฤทธิ์ระคายเคืองผิว หลังจากล้างแล้ว ควรซับผิวของทารกเบาๆ ให้แห้งด้วยผ้าขนหนูเนื้อนุ่ม💦ทำยังไงผิวถึงจะมีความชุ่มชื้น อิ่มน้ำ                                                                                                                                     การให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวของทารกก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกันนะคะเพื่อให้ผิวนุ่มและชุ่มชื้น สามารถใช้มอยเจอร์ไรเซอร์🧴ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้และปราศจากน้ำหอมเพื่อป้องกันความแห้งกร้านและลอกเป็นขุยของผิว สิ่งสำคัญคือต้องเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่ออกแบบมาสำหรับทารกโดยเฉพาะ เนื่องจากผิวของทารกบอบบางกว่าผู้ใหญ่นอกจากนี้การปกป้องผิวของทารกจากแสงแดดก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกันค่ะ รังสีที่เป็นอันตรายของดวงอาทิตย์🌞สามารถทำลายผิวหนังได้แม้ในปริมาณเล็กน้อย ผิวของทารกนั้นบางและบอบบางมาก ทำให้ผิวไหม้และเสียหายได้ง่ายกว่า แนะนำให้เก็บทารกให้พ้นจากแสงแดดโดยตรงและสวมชุดป้องกัน เช่น เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวน้ำหนักเบา และหมวกปีกกว้าง🧢 หากจำเป็นต้องอยู่กลางแจ้ง ให้ใช้ครีมกันแดดที่ปลอดภัยสำหรับทารกที่มีค่า SPF อย่างน้อย 30 กับผิวที่สัมผัสได้ มีอีกหลายวิธีในการดูแลสุขภาพผิวของเด็กทารก แม้แต่สิ่งเล็กๆน้อยๆ เช่นการเลือกผ้าอ้อมเด็ก การเลือกผ้าอ้อมที่มีความอ่อนโยน🍃 ระบายอากาศได้ดี ไม่อับชื้นก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจเลยใช่ไหมคะ เพราะว่าเป็นการป้องกัน การเสียดสีจากผ้าอ้อม สามารถลดอาการแพ้หรือการระคายเคืองผิวได้ค่ะ  สรุปได้ว่า สีผิวของทารก👶สามารถเปลี่ยนแปลงได้เมื่อเวลาผ่านไป และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทาเพิ่มเติม ดูแลผิวให้สะอาด ชุ่มชื้น และปกป้องผิวจากแสงแดด☀️ ทำตามขั้นตอนง่ายๆ เหล่านี้ คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยดูแลให้ผิวของลูกน้อยแข็งแรง💪และสวยงามได้ค่ะ

Content Image

แผลในใจในวัยเด็ก

     ปฏิเสธไม่ได้ว่ากว่าที่เราทุกคนจะเติบโตมาเป็นเราในทุกวันนี้ก็ต้องผ่านอะไรมาไม่น้อย อะไรที่ว่านั้นอาจเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ในส่วนที่ไม่ดีนั้นก็อาจสร้างความฝังใจจนเป็นแผลใจ❤️‍🩹ให้เราโดยไม่รู้ตัวได้ คงเป็นไปได้ยากที่จะเติบโตมาแบบไม่มีอะไรฝังใจเลย แต่จะเป็นการดีกว่าไหมคะหากเรามีเจ้าตัวน้อย👶ในอนาคตและหลีกเลี่ยงการสร้างแผลใจเหล่านั้นให้เขาได้มากที่สุด บทความนี้จะพาคุณผู้อ่านไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่อาจสร้างบาดแผลทางใจให้แก่เจ้าตัวน้อย และผลกระทบหากเจ้าตัวน้อยมีบาดแผลทางใจด้านนั้นๆ เพื่อเป็นประโยชน์ในการหลีกเลี่ยงการทำให้เกิดบาดแผลเหล่านั้นโดยที่เราไม่ตั้งใจหรือไม่รู้ตัวค่ะ💁‍♀️ทำความรู้จักกับคำว่าแผลใจอ้างอิงจากหน่วยงานสุขภาพจิตในประเทศอเมริกา The National  Institute of Mental Health ระบุไว้ว่า 'บาดแผลทางใจในวัยเด็ก' ❤️‍🩹👶 คือ ประสบการณ์ที่เด็กได้รับความเจ็บปวดและความทุกข์ทางใจต่อเด็ก แม้จะเป็นความเจ็บปวดทางใจ แต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อทั้งทางใจและทางกายได้เช่นเดียวกัน โดยเราจะสามารถแบ่งสาเหตุของการเกิดบาดแผลทางใจในวัยเด็กออกได้เป็นกลุ่มใหญ่ๆดังต่อไปนี้เลยค่ะสาเหตุของบาดแผลทางใจในวัยเด็ก💔เด็กอาจถูกล่วงละเมิดในวัยเด็ก  เรามักเห็นคำว่าล่วงละเมิดไปประกอบรวมกับคำอื่น ยกตัวอย่างเช่นคำว่าล่วงละเมิดทางเพศ⚧️ แต่การล่วงละเมิดนั้นไม่ได้เกิดขึ้นได้แค่ในเชิงเพศเท่านั้น ยังนับรวมไปถึงการถูกทำร้ายร่างกายและทำร้ายจิตใจอีกด้วย ซึ่งการกระทำเหล่านี้จะมีผลต่อพฤติกรรม ทัศนคติ และการตัดสินใจของเด็กในอนาคตอย่างแน่นอนค่ะ💔บาดแผลทางใจของเด็กอาจมาจากสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีในวัยเด็ก ไม่ว่าจะเป็นความบาดหมางของสมาชิกในครอบครัว👨‍👩‍👧 บรรยากาศในครอบครัวมีความตึงเครียด😡 มีการใช้ความรุนแรงต่อกัน (ไม่จำเป็นต้องต่อเด็กเองโดยตรง) มีพฤติกรรมการใช้สารเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้อง สมาชิกในครบครัวมีอาการทางจิต มีปัญหาอาชญากรรม จนไปถึงการขาดความอบอุ่นในครอบครัวอันมาจากการแยกทางกันของผู้ปกครองและปัญหามือที่สาม💔บาดแผลทางใจอาจมาจากการถูกละเลยและถูกทอดทิ้งในวัยเด็ก คุณพ่อคุณแม่อาจไม่มีเวลาให้ความรัก ความเอาใจใส่และความอบอุ่นแก่ลูก👶เท่าที่ควร โดยที่ความเอาใจใส่และการดูแลนั้นไม่ได้หมายถึงแค่การส่งเงินให้อย่างเดียว แต่หมายถึงการใช้เวลาคุณภาพ💞ด้วยกัน ได้ทำกิจกรมมที่ส่งเสริมศักยภาพและพัฒนาการของเด็กด้วยกัน เด็กที่มีปัญหาในประเด็นนี้ก็มีความเสี่ยงที่จะเติบโตไปเป็นคนมีความมั่นใจต่ำ ไว้วางใจคนอื่นได้ยาก และโหยหาความรักความเข้าใจค่ะอาการที่แสดงออกเมื่อเด็กเติบโตอาการที่ 1️⃣เด็กอาจเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีแนวโน้มหลีกหนีหรือต่อต้านสังคม เพราะรู้สึกว่าโลกนี้ไม่มีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเขาเลยจนพยายามที่จะหลบซ่อนจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เพราะการอยู่ในสังคมทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกไม่ปลอดภัยเหล่านั้นได้ จึงใช้วิธีการหลีกหนี หลีกเลี่ยง หรือซ่อนตัวเพื่อหนีปัญหาเลยดีกว่า สาเหตุมาจากการที่เมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรในวัยเด็กที่ทำให้ตนเองรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้น เด็กก็ไม่ได้รับการปกป้องจากผู้ปกครอง เมื่อรู้สึกไม่สบายใจก็ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่หรือการตอบสนองที่ดีตามมา เมื่อโตขึ้นเด็กจึงมีแนวโน้มที่จะปฏิเสธ🙅‍♀️การแสดงออกถึงความรู้สึกของตนเอง เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดหวังค่ะอาการที่ 2️⃣เด็กอาจเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีมุมมองว่าตนเองเป็นเหยื่อหรือผู้ถูกกระทำ สมควรแล้วและเป็นเรื่องปกติที่ตนเองจะได้รับการกระทำที่ไม่ดีเหล่านั้นจากผู้อื่น เพราะตอนเด็กถูกกระทำด้วยการกระทำแย่ๆ ถูกหล่อหลอมด้วยความคิดเชิงลบต่อตนเองอยู่เสมอ เมื่อเติบโตขึ้นจึงกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีทัศนคติแบบจำกัดต่อโลก🌍 (Fix mindset) ไม่คิดว่าเรื่องไม่ดีควรได้รับการแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนอะไร เพราะมันก็เป็นปกติของโลกอยู่แล้ว มองเห็นถึงข้อจำกัดของตนเองอยู่เสมอจนอาจทำให้กลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นใจในตนเองต่ำอาการที่ 3️⃣เด็กอาจเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเก็บกดทางด้านอารมณ์🤐มากกว่าปกติ แทนที่จะเลือกใช้วิธีการระบายอารมณ์อย่างเหมาะสมแทน หากอารมณ์ในเชิงลบถูกกดเอาไว้มากๆ สะสมกันเป็นเวลานาน ก็มีโอกาสที่จะระเบิด💣ออกมาในการแสดงออกของการกระทำรูปแบบอื่น ที่อันตรายกว่าการแสดงว่าโกรธค่ะอาการที่ 4️⃣เด็กอาจเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สูญเสียอัตลักษณ์ในตนเอง พูดง่ายๆก็คือสูญเสียความเป็นตัวเองนั่นเองค่ะ เนื่องจากตอนเด็ก ตนเองอาจพยายามทำอะไรก็ตามเพื่อให้พ่อแม่ยอมรับและรู้สึกภูมิใจ ไม่จะชอบหรือเต็มใจทำอะไรเหล่านั้นหรือไม่ เมื่อเด็กโหยหาการยอมรับ👏จากพ่อแม่ตลอดเวลาเติบโตขึ้นมาก็มีแนวโน้มที่จะโหยหาการยอมรับจากผู้อื่นในสังคมด้วย จึงไหลไปตามกระแสสังคมที่เชื่อว่าทำตามแล้วจะถูกยอมรับ ทั้งที่สิ่งที่กำลังทำอาจไม่ใช่สิ่งที่ตนเองชอบค่ะ     อ่านมาถึงตรงนี้ คุณผู้อ่านก็จะเห็นแล้วนะคะว่าบาดแผลทางใจ❤️‍🩹ที่เกิดขึ้นในวัยเด็กนั้นส่งผลในระยะยาวต่อเด็กได้ทั้งในด้านสุขภาพจิตและสุขภาพกายของเด็กเลย หากสังเกตหรือจดจำได้ว่าลูกของตนเองเคยผ่านประสบการณ์ตามที่กล่าวมา และมีแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมทางลบ แม้จะเป็นพฤติกรรมเล็กน้อยคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรมองข้าม และอาจพาลูกเข้ารับคำปรึกษาต่อจิตแพทย์👩‍⚕️เด็กโดยทันที เพื่อให้เด็กเติบโตมาเป็นประชากรที่ดีได้ในอนาคตค่ะ

Content Image

วิธีเลือกฟองน้ำให้ลูกน้อย

แม้ว่าในหนึ่งสัปดาห์ทารกจะอาบน้ำแค่ประมาณ 2-3 ครั้ง แต่ในการอาบน้ำแต่ละครั้งก็จำเป็นที่จะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ซึ่งนอกจากจะต้องใส่ใจเรื่องของสบู่และแชมพูแล้ว เรื่องของฟองน้ำก็ไม่ควรมองข้ามเช่นกันค่ะ ฟองน้ำเป็นอุปกรณ์ที่คุณพ่อคุณแม่มีติดบ้านและเป็นตัวช่วยสำหรับการอาบน้ำให้ทารก ซึ่งเราจะมีวิธีเลือกฟองน้ำอย่างไรได้บ้าง เราไปดูกันเลยค่ะ วิธีการเลือกฟองน้ำสำหรับทารกเมื่ออาบน้ำทารก ฟองน้ำ🧽เป็นอุปกรณ์จำเป็นที่ขาดไม่ได้เลย ซึ่งจริงๆแล้วคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้ามและควรพิถีพิถันเรื่องการเลือกฟองน้ำ เพราะหากซื้อฟองน้ำที่ไม่เหมาะสมกับผิวที่บอบบางของลูกน้อย ก็อาจทำให้ลูกระคายเคืองหรือเป็นแผลได้ฟองน้ำจากธรรมชาติ🍃 โดยคุณพ่อคุณแม่ควรจะเลือกฟองน้ำที่ทำจากธรรมชาติ มีการอุ้มน้ำได้ดี และมีความนุ่มนิ่มเพื่อถนอมผิวของลูก รวมถึงสามารถช่วยย่นระยะเวลาในการอาบน้ำของลูกด้วยไม่ใช้ฟองน้ำที่เสื่อมสภาพ คุณพ่อคุณแม่ควรคอยสังเกตุว่าฟองน้ำที่ใช้อยู่นั้นเสื่อมสภาพแล้วหรือยัง เพราะฟองน้ำที่เสื่อมสภาพก็สามารถมีผลต่อผิวของทารกได้เช่นกัน ซึ่งเราจะสามารถทดสอบการเสื่อมสภาพโดยการนำฟองน้ำ🧽ไปชุบน้ำ💦แล้วเรามาถูบนผิว หากฟองน้ำมีลักษณะเป็ยขุยนั่นแปลว่าฟองน้ำนั้นเสื่อมสภาพและไม่ได้คุณภาพแล้ว และควรหยุดใช้ทันทีเพราะอาจมีสารอื่นๆปนเปื้อนอยู่ด้วยได้นั่นเองค่ะวิธีป้องกันไม่ให้ผิวของลูกแห้งไม่ควรอาบให้บ่อยๆ 🚿การอาบน้ำให้ทารกบ่อยเกินไปจะเป็นการทำให้ไขมันที่เคลือบบริเวณผิวของลูกหลุดออกไป จึงทำให้ผิวแห้งและไม่ชุ่มชื้นนั่นเองค่ะ ดังนั้นควรจะอาบน้ำให้ประมาณ 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ก็เพียงพอแล้วสำหรับทารกค่ะ หลีกเลี่ยงการอาบน้ำด้วยน้ำอุ่น น้ำอุ่นหรือน้ำร้อนก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวของลูกแห้งได้ค่ะ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรใช้น้ำที่มีอุณหภูมิปกติเมื่ออาบน้ำให้ลูกน้อย โดยพยายามหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่มีอากาศเย็น อาจเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวของลูกโดยการหยดเบบี้ออยล์ลงไปในน้ำอาบก็ได้ค่ะ🛁ใช้ครีมอาบน้ำหรือสบู่สูตรอ่อนโยนคุณพ่อคุณแม่ควรจะเลือกสบู่ที่มีความอ่อนโยนต่อผิวของลูก โดยให้เลือกสบู่เด็กที่ทำมาจากออร์แกนิค ปราศจากน้ำหอมหรือสารเคมีต่างๆ ที่อาจทำให้ลูกแพ้ค่ะ ใช้เบบี้ออยล์บำรุงผิว🧴คุณพ่อคุณแม่สามารถบำรุงผิวเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวของลูกน้อยได้ โดยการทาเบบี้ออยล์ น้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันมะกอกสูตร 100% หลังอาบน้ำก็จะช่วยให้ผิวของลูกน้อยชุ่มชื้นขึ้นค่ะ ไม่ควรไปเกาหากเห็นผิวที่ลอยเป็นขุยของลูก👶 ก็ไม่ควรไปเกานะคะ เพราะการเกาจะยิ่งทำให้เกิดขุยมากยิ่งขึ้น และอาจเป็นแผลได้ค่ะ 

Village Baby Co., Ltd.

4F, 83 Uisadang-daero, Yeongdeungpo-gu, Seoul, Republic of Korea

Partnership inquiries babybilly.global@villagebaby.kr

|

|

Language

Copyright Baby Billy. All rights reserved.